ปอบกลายพันธุ์
ชาวบ้านต่างลือกันไปทั่วว่านางกลอยเป็นผีปอบ เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐานเท่านั้น แม้จะมีผู้ที่ต้องการพิสูจน์ แต่ก็ยังติดที่ผู้ใหญ่ผินที่ไม่ยอม เพราะเกรงว่าถ้าเกิดการผิดพลาดขึ้นมาตนเองก็จะไม่พ้นผิด จึงได้รีๆ รอๆ ไม่ทำอะไรให้เด็ดขาดไป ในขณะที่ก็เกิดเรื่องสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านถูกสัตว์ร้ายมาแอบควักท้อง ควักใส้กินไม่เว้นแต่ละวัน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดนางกลอยได้
ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน ยายปองยายของนางสาวกลอยที่นอนป่วยติดเตียงอยู่ที่บ้านปลายนาหลังหมู่บ้าน โดยมีหลานสาว หรือนางสาวกลอยเป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด จะพาไปหาหมอยายปองก็ไม่ยอม และยังบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่มีอาการของคนแก่เท่านั้น กลอยหมดปัญญา ได้แต่หาอาหารดิบ ๆ และเครื่องในสด ๆ มาให้ยายปองกินอาทิตย์ละ 2 ครั้ง จนเป็นที่สงสัยของชาวบ้าน แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะมาดู เพราะต่างก็กลัวปอบด้วยกันทุกคน
ปอบยายปองซึ่งบัดนี้ไม่ได้ออกหากินมาเป็นเวลานานแล้ว แต่รออาหารดิบ ๆ และเครื่องในสัตว์สด ๆ ที่กลอยนำมาให้อาทิตย์ละ 2 ครั้งดังกล่าว มันเป็นผีปอบที่สิงร่างของยายและได้กินเครื่องในของยายปองไปจนหมดแล้ว และกำลังมองหาร่างใหม่ มันคิดที่จะเปลี่ยนร่าง กลายพันธุ์โดยต้องการร่างใหม่ที่สดกว่า สาวกว่ามาแทน เนื่องจากร่างเดิม หรือร่างของยายปองเริ่มหมดสภาพ และไม่สามารถที่จะใช้ได้อีกต่อไป มันมองหาร่างใหม่ ซึ่งก็หมายตาไปที่กลอยหลานสาวของยายปองนั่นเอง เพราะน่าจะง่าย และลงตัวที่สุด
กลอยนั้นก็รู้อยู่แก่ใจว่ายายของเธอเป็นปอบ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพียงแต่ต้องทำตัวให้อยู่ห่าง ๆ ยายของเธอไว้ให้มากที่สุด แต่ก็ยังปฏิบัติกิจเรื่องการหาอาหารมาให้ยายปองตามปกติเท่านั้น
“กลอยเอ้ย วันนี้ยายคงไม่รอดแล้ว” ปอบยายปองพูดขึ้นมาในบ่ายวันหนึ่ง ทำเอากลอยหน้าเสียคิดว่ายายของเธอคงไม่รอดจริง ๆ
“ไปหาหมอดีไหมยาย ให้หมอเขาช่วยดู เผื่อเขาจะรักษายายได้ไงจ๊ะ” กลอยพูดพาซื่อ คิดว่าอาการป่วยของยายกำลังกำเริบ
“ไม่ ไม่ใช่เรื่องนั้น” ยายพูดแล้วมองหน้ากลอย
“หลานรักยายมากไหม” ยายปองเริ่มออดอ้อน เพื่อดูท่าทีของหลานสาว
“ทำไมยายพูดอย่างนั้นจ๊ะ ถ้าไม่รักยายแล้วหนูจะอยู่อย่างนี้หรือ” กลอยพูด ไม่ใช่ตัดพ้อ แต่เธอพูดอย่างจริงใจ
“ถ้างั้นทำอะไรให้ยายหน่อยได้ไหมล่ะ” ยายปองพูดเข้าจุด
“ยายจะให้หนูทำอะไรจ๊ะ” กลอยถามตรงไปตรงมา
“หลานก็รู้ว่ายายเป็นอะไร แต่นี่มันถึงเวลาแล้วที่ยายต้องไปแล้ว แต่ก่อนจะไปยายต้องทำในสิ่งที่ต้องทำก่อน จึงไปได้อย่างสะดวก หลานรักยายทำให้ยายได้ไหม” นางผีปอบยายปองพยายามหว่างล้อม แต่กลอยก็เหมือนกับจะรู้ว่ายายของเธอต้องการอะไร จึงพยายามที่จะไม่คล้อยตาม และถอยห่างออกไปจากยายของเธอ
ปอบยายปองเกิดโมโห นางใช้มือที่มีเล็บยาวและแข็งแรงเอื้อมไปบีบที่ข้างแก้มของกลอยไว้แน่น ทำให้กลอยต้องอ้าปากค้างไว้ และแล้วด้วยความรวดเร็วนางผีปอบได้บ้วนน้ำลายจากปากของมัน เข้าปากของกลอยทันที กลอยรู้สึกกระอักกระอ่วนด้วยความรังเกียจ และพยายามที่จะบ้วนทิ้งแต่ไม่สามารถทำได้
หลังจากที่นางผีปอบในร่างของยายปองได้เสร็จสิ้นภารกิจของมันแล้ว มันก็ล้มลงร่างของมันก็เหมือนแห้งไปในทันที เหมือนซากผีที่ตายมาเป็นเวลานาน
กลอยไปแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านมาดูศพยายของเธอ ผู้ใหญ่บ้านแนะนำให้เผาศพเสียในวันนั้นทันที เพราะเป็นศพที่น่าจะตายมานานแล้ว หากปล่อยไว้อาจส่งกลิ่นรบกวนชาวบ้านได้ กลอยก็ไม่ขัดข้อง แล้วก็นำร่างของยายปองไปวัด และทำการฌาปนกิจให้เรียบร้อยต่อไป ทุกอย่างก็เรียบร้อยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องผีปอบก็เริ่มจางหายไปกับกาลเวลา
แต่สำหรับกลอย กลับไม่ปกติเธอมักเกิดอาการเหมือนเป็นไข้ และต้องการกินอาหารที่แปลก ๆ ที่ไม่เคยกินมาก่อน เช่น เครื่องในสัตว์ หรือเนื้อสัตว์ที่ดิบๆ
คืนวันหนึ่งขณะที่ฝนตกพรำๆ กลอยก็ออกจากบ้านไปตามเสียงกบ เสียงเขียดร้อง เสียงหมาหอนมาให้ได้ยิน กลอยเดินมากลางสายฝน แล้วก้มลงจับกบ จับเขียดกินสดๆ มันช่างมีรสชาติที่น่าอร่อยสิ้นดี กลอยจับสัตว์ทั้งสองกินจนสมอยาก กลิ่นคาว และรอยเลือดสดๆ เลอะเทอะไปทั้งใบหน้า และรอบปากของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ ไม่มีใครเห็นการกระทำของกลอย คืนนั้นกลอยกลับบ้านและนอนหลับไปอย่างมีความสุข
การกินเนื้อและเครื่องในสัตว์สดๆ ของกลอยไม่เพียงแต่เป็นแค่กบเขียดเท่านั้น แต่บัดนี้มันลุกลามใหญ่โตไปถึงสัตว์อื่นทั้งไก่ เป็ด และสัตว์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นวัวควาย หรือแม้กระทั่งหมาที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว
ชาวบ้านต่างลงความเห็นว่าเป็นฝีมือของปอบ แต่ผู้ใหญ่ก็ค้านว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะปอบที่ว่าซึ่งหมายถึงยายปอง ก็ได้ตาย และเผาไปเรียบร้อยแล้ว และเรื่องก็ผ่านไปนานแล้ว แต่ชาวบ้านก็ย้อนมาอีกว่า
“ตามปกติ ปอบที่มันตายไปแล้ว มันจะต้องมีมรดกไปสู่ลูกหลานของมัน” ชาวบ้านพูดให้ผู้ใหญ่คิด
“แล้วนี่นางกลอยมันก็เป็นหลานของยายปองที่เป็นปอบ แม้จะตายไปแล้วมันก็ไม่แน่ที่นางกลอยจะรับมรดกปอบมาเต็มๆ” ชาวบ้านพูดและทำท่าทางไม่มั่นใจ
ผู้ใหญ่บ้านได้คิด แต่ก็พยายามไม่คิด หรือไม่กล้าที่จะคิดมากกว่า แต่เรื่องก็ไม่ยุติ คราวนี้ไม่เฉพาะสัตว์เลี้ยง แต่มันเป็นคนที่โดนปอบกินตาย เธอเป็นชาวบ้านของผู้ใหญ่นั่นเอง เอาละซีเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่คิด นี่นางกลอยเป็นปอบจริง ๆ หรือนี่ จึงเริ่มปรึกษากับผู้ช่วย และชาวบ้านที่มารวมกลุ่มคอยรับฟังว่าผู้ใหญ่จะว่าอย่างไร
“ข้าก็ชักเริ่มจะเชื่อแล้วว่านางกลอยมันเป็นผีปอบ” ผู้ใหญ่พูดแล้วหันมามองหน้าผู้ช่วย และชาวบ้าน ผู้ใหญ่ตัดสินใจตั้งทีมล่าผีปอบ ซึ่งประกอบด้วยตัวผู้ใหญ่เองเป็นหัวหน้าทีม ผู้ช่วยเป็นรองหัวหน้า และมีชาวบ้านที่อาสาอีก 4-5 คน เป็นผู้ร่วมทีม ออกล่าผีปอบ หรือปอบนางกลอยทันที
คืนนั้น เวลายังอยู่ในช่วงหัวค่ำ มีชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนแปลกหน้าได้เข้ามาในหมู่บ้านของผู้ใหญ่ เขาเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งที่ยืนหันหลังให้ ชายผู้นั้นเดินเข้าไปเพื่อหวังจะทำความรู้จัก เนื่องจากเห็นว่าน่าจะเป็นหญิงสาว ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรเธอก็หันมาแล้วยิ้มให้ พร้อมกับทักทายมาก่อน
“สวัสดีจ้ะพี่” เสียงหวาน ๆ ทำให้เขาเริ่มได้ใจ และเริ่มใจคึกคัก
“สวัสดีครับ น้องมาคนเดียวหรือ” เขาเริ่มชวนคุย แล้วทั้งคู่ก็เริ่มมีความสนิทสนมกันมากขึ้น พร้อมกับเดินไปด้วยกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นมีคนมาพบศพชายหนุ่มนอนตายอยู่ในสวนสาธารณะ ลักษณะศพถูกควักท้องกินเครื่องใน นอนตายตาถลนออกมานอกเบ้า จึงรีบไปแจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบ
“สภาพอย่างนี้ มันถูกปอบกินแน่ ๆ” ชาวบ้านพูดแล้วหันไปมองหน้าซึ่งกันและกัน
“ก็คงเป็นอย่างนั้น เพราะท้องถูกควักใส้อย่างนี้ ไม่มีอะไรแล้วมันนั่นแหละ” ผู้ใหญ่ ลงความเห็นว่าต้องเป็นปอบตามที่ชาวบ้านบอก และเริ่มเชื่อว่านางกลอยต้องเป็นผีปอบขึ้นมาแล้ว
“ผู้ช่วย ที่เราตั้งทีมล่าผีปอบ ได้ความว่าอย่างไรบ้าง” ผู้ใหญ่หันไปทางผู้ช่วย แล้วถามความคืบหน้าเรื่องผีปอบ
“ครับ นี่ก็อีกรายที่น่าจะเชื่อว่าถูกปอบกิน เราไปสังเกตการณ์ที่บ้านนางกลอย ยังไม่มีวี่แววอะไร” ผู้ช่วยรายงาน แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปอีกวัน ก็เกิดเหตุมีคนตายในลักษณะเดียวกันอีก คราวนี้เป็นหญิงเธอเป็นแม่ค้าขายของป่า ตายในลักษณะเดียวกัน ทำให้ชาวบ้านเกิดความหวาดหวั่น และเริ่มไม่เชื่อผู้ใหญ่ว่าจะสามารถล่าผีปอบได้ ทุกคนมาหาผู้ใหญ่ และบังคับให้ต้องทำอะไรสักอย่าง แต่ที่ผู้ใหญ่ยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากเรื่องที่ชาวบ้านต้องการให้ทำนั้นมันน่าจะผิดกฎหมาย แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่สามารถขัดเสียงส่วนใหญ่ได้ ทำให้ผู้ใหญ่จำเป็นต้องเดินทางไปที่บ้านของนางกลอย ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นผีปอบ แล้วสั่งให้ผู้ช่วยเรียกนางกลอยให้ออกมา
“อีกลอย อีกลอย ออกมาหาพวกเราหน่อย” ผู้ช่วยเรียกนางกลอยตามคำสั่งของผู้ใหญ่ แต่เงียบไม่มีเสียงตอบจากในบ้าน
“หรือว่ามันไม่อยู่ แต่นี่ก็เพิ่งจะหัวค่ำเองนะ มันคงยังไม่ออกไปหากินที่ไหน” ผู้ใหญ่พูด แล้วหันไปมองชาวบ้านที่กำลังโมโหอย่างมาก
“เผา เผาบ้านมันเลย ถ้ามันไม่ออกมาก็ให้มันตายอยู่ในกองไฟนั่นแหละ” เสียงชาวบ้านตะโกนให้เผาบ้านนางกลอย และแล้ว ก็มีชาวบ้านคนหนึ่งโยนคบไฟไปที่บ้านนางกลอย
คบเพลิงตกลงที่หลังคาบ้านที่มุงจาก ซึ่งก็เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ไม่ทันอึดใจไฟก็ลุกท่วม และแล้วก็ลามไปทั้งหลัง ไม่นานบ้านนางกลอยก็กลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา ไม่มีร่างของนางกลอยออกมาให้เห็น
“มันคงตายอยู่ในกองไฟนั่นแหละ” ชาวบ้านพูด ผู้ใหญ่ใจหาย เมื่อคิดว่าได้ทำเรื่องที่ผิดกฎหมายไปแล้ว แต่จะให้ทำอย่างไรได้เนื่องจากเป็นเสียงส่วนใหญ่ของชาวบ้าน ถ้าเรื่องนี้เป็นไปตามที่คิดนางกลอยผีปอบตายอยู่ในกองไฟ ก็คงสิ้นเรื่อง แต่ถ้าไม่ เรื่องมันก็คงไม่จบ
เรื่องผีปอบในหมู่บ้านเงียบหายไป ไม่ปรากฏว่ามีผีปอบมาอารวาดในหมู่บ้านอีกตั้งแต่นั้นมา ผู้ใหญ่เริ่มสบายใจ และคิดว่าการกระทำของเขาในวันนั้นถูกต้องแล้ว
นางกลอยผีปอบ หลังจากบ้านของนางถูกชาวบ้านเผาจนวอดวายไปแล้ว นางแค้นใจมาก เพราะไหนจะไม่มีบ้านอยู่ ไหนจะทำให้ต้องออกหากินยากลำบาก บัดนี้นางต้องไปอาศัยอยู่ใต้เมรุเผาศพของวัดร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นวัดป่าที่มีพระภิกษุชราจำวัดอยู่เพียงผู้เดียว
“สีกา ออกมาเถอะ ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว” ภิกษุชราพูดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนอยู่ใต้เมรุเผาศพ
“เรื่องในอดีตที่ผ่านมา อย่างได้เอามาเป็นอารมณ์ หมั่นภาวนา ทำสมาธิดีกว่า แล้วจะทำให้จิตใจเราเป็นสุข” ท่านพูดกับสีกา ซึ่งบัดนี้เริ่มที่จะขยับตัวและออกมาเผชิญหน้าภิกษุชรา เธอนั่งพับเพียบต่อหน้าพระชรา สักครู่ ก็มีควันสีเทาลอยออกจากร่างของหญิงสาวนั้น
“เอาละ ปลอดภัยแล้ว ผีปอบมันไปแล้ว และจะไม่มาสิงในร่างของสีกาอีกแล้ว” พระภิกษุชราพูดกับนางกลอย ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นหญิงชราอายุไม่ต่ำกว่า 80 ปี ที่นั่งอยู่ตรงหน้า....
- 👁️ ยอดวิว 779
แสดงความคิดเห็น