บทที่ 470: มันกำลังด่าข้าอยู่หรือ?

-A A +A

บทที่ 470: มันกำลังด่าข้าอยู่หรือ?

เจ้าส้มรีบปีนขึ้นไปบนไหล่ของมู่ไป๋ไป่และหรี่ตาจ้องเต่าสูงอายุตรงหน้า “จริงหรือ?”

“แน่นอน” หญิงสาวรู้จักนิสัยของเจ้าส้มเป็นอย่างดี เธอจึงยกมือลูบขนของมัน 2-3 ครั้งพลางกล่าวว่า “มาเถอะ กลับไปถึงห้องแล้วข้าจะสั่งให้คนไปเอาอาหารมาให้เจ้า ว่าแต่ช่วงที่ผ่านมาเจ้าไปอยู่ที่ไหน รู้หรือไม่ว่าข้ารอเจ้านานเพียงใดแล้ว”

หลังจากที่แมวตัวใหญ่รับรู้ถึงความนัยของมู่ไป๋ไป่ที่บอกว่า ‘เธอไม่ได้มีสัตว์เลี้ยงตัวอื่น’ มันก็ผ่อนคลายลง แต่ดวงตาสีทองกลมโตก็ยังคงจับจ้องไปที่เต่าเฒ่าเป็นระยะ ๆ ในขณะที่มันตอบว่า “แน่นอนว่าแมวตัวนี้ก็กินนอนอยู่บนถนน เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่ามันยากแค่ไหนที่แมวตัวน้อย ๆ อย่างข้าจะวิ่งตามพวกเจ้าทันได้?”

หญิงสาวขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยแย้ง “เจ้าส้ม เจ้าคงไม่ลืมวันเวลาเพราะเอาแต่หาของกินและเที่ยวเล่นมากเกินไปหรอกนะ เจ้าถึงได้ตามเราไม่ทัน”

ในวันนั้นเธอสั่งให้เจ้าแมวอ้วนลงไปใต้หน้าผาเพื่อตามหาคน แต่เธอก็พาตัวหลัวเซียวเซียวออกมาแล้ว แม้กระทั่งเวลานั้นมันก็ยังไม่ปรากฏตัว

“ในระหว่างทางข้าก็เดินทางไปหยุดพักไปและรอเจ้าอย่างน้อย 5-6 วัน” มู่ไป๋ไป่กล่าวพลางยกนิ้วขึ้นมานับ “แล้วสุดท้ายข้าก็กลับมาถึงวังหลวงได้ 3 วันแล้วกว่าเจ้าจะกลับมาถึง”

เจ้าส้มที่ได้ยินดังนั้นเหมือนถูกตีเข้ากลางหัว มันส่ายหางด้วยความรู้สึกผิด พร้อมกับยืดคอส่งเสียงในลำคออย่างทะนงตน “ฮึ เจ้าคิดว่าข้าเป็นแมวที่ไม่รับรู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์เลยหรืออย่างไร?”

“เส้นทางขึ้นจากใต้หน้าผานั้นคดเคี้ยวมาก ข้าเดินหลงอยู่ตั้งหลายวันโดยที่ไม่ได้กินเนื้อสักชิ้น ตอนนั้นข้าหิวโซมากเลย”

“นี่เจ้ากำลังสงสัยแมวตัวนี้อยู่หรือ… ดูเหมือนว่าข้าจะอยู่ในวังไม่ได้อีกต่อไปแล้วสินะ เช่นนั้นข้าจะไปเอง…”

ในขณะที่แมวตัวโตพูดอย่างนั้น มันก็กระโดดลงจากไหล่ของมู่ไป๋ไป่และทำท่าจะวิ่งหนีออกจากเรือน

หญิงสาวรู้ว่ามันกำลังแสดง เพราะเธอกับเจ้าส้มอยู่ด้วยกันมามากกว่า 10 ปีแล้ว เธอจะไม่รู้จักนิสัยของมันได้อย่างไร

“เอาล่ะ ๆ ถ้าเจ้ายังทำแบบนั้นต่อไป ข้าคงจะเดือดร้อนแน่ เจ้ารีบกลับมาเถอะ” มู่ไป๋ไป่พูดพลางส่ายหัวยิ้ม ๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในระหว่างที่เจ้าไม่อยู่ ข้าไม่มีคนคุยด้วยเลย”

“ฮ่า ๆๆ ถ้าเจ้ากล้าซักไซ้อีก คราวหน้าข้าจะไปจริง ๆ แล้ว” เจ้าส้มที่เดินลงบันไดไปแล้วหันกลับมาส่งเสียงในลำคอและปีนขึ้นมาบนตัวหญิงสาวอีกครั้ง ก่อนจะนอนลงบนตักของอีกฝ่าย “เอาเถอะ คราวนี้ข้าจะฝืนใจให้อภัยเจ้า”

“อ้อ อย่าลืมบอกห้องครัวให้เตรียมน่องไก่เอาไว้ให้ข้าด้วย ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว!”

จากนั้น 1 คน 1 แมวก็เดินเข้าไปในห้องขณะที่พูดคุยกัน

เซียวถังถังกับอวี้หวานหว่านที่ได้ยินเสียงจึงรีบออกมาต้อนรับพวกเธอเนื่องจากทั้งคู่รู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตำหนักตี้เฉิน

ใครจะไปคาดคิดว่ามู่ไป๋ไป่ไม่ได้กลับมาเพียงลำพัง แต่เธอยังพาเจ้าส้มกลับมาด้วย

“เจ้าส้ม!” ดวงตาของอวี้หวานหว่านเป็นประกายทันทีที่นางเห็นแมวตัวอ้วนในอ้อมแขนของศิษย์พี่ใหญ่ ก่อนที่นางจะรีบวิ่งมาหามัน “เจ้าส้ม ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ข้าคิดถึงเจ้ามาก”

“ฮึ่ย! เจ้าไปเที่ยวเล่นที่ไหนมาเจ้าแมวอ้วน” เซียวถังถังเอื้อมมือไปจิ้มพุงย้วย ๆ ของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว “ทำไมมันถึงได้กลมขนาดนี้ ถ้าเจ้าเป็นแมวตัวเมีย ข้าคงคิดว่าเจ้ากำลังตั้งท้อง”

เจ้าส้มผุดลุกขึ้นแล้วพยายามจะแขม่วท้องตัวเองให้เล็กลง ทว่ามันใหญ่มากเกินไป ไม่ว่ามันจะพยายามแขม่วมากแค่ไหน มันก็ดูไม่ต่างจากเดิม

“มู่ไป๋ไป่ ทำไมเจ้าไม่ดูแลศิษย์น้องของเจ้าเลย เจ้าเด็กนี่เรียนหมอก็ไม่เก่ง เก่งแต่พูดไม่หยุด แถมยังมาเรียกแมวตัวนี้ว่าเป็นแมวอ้วนอีก”

“ข้าไปอ้วนบนหัวนางหรืออย่างไร!”

“ไป๋ไป่ มันกำลังพูดอะไรหรืออยู่?” เซียวถังถังไม่เข้าใจว่าเจ้าส้มร้องโวยวายอะไร แต่นางก็พอจะเดาได้จากการที่มันพยายามแขม่วท้องตัวเอง “มันกำลังด่าข้าอยู่หรือ?”

“ถูกต้องแล้ว ข้ากำลังด่าเจ้าอยู่!” เจ้าแมวอ้วนพูดสวนขึ้นทันควัน 

ทางด้านมู่ไป๋ไป่ฟังศิษย์น้องกับแมวของตนซึ่งโต้ตอบกันได้อย่างลื่นไหล ส่งผลให้บรรยากาศที่ตึงเครียดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว

จากนั้นเธอก็เรียกคนให้มาตั้งโต๊ะเตรียมสำรับอาหาร

เนื่องจากนางกำนัลและขันทีที่รับใช้ในตำหนักอวี๋ชิงล้วนเป็นคนใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารของเจ้าส้ม หญิงสาวจึงได้สั่งอาหารที่มันชื่นชอบ และเอ่ยเตือนพวกเขาถึงข้อควรระวัง

เมื่อเธอจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เจ้าส้มกับเซียวถังถังก็ดูเหมือนว่าจะทะเลาะกันจนเบื่อแล้ว ทั้งคู่จึงสุมหัวกินผลไม้อยู่ด้วยกัน

ท่าทางของทั้ง 2 ดูเข้ากันได้ดีประหนึ่งว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน

“ไป๋ไป่ พี่ชายข้าอยู่ที่ไหน?” เซียวถังถังกับเจ้าส้มกำลังแบ่งส้มกินกันในตอนที่นางคิดถึงพี่ชายของตัวเองขึ้นมาได้ “ทำไมเขาถึงไม่กลับมากับท่านล่ะ?”

“ตอนนี้เขายังอยู่ในคุกหลวง” มู่ไป๋ไป่ถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่น “ราชองครักษ์ในตำหนักตี้เฉินพยายามลอบปลงพระชนม์ท่านพ่อกับท่านพี่ของข้า เรื่องนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวนโดยมีพี่ชายของเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ”

“ลอบปลงพระชนม์?” ถ้วยชาในมือของอวี้หวานหว่านพลันสั่นไหว นางถามขึ้นมาในขณะที่นางรู้สึกเป็นกังวลว่า “ฝ่าบาทกับ… องค์รัชทายาทได้รับบาดเจ็บหรือไม่เจ้าคะ?”

“พวกเขาย่อมไม่ได้รับบาดเจ็บหรอก!” เซียวถังถังพูดพร้อมกับทุบโต๊ะเสียงดังโดยไม่รอให้มู่ไป๋ไป่ได้ตอบอะไร

“ในเมื่อท่านพี่ของข้าอยู่ด้วย ฝ่าบาทกับองค์รัชทายาทจะได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?”

มู่ไป๋ไป่รู้สึกขบขันกับความมั่นใจของศิษย์น้อง แต่เธอก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดถูก

ถ้าตอนนั้นเซียวถังอี้ไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย เธอคงไม่มีความมั่นใจมากพอที่จะควบคุมสถานการณ์ด้วยตัวเองได้

“โชคดีแล้วที่ทั้ง 2 พระองค์ไม่ได้รับบาดเจ็บ” อวี้หวานหว่านถอนหายใจด้วยความโล่งอกและยิ้มจาง ๆ “ดีแล้วที่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน”

“แต่ทำไมจู่ ๆ ราชองครักษ์ถึงกล้าลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทกับองค์รัชทายาท?” เซียวถังถังถามพลางขมวดคิ้วมุ่น

แม้ว่านางจะไม่ใช่คนดีเด่นอะไร แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นเชื้อพระวงศ์ นางรู้ดีถึงสถานการณ์ในวังหลวง 

คนที่สามารถเข้ามาอยู่ในฐานะราชองครักษ์ได้จะต้องเป็นบุคคลจากตระกูลขุนนาง

ถ้าจะให้พูดกันตามตรงก็คือ พวกเขาจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นทหารรักษาพระองค์ในวังหลวงได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้รับความไว้วางใจจากเชื้อพระวงศ์เป่ยหลงมากพอเท่านั้น

กลุ่มคนเช่นนี้จู่ ๆ จะมาก่อเหตุปลงพระชนม์อย่างกะทันหันได้อย่างไร?

มู่ไป๋ไป่ที่กำลังจะพูดเรื่องอาคม จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากภายนอก

“เกิดอะไรขึ้น?” หญิงสาวขมวดคิ้ว หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักตี้เฉินเมื่อสักครู่ เธอก็รู้สึกวิตกกังวลมากกว่าเดิม “เจ้าส้ม เจ้าออกไปดูหน่อย!”

แมวสีส้มตัวโตไม่อิดออดเลยสักนิด มันกระโดดลงจากโต๊ะด้วยความคล่องแคล่วและหายตัวออกไปจากเรือนในพริบตา

“ถังถัง เจ้าอยู่ดูแลหวานหว่านที่นี่” มู่ไป๋ไป่จับไหล่ของเซียวถังถังในขณะที่นางพยายามจะเดินตามเธอออกไป “ถ้าเจ้าสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติให้รีบพาหวานหว่านออกไปทันที แล้วกลับไปที่ตำหนักอ๋องเซียว”

“แต่ว่า…” เซียวถังถังไม่เห็นด้วย เดิมทีนางเป็นคนที่ชอบมีส่วนร่วมในการทำสิ่งต่าง ๆ แต่จู่ ๆ นางก็ถูกอีกฝ่ายขวางเอาไว้ซึ่งมันทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจมาก

“ศิษย์พี่ใหญ่ ให้ศิษย์พี่รองไปกับท่านด้วยเถอะ” อวี้หวานหว่านพูดขึ้นมาอย่างมีเหตุผล “ในวังหลวงมีทหารคอยรักษาการณ์เข้มงวด แถมยังมีองครักษ์เงาคอยดูแลอยู่รอบกาย ข้าไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ”

เมื่อเซียวถังถังได้ยินศิษย์น้องพูดเช่นนั้น นางก็เกือบหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “หวานหว่านยังฉลาดเหมือนเดิม ไป๋ไป่ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นท่านต้องพาข้าไปด้วย!” 

มู่ไป๋ไป่คิดถึงเรื่องนี้และรู้สึกว่าสิ่งที่อวี้หวานหว่านพูดนั้นมีเหตุผล เธอจึงพยักหน้าและเอ่ยกำชับเด็กหญิงอีก 2-3 ประโยค เสร็จแล้วเธอก็พาเซียวถังถังไปที่ห้องโถงด้านหน้าของตำหนักอวี๋ชิง

ทันทีที่เธอเดินไปถึงบริเวณห้องโถง เธอก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาผิดปกติของซูหว่านดังมาจากที่ไกล ๆ “อันกงกง ฝากท่านกลับไปทูลฝ่าบาทว่าข้าไม่สบายจึงไปเข้าเฝ้าพระองค์ไม่ได้”

หญิงสาวชะงักฝีเท้าและกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ ท่านพ่อเรียกท่านแม่ของเธอไปพบอีกครั้งหรือ?

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.