บทที่ 471: ออกไปพักผ่อน
มู่ไป๋ไป่เดินเข้าไปในห้องโถงด้านหน้าก่อนจะเห็นคนจำนวนมากคุกเข่าอยู่ในห้องโถง ส่วนซูหว่านกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งตรงกลางโดยมีอันกงกงยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ท่านแม่” หญิงสาวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านี้และเดินเข้าไปหาแม่ของตนด้วยรอยยิ้ม “เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ อันกงกงควรจะยุ่งอยู่ที่ตำหนักตี้เฉินในตอนนี้ไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านถึงมีเวลามาที่ตำหนักอวี๋ชิงของเราล่ะ?”
เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งเกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทที่ตำหนักตี้เฉิน และผู้ก่อเหตุลอบสังหารล้วนเป็นราชองครักษ์ที่ประจำการอยู่ในตำหนัก
แน่นอนว่าขันทีเองก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกสอบสวนด้วยเช่นกัน ส่งผลให้บรรยากาศในตำหนักตี้เฉินตึงเครียดเป็นอย่างมาก
“ถวายบังคมองค์หญิงหก” อันกงกงที่เห็นมู่ไป๋ไป่เดินมาก็ยิ้มและอธิบายว่า “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้หว่านเฟยเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านพ่อ?” หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ซูหว่านอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่กลับมาจากตำหนักตี้เฉินในวันนั้น นอกจากนี้นางเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยนมาตลอด การที่นางปฏิเสธออกไปตามตรงเช่นนี้ นางคงไม่อยากพบมู่เทียนฉงจริง ๆ
แม้ว่าเธอจะรู้ว่าพฤติกรรมแปลก ๆ ของผู้เป็นพ่อเกิดจากอาคม แต่เธอก็ยังเลือกยืนอยู่ข้างแม่ของตน
การเป็นสตรีในรั้ววังหลวงนั้นไม่ง่ายเลย หากเธอในฐานะลูกสาวไม่อยู่เคียงข้างซูหว่าน แล้วใครเล่าจะช่วยนางได้
“เมื่อคืนท่านแม่โดนลมหนาวจนเป็นไข้หวัด นางจึงต้องพักผ่อนให้มาก” มู่ไป๋ไป่กล่าวกับอันกงกงพร้อมรอยยิ้ม “ขออันกงกงช่วยไปทูลเสด็จพ่อแทนด้วย”
ชายชราเดิมหวังว่าองค์หญิงหกจะมาช่วยโน้มน้าวหว่านเฟยให้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้สำเร็จ แต่เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดในเชิงสนับสนุนมารดาทันทีที่เปิดปาก ดังนั้นเขาจึงกังวลใจมากขึ้น
“องค์หญิงหก พระองค์… ทำให้กระหม่อมต้องลำบากใจแล้ว”
“พระองค์ก็ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักตี้เฉินในวันนี้ ขณะนี้ฝ่าบาทกำลังอารมณ์ไม่ดี ถ้าหว่านเฟยไม่ไป…”
“กระหม่อมอาจจะไม่สามารถรักษาหัวตัวเองเอาไว้ก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ!”
“ในเมื่ออันกงกงพูดเช่นนั้นเอง” มู่ไป๋ไป่ไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่าย “ในเมื่อท่านพ่ออารมณ์ไม่ดี แล้วเขาจะเรียกท่านแม่ให้ไปเข้าเฝ้าทำไม?”
“เอาเถอะ เอาไว้ข้าจะเตรียมอาหารไปให้ท่านพ่อ เขาชอบอาหารที่ข้าทำมากที่สุด”
หลังจากพูดจบหญิงสาวก็หันไปส่งสายตาให้จื่อเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเพื่อส่งสัญญาณบอกให้เขาส่งแขก
ชายหนุ่มที่รับใช้มู่ไป๋ไป่มาหลายปีสามารถเข้าใจสัญญาณนั้นได้ พอรับคำสั่งแล้วเขาก็รีบขับไล่อันกงกงออกไป
เนื่องจากจื่อเฟิงมีพละกำลังมหาศาล ชายสูงวัยจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา อีกฝ่ายจึงถูกดันออกจากตำหนักอวี๋ชิงไปได้โดยง่าย
“ไป๋ไป่…” ซูหว่านถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้ ถ้าฝ่าบาทคิดจะระบายความโกรธกับเจ้า…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาระบายความโกรธใส่ข้าเลยเพคะ” มู่ไป๋ไป่นั่งลงข้างกายผู้เป็นแม่พร้อมเผยรอยยิ้มประจบ “คงจะดีไม่น้อยถ้าเราถูกขับไล่ออกจากวังหลวง ข้าจะพาท่านแม่กลับไปใช้ชีวิตเงียบ ๆ ที่หุบเขาหมอเทวดา”
“นั่นเป็นความคิดที่ดีทีเดียว” เซียวถังถังที่รอจนกระทั่งอันกงกงออกไปแล้วจึงพูดขึ้นมา “ไป๋ไป่ ท่านพาข้าไปด้วยสิ แม้ว่าเมืองหลวงจะคึกคักและเจริญรุ่งเรือง แต่อยู่มาได้ 2-3 วันข้าก็รู้สึกเบื่อหน่ายแล้ว ในหุบเขาหมอเทวดาของเรามีเรื่องสนุก ๆ ให้ทำมากกว่าที่นี่เสียอีก อย่างน้อยก็ไม่ถูกจำกัดอิสระ”
“ท่านหญิง” ซูหว่านตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน “ท่านหญิงมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไป๋ไป่ ทำไมเจ้าถึงไม่บอกแม่ล่วงหน้า แบบนี้มันจะไม่เป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ?”
“โธ่ ท่านน้าหว่าน ท่านอย่าได้เกรงใจกันนักเลย” เซียวถังถังโบกมือเบา ๆ เป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องคิดมาก “ไป๋ไป่กับข้าก็เป็นเหมือนพี่น้องแท้ ๆ การมาที่ตำหนักอวี๋ชิงก็ไม่ต่างจากการมาบ้านของตัวเอง ท่านน้าหว่าน ท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลยเพคะ”
“เจ้าเองก็อย่าได้พูดเหลวไหล” มู่ไป๋ไป่รู้สึกขบขันกับท่าทางของศิษย์น้องจึงแกล้งจ้องนางแบบเคือง ๆ จากนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นเงาสีส้มอยู่นอกห้องโถง เธอจึงหันไปพูดกับแม่ของตนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ ท่านเดาสิว่าใครมา?”
ขณะนั้นซูหว่านยังคงกังวลว่ามู่เทียนฉงจะมีท่าทีอย่างไรหลังจากที่อันกงกงกลับไปรายงาน ดังนั้นนางจึงส่งเสียงในลำคอเบา ๆ ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น
“แต่นแต๊น! เจ้าส้มไง~” มู่ไป๋ไป่บุ้ยปากไปทางแมวตัวอ้วนกลมที่แอบมองอยู่ข้างนอก
“เจ้าส้มหรือ?” ซูหว่านดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเป็นแมวตัวนั้น ก่อนจะชะเง้อมองออกไปข้างนอกแล้วเผยรอยยิ้มจาง ๆ “เป็นเจ้าส้มจริง ๆ”
ส่วนเจ้าส้มเองก็ดีใจที่ได้พบอีกฝ่ายหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันนาน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาซูหว่านก็ได้เลี้ยงดูปูเสื่อมันเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับมู่ไป๋ไป่
แม้ว่ามันจะเพิ่งกลับมาถึงวังหลวงจนไม่รู้แน่ชัดว่าที่นี่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แต่สัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของสัตว์นั้นก็ได้ร้องเตือนว่าหว่านเฟยกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ในขณะนี้ มันจึงไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้าวิ่งเข้าไปหานางทันที
ถัดมา เจ้าส้มกระโดดไปนั่งอยู่บนตักของซูหว่านภายในชั่วอึดใจ ก่อนที่มันจะพลิกตัวเผยหน้าท้องกลม ๆ ของตัวเองให้คนตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์
หว่านเฟยอดไม่ได้ที่จะยิ้มและเกาพุงโต ๆ ของเจ้าแมวอ้วน 2-3 ครั้ง สัมผัสที่นุ่มนวลนั้นทำให้อารมณ์ที่ตึงเครียดของนางผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว
“โชคดีที่มันไม่ผอมลง” ซูหว่านเม้มปากพูด “เจ้าส้ม เจ้าหายไปไหนมา รู้หรือไม่ว่าไป๋ไป่บ่นคิดถึงเจ้าตลอดเลย”
แมวตัวใหญ่ส่งเสียงร้องประท้วงซึ่งบ่งบอกว่าตัวมันน้ำหนักลงไปตั้งเยอะ
แต่ภายใต้สายตาคมดุของมู่ไป๋ไป่ มันจึงยังคงนอนลงอย่างเชื่อฟังและปล่อยให้ซูหว่านเกาท้องมันต่อไป
“ท่านแม่ ท่านอยากออกไปพักผ่อนนอกวังหลวงหรือไม่เพคะ?” หญิงสาวมองสำรวจใบหน้าของผู้เป็นแม่ซึ่งกาลเวลาแทบจะไม่สามารถทำอะไรนางได้เลย และถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ “ในช่วงเวลานี้วังหลวงไม่สงบสุข”
“หลังจากนี้ข้าจะไปขอร้องไทเฮาให้ทรงอนุญาตให้ท่านแม่ไปสวดมนต์ที่วัดฮู่กั๋วเป็นเวลา 2 วัน”
ความคิดนี้เพิ่งแล่นเข้ามาในหัวของเธอในระหว่างที่เดินทางกลับจากตำหนักตี้เฉิน
สิ่งที่ชิงหานกับซั่วเยว่พูดนั้นอาจจะฟังดูน่าเหลือเชื่อมากไปสักหน่อย ทว่าแม้แต่คนที่มีวรยุทธสูงอย่างพวกเขาก็ยังถูกอาคมสะกดได้โดยไม่รู้ตัว
พอมู่ไป๋ไป่คิดถึงซูหว่านที่เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา ดังนั้นเธอจึงต้องหาทางส่งอีกฝ่ายไปยังสถานที่ปลอดภัยก่อนที่ลี่เฟยจะลงมือกับนาง
วัดฮู่กั๋วนั้นถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ดี
“วัดฮู่กั๋ว?” หว่านเฟยชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะครุ่นคิดและส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ แม่ไม่ไป แม่อยากอยู่กับเจ้า”
“ไป๋ไป่ ถึงแม้ว่าแม่จะช่วยอะไรเจ้าได้ไม่มากนัก แต่ก็ใช่ว่าแม่จะทำอะไรไม่ได้เลย ตลอดหลายปีที่อยู่ในวังหลวง…”
“ท่านแม่กำลังคิดอะไรอยู่!” มู่ไป๋ไป่พูดพลางยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ “ข้าเห็นว่าช่วงนี้ท่านอารมณ์ไม่ดี เลยเป็นห่วงว่าท่านอาจจะล้มป่วยไปเสียก่อน เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากให้ท่านไปพักผ่อนอยู่ที่วัดฮู่กั๋วสัก 2-3 วัน”
“ถึงแม้ว่าในวังหลวงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในวันนี้ที่ตำหนักตี้เฉินเกิดเรื่องไม่คาดฝัน…”
ซูหว่านมองลูกสาวด้วยสายตาลึกซึ้งก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ “นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนแม่ขี้ขลาดจนเกินไป ไป๋ไป่ เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าแม่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักตี้เฉิน?”
“ทูตของหนานซวนกำลังทูลขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท แล้วร้องขอให้เจ้าหมั้นหมายกับฮ่องเต้หนานซวน เหตุการณ์นี้ทำให้องค์รัชทายาทบุกไปที่ตำหนักตี้เฉินจนทำให้ฝ่าบาททรงกริ้ว ฝ่าบาทคิดจะลงโทษองค์รัชทายาท แต่แล้วจู่ ๆ ราชองครักษ์ก็ชักมีดออกมาหมายจะลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท…”
มู่ไป๋ไป่กับเซียวถังถังต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงอ่อนโยนของหว่านเฟยพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักตี้เฉิน
“โอ้โห ท่านน้าหว่าน ท่านเก่งมาก” เซียวถังถังอดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชมอีกฝ่าย “ท่านเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือเนี่ย?!”
ซูหว่านยิ้มขมขื่นและกล่าวว่า “ในเมื่อเราอาศัยอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ อย่างน้อยก็ต้องรู้อะไรบางอย่างบ้าง”
ขณะที่นางพูด นางก็มองดูท่าทีของมู่ไป๋ไป่แล้วยืนกรานว่า “ไป๋ไป่ไม่ต้องกังวล แม่จะไม่ยอมให้เจ้าต้องแต่งงานไปอยู่ที่หนานซวนเด็ดขาด!”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 204
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น