บทที่ 6 อัศวิน
บทที่ 6 อัศวิน
วันรุ่งขึ้น เอไลมุ่งหน้าไปยังห้องสมุดผ่านแสงแดดยามเช้า
ระหว่างทาง เอไลรู้สึกถึงความแตกต่างหลังจากได้กลายเป็นเด็กฝึกหัดระดับ 1 แล้ว
ความก้าวหน้าของพลังจิตของเขาได้เปลี่ยนโลกในจิตใจของเอไลในทันที ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวเขาชัดเจนและมองเห็นได้อย่างละเอียดมากขึ้น และสมองของเขาก็ทำงานเร็วขึ้นเช่นกัน
ตราบใดที่อยู่ในระยะการรับรู้ของเขา เขาก็สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
มีผู้คนเดินผ่านไปมาอย่างเร่งรีบด้วยสีหน้ากังวล หญิงสาวที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และบางคนที่จงใจโน้มตัวเข้าหาฝูงชน ดวงตาของพวกเขากวาดไปรอบๆ ลักษณะดูเหมือนจะไม่เป็นคนดี
เห็นได้ชัดว่านี่คือการรับรู้ของนักเวทย์ ความคิด ความจำ และความสามารถทางด้านจิตใจอื่นๆ ของนักเวทย์นั้นเหนือกว่าอัศวินโดยสิ้นเชิง
ในความเป็นจริง แม้แต่อัศวินขั้นสูงก็ไม่อาจเทียบได้กับการรับรู้ในปัจจุบันของเขา
ในขณะที่เอไลกำลังเดินอยู่นั้นเขาก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีพลังชีวิตอันทรงพลังราวกับสัตว์ป่าคลั่งปรากฏอยู่ข้างหลังเขา
เอไลหันศีรษะไปพร้อมกับมีเสียงกีบเท้าดังขึ้นจากทิศทางนั้น
ห่างออกไปไม่กี่เมตรในทิศทางนั้นปรากฏชายฉกรรจ์คนหนึ่งกำลังขี่ม้าที่ดูแข็งแกร่งอยู่กลางถนน
ชายร่างกำยำนั้นสูงและรูปร่างดี เสื้อผ้าลำลองธรรมดาๆ ของเขาก็ขยายออกตามกล้ามเนื้อ ดาบขนาดใหญ่แขวนอยู่ที่ด้านหนึ่งของม้า ปลดปล่อยประกายเย็นยะเยือกออกมา
ไม่จำเป็นต้องถามก็รู้ว่าเขาเป็นอัศวินอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นดาบในมือของเขาหรืออัศวินรับใช้ที่ติดตามเขาทั้งสองด้าน สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงตัวตนอันพิเศษของเขา
และจากตราอัศวินบนหน้าอกของเขา บ่งบอกว่าเขาเป็นอัศวินระดับกลาง
อัศวินถูกแบ่งออกเป็นอัศวินระดับต่ำ อัศวินระดับกลาง อัศวินระดับสูง อัศวินผู้ยิ่งใหญ่ และอัศวินนภา
อัศวินระดับต่ำสามารถใช้พลังชีวิตของเขาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ซึ่งเกินขีดจำกัดของมนุษย์ อัศวินระดับกลางนั้นมีพลังมากกว่า มีพลังชีวิตที่สมบูรณ์กว่า และแข็งแกร่งกว่า ส่วนอัศวินระดับสูงนั้นสามารถสะสมพละกำลังไว้ในร่างกายและแม้แต่ควบคุมกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายของเขาได้อย่างสมบูรณ์ ผู้คนหลายสิบคนจะไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้
สำหรับอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ และอัศวินนภา เอไลไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขามากนัก
นอกจากนี้ ในฐานะกระดูกสันหลังของโลกนี้ อัศวินมักจะได้รับการปฏิบัติที่ดีในจักรวรรดิ ส่วนใหญ่พวกเขาก็เป็นขุนนางหรือสืบสายเลือดมาจากสายเลือดที่ยิ่งใหญ่และสถานะของพวกเขาก็สูงส่งอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ตามบันทึกเล่มนั้นกล่าวไว้ ตราบใดที่มีการเตรียมตัวมาอย่างที่ดี นักเวทย์ระดับ 1 ก็สามารถฆ่าอัศวินระดับสูงได้ ด้วยเหตุนี้ในบันทึกของซาลีน เมทาตินจึงเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามอัศวินอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะดูถูกเหยียดหยามอัศวิน แต่จักรวรรดินี้ก็ยังถูกควบคุมและถูกขับเคลื่อนโดยอัศวิน
อัศวินเป็นกำลังหลักในการปกครองจักรวรรดินี้และแน่นอนว่านักเวทย์ไม่เป็นที่รู้จักมานักในจักรวรรดินี้
และข้างหน้าของอัศวินระดับกลางคนนี้ก็มีอัศวินอีกคนหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับเขาอยู่
เขาผมสีทอง มีดวงตาที่เฉียบคมราวกับนกอินทรีกำลังจ้องมองชายร่างกำยำตรงหน้าเขา
“เอลวิส เจ้ากำลังหาเรื่องข้าหรือเปล่า” อัศวินร่างกำยำเหลือบมองอัศวินผมทองแล้วถามขึ้น
“เจ้าต่างหากที่ขวางทางข้า” อัศวินชื่อเอลวิสก็ไม่ถอยเช่นกัน ตราที่มีดาบสองเล่มบนหน้าอกของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นอัศวินระดับกลางเช่นเดียวกัน
“งั้นเรามาดวลกัน” ชายร่างกำยำมองไปที่เอลวิสแล้วพูดตรงๆ
ดวล!
การแก้ปัญหาระหว่างอัศวิน
และจากการพูดคุยของฝูงชน เอไลก็เข้าใจเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น
ปรากฎว่าอัศวินชื่อเอลวิสได้มาขวางเส้นทางของอัศวินคนอื่น ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งนี้
มันฟังดูไร้สาระ
อย่างไรก็ตามเอไลซึ่งอยู่ที่นี่มานานกว่าสองเดือนจึงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ
นั่นเป็นวิธีการทั่วไปของโลกใบนี้ แม้แต่น้ำผึ้งหยดก็อาจเป็นสาเหตุของการต่อสู้ระหว่างอัศวินสองคน
แม้แต่เอิร์ลสองคนก็สามารถเริ่มทำสงครามได้ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ความต้องการเป็นเจ้าของๆชาวนาหรือม้าศึกที่ดี
ภายในจักรวรรดิมีการสู้รบอย่างต่อเนื่อง
ในสงคราม อัศวินเป็นกำลังรบหลัก พวกเขากล้าหาญและไม่กลัวตาย ต่อหน้าพวกเขา คนธรรมดาถ้าไม่สวมชุดเกราะหนักจะตายในการโจมตีครั้งเดียว
แม้ว่าจะพ่ายแพ้สงครามและอัศวินถูกจับ พวกเขาจะไม่ถูกฆ่า พวกเขาจะถูกจับเป็นเชลย และครอบครัวหรือเจ้านายของพวกเขาจะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อไถ่ตัวพวกเขา
นี่คือโลกที่มีแต่คนธรรมดาเท่านั้นที่ต้องทนทุกข์ทรมาน
"ดี!" เมื่อเผชิญหน้ากับการยั่วยุของอัศวินร่างกำยำ เอลวิสก็พยักหน้า
จากนั้นภายใต้การจ้องมองของสามัญชนรอบๆบริเวณนี้ อัศวินทั้งสองก็โผทะยานออกไป
ตลอดทางไม่มีใครกล้าขวางทางพวกเขา ทุกคนหลบออกอย่างรวดเร็ว
อัศวินทั้งสองขี่ม้ากันทั้งคู่ และดูเหมือนพวกเขาจะการกระทำที่เหมืองกันแทบทุกอย่าง พวกเขามองไปที่พลเรือนที่อยู่รอบ ๆ พวกเขาโดยไม่มีความผันผวนในสายตาของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย และเมื่อพวกเขาสบตากัน ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายราวกับประกายไฟ
พวกเขาก็ควบม้าออกไปเพื่อหาที่ประลองกัน
ห่างออกไปหลายสิบเมตรเอไลที่กำลังรับชมฉากนี้อยู่ เมื่อเหล่าอัศวินกำลังเดินเข้ามาใกล้เขา ดังนั้นเขาจึงรีบก้าวออกไปเช่นกัน เพราะเขาไม่ต้องการสร้างปัญหาใดๆ
“ช่างเป็นโลกที่โหดร้ายจริงๆ!” หลังจากที่อัศวินทั้งสองจากไป เอไลก็ยืนอยู่ก็พูดออกมาเบาๆ
จากการจ้องมองของอัศวินทั้งสองที่เดินผ่านไปเมื่อกี้ เอไลก็เห็นความรู้สึกที่คล้ายตัวเองเหนือกว่า ราวกับว่ามนุษย์ธรรมดาเป็นสัตว์เลี้ยงของพวกเขา
พวกเขาจะขอบคุณเจ้า สนทนากับเจ้าตามปกติ และแม้แต่ปกป้องเจ้าจากอันตราย แต่ลึกๆ แล้วพวกเขายังคงดูถูกเจ้า ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ แต่นี่คือความไม่แยแสโดยสิ้นเชิง
นี่คืออัศวิน
ในสายตาของอัศวิน สถานะของคนธรรมดานั้นเลวร้ายยิ่งกว่าที่เอไลคิดไว้เสียอีก
ในขณะนั้นห่างจากเอไลไม่กี่เมตร เด็กคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ตรงจุดนั้นมองมาที่เขาและแสดงสีหน้าตื่นเต้น เขามองไปรอบ ๆ แล้วลูบมือไปมาอย่างดีใจ
เขาเพ่งมองไปที่ถุงเงินข้างเอวเอไลด้วยความตื่นเต้นขณะสังเกตการกระทำของเอไล
'เยี่ยม สายตาของเขาจ้องตรงไปข้างหน้าราวกับว่าเขาไม่ได้ระวังตัวเลย'
เด็กน้อยระงับความยินดีไว้ในใจ 'งานแรกที่หวานเจี้ยบของวัน!'
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะสัมผัสถุงเงิน ก็มีมือข้างหนึ่งคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ก่อน
เด็กคนนั้นเงยหน้ามองเอไลซึ่งกำลังมองไปทิศทางของอัศวินกำลังเดินไป ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เขามองไปที่ถุงเงินจากนั้นก็มองไปที่เอไลราวกับว่าเขากำลังเห็นผี
'เขามีดวงตาที่ด้านหลังศีรษะงั้นหรือ?
'ข้ายังไม่ได้แตะเลยด้วยซ้ำ เขารู้ได้อย่างไร?
'ไม่ดีแล้ว!'
ในทางกลับกัน เอไลก็หันหน้ามามองเด็กชายคนนั้น เขาสวมชุดผ้าลินินขาดรุ่งริ่งและผอมมาก เอไลส่ายหัวจากนั้นก็ปล่อยมือและเดินจากไป
มีเด็กจำนวนมากในโลกนี้ และส่วนใหญ่อยู่ในแก๊งค์มิจฉาชีพ พวกเขาถูกใช้เป็นเครื่องมือหาเงินโดยแก๊ง มันช่างน่าสมเพชยิ่งนัก และไม่มีความจำเป็นที่เอไลจะต้องสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับพวกเขา
สิ่งสำคัญคือเรื่องมันจะยุ่งยากมากขึ้น แม้จะมอบตัวเขาให้กับนายอำเภอแล้ว นายอำเภอก็จะปล่อยเขาไป ท้ายที่สุดเขาเป็นแค่เด็ก และเป็นการยากที่จะหาบทลงโทษที่มีประสิทธิภาพ
เด็กที่ถูกปล่อยตัวก็ดูขอบคุณเช่นกัน จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าไปในฝูงชนและหายไปในพริบตา
“เฮ้อ โลกใบนี้นี่มันห่วยแตกจริง!” เอไลแตะกระเป๋าเงินที่ว่างเปล่าของเขาและถอนหายใจ
เขาสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายของเด็กน้อยด้วยประสาทสัมผัสพิเศษของนักเวทย์ แต่ถึงแม้เขาจะไม่ได้ป้องกันอะไรหรือปล่อยให้เด็กนั้นลวงได้ ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม
เขาไม่มีเงินเลยแม้สักเหรียญเดียว ในเมื่อเขาไม่มีเงิน เขาจะถูกขโมยได้อย่างไร?
“ต้องรีบแล้ว ข้ากำลังจะไปสาย”
ราวกับว่าเขานึกอะไรบางอย่างได้ ทันใดเขาก็วิ่งไปที่ห้องสมุดทันที
สารบัญ / นำทาง
- ยอดวิว 189
แสดงความคิดเห็น