ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
ในสำนักงานหรูหราของตึกระฟ้าใจกลางเมือง แทนตะวัน วงสกุลสถาพร นักธุรกิจวัยสามสิบปี กำลังจ้องเอกสารตรงหน้าอย่างจมลึกในความคิด ความเครียดที่ซ่อนอยู่ในแววตาสะท้อนถึงแรงกดดัน แผ่นกระจกบานใหญ่เผยภาพเมืองที่ไม่เคยหลับใหล ดวงไฟนับไม่ถ้วนราวกับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองและความวุ่นวายของมหานคร แต่สำหรับแทนตะวัน โลกภายนอกกลับกลายเป็นเพียงภาพเบลอ ๆ หลังกรอบกระจกสีเทา ความสงสัยยังคงวนเวียนอยู่ในใจว่าเส้นทางที่เดินอยู่นั้นคือสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
ห้องทำงานที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพ เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งเคลือบเงาเข้ากับเก้าอี้หนังสีดำหรูหรา ชั้นวางหนังสืออัดแน่นไปด้วยตำราธุรกิจและนิตยสารต่างประเทศ ทุกสิ่งดูจัดวางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย บ่งบอกถึงความสำเร็จของเจ้าของห้องโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด แต่ในบางครั้ง แทนตะวันกลับรู้สึกเหมือนเป็นแค่หุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้ทำงานซ้ำไปซ้ำมา โดยไร้ซึ่งความหมายของชีวิต
เขาถอนหายใจยาว พลางทอดสายตามองผ่านหน้าต่างออกไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ เมื่อนึกถึงอดีตอันเจ็บปวด... การสูญเสียบิดามารดาในอุบัติเหตุเครื่องบินตั้งแต่วัยเยาว์ ชะตากรรมอันโหดร้ายที่พรากความอบอุ่นของครอบครัว ทิ้งเขาไว้ในอ้อมกอดของคุณยายแทนมณี ผู้มอบความรักอันแท้จริงและหล่อหลอมจิตใจให้แฝงความอ่อนโยน แม้กระนั้น ชีวิตยังคงโหดร้าย คุณยายผู้เป็นทุกสิ่งก็จากไปเช่นกัน เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า
สิ่งรอบตัวที่สร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงควรจะทำให้ชีวิตสมบูรณ์แบบ แต่กลับไม่อาจเติมเต็มช่องว่างในหัวใจได้เลย ฝันในวัยเยาว์ที่เคยอยากมีทุกสิ่ง ทั้งทรัพย์สิน บ้านหลังใหญ่ หรือรถหรู บัดนี้กลับไม่มีสิ่งใดทำให้รู้สึกสมบูรณ์
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปลุกแทนตะวันจากห้วงความคิด เมื่อเห็นชื่อ "กิตติชัย" ปรากฏบนหน้าจอ รอยยิ้มบาง ๆ ก็ผุดขึ้นโดยไม่รู้ตัว กิตติชัยคือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวตั้งแต่วัยมัธยม ผู้ไม่เคยใส่ใจกับสถานะหรือทรัพย์สิน ทำให้แทนตะวันยังรู้สึกว่ามีใครสักคนที่อยู่เคียงข้างในโลกแห่งการแย่งชิงนี้
"เฮ้ย แทน! เย็นนี้ว่างไหม? เลิกงานเร็วหน่อย ฉันรออยู่ข้างล่างแล้ว ขอติดรถไปด้วย" เสียงปลายสายสดใส แตกต่างจากน้ำเสียงเรียบเฉยที่แทนตะวันมักใช้เป็นประจำจนเคยชิน
นักธุรกิจหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ หลังประชุมสำคัญเสร็จสิ้น งานยังคงรออยู่ แต่เขารู้ว่ากิตติชัยไม่เคยให้ความสำคัญกับเวลา หรือสถานะของใครเป็นพิเศษ คงไม่มีอะไรที่ทำให้เพื่อนคนนี้จริงจังนัก
"ไปไหน?" น้ำเสียงเปรยถาม พลางจัดเอกสารลงแฟ้มอย่างเป็นระเบียบ
"ถึงแล้วแกก็รู้เอง เจอกันหน้าบริษัทนะ"
ปลายสายวางลงทันที ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจยาว รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ
"เฮ้อ… อะไรของมันวะ" เขาพึมพำขำเบา ๆ
แม้ว่ามักหงุดหงิดกับนิสัยที่ชอบทำอะไรตามใจของเพื่อนสนิท ความเหนื่อยล้าก็ทำให้ไม่มีแรงพอจะปฏิเสธ ที่สำคัญ กิตติชัยคือเพื่อนแท้คนเดียวในโลกธุรกิจอันโดดเดี่ยวนี้ แม้จะรำคาญ แต่ในใจลึก ๆ ก็ยอมรับว่าเป็นคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ
แทนตะวันหยิบสูทสีเทาพาดบนพนักเก้าอี้ขึ้นมาสวม ก้าวออกจากห้องทำงานด้วยจังหวะที่ผ่อนคลาย ลิฟต์นำพาลงไปยังที่จอดรถใต้ตึก เขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนครั้งยังเด็ก ที่ชีวิตเต็มไปด้วยความหวังและความสดใส
เมืองยังคงส่งแสงไฟระยิบระยับจากตึกสูงและถนนคึกคักราวกับเครื่องจักรที่ทำงานไม่มีวันหยุดพัก แต่สำหรับแทนตะวัน ความเหงายังคงเป็นเพื่อนที่ติดตามอยู่เสมอ แม้จะอยู่ในโลกที่รายล้อมด้วยทุกสิ่ง
กิตติชัยรออยู่หน้าบริษัทอย่างไม่รีบร้อน เมื่อเห็นเพื่อนขับรถมาถึงก็ยิ้มแย้ม โบกมือเรียก
"ไปกันเถอะ!" น้ำเสียงสดใส พลางเปิดประตูรถ กระโดดขึ้นมานั่งข้าง ๆ แทนตะวัน รอยยิ้มอบอุ่นของเพื่อนสนิทช่วยให้ความอึดอัดในใจลดลงเล็กน้อย
"อืม" เสียงตอบรับเบา ๆ ขณะรถออกจากหน้าบริษัท มุ่งหน้าไปตามถนนที่เต็มไปด้วยแสงไฟจากเมืองที่ไม่เคยหลับ
รถยนต์หรูเคลื่อนตัวไปตามถนนสายหลัก ท่ามกลางแสงไฟยามค่ำคืนที่ทอดยาวสู่เบื้องหน้า “แทนตะวัน” ชายหนุ่มเคร่งขรึมที่นั่งหลังพวงมาลัย จมอยู่ในความคิด ขณะที่ “กิตติชัย” เพื่อนสนิทเอนตัวสบาย ๆ บนเบาะข้าง คนละขั้วในแบบที่เข้ากันอย่างน่าประหลาด เพลงเบา ๆ ดังคลอเป็นฉากหลังของบทสนทนาระหว่างสองชีวิตที่ต่างกัน
กิตติชัย รูปร่างสูงโปร่ง ผิวเข้มเล็กน้อย ใส่เชิ้ตลำลองกับกางเกงยีนส์ที่ส่งกลิ่นอายความสบายและง่าย ๆ ต่างจากสูทเนี้ยบของแทนตะวันที่ไม่เคยหลุดกรอบ เห็นเพื่อนเครียดจัดเพราะงาน กิตติชัยจึงคิดแผนการเพื่อผ่อนคลาย—เพราะชีวิตที่หมกมุ่นแต่กับงานไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง
“แทน ขับเร็วหน่อยได้ไหม เดี๋ยวไม่ทันนะโว้ย”
“สรุปจะพาฉันไปไหนกันแน่?” น้ำเสียงต่ำของแทนตะวันแฝงความไม่อยากยุ่ง
“เซอร์ไพรส์สิวะ!”
จากถนนสายหลักที่ราบเรียบเปลี่ยนเป็นเส้นทางสายเล็ก เต็มไปด้วยร้านอาหารและบาร์ที่เรียงรายท่ามกลางแสงไฟหลากสี ความคึกคักของชีวิตในยามค่ำคืนเปิดโลกอีกใบให้แทนตะวันได้สัมผัส
“ถึงแล้ว! ร้านนี้แหละ”
กิตติชัยชี้ไปยังอาคารที่ประดับป้ายไฟขนาดใหญ่ ตัวอักษร “อ้อยจันทร์พันใจ” ส่องประกายเด่นชัด ทันใดนั้น แทนตะวันจอดรถ สายตาไล่ไปตามตัวอักษร คิ้วขมวดแน่น ราวกับแปลกใจในสิ่งที่เห็น
“แกพาฉันมาที่แบบนี้เนี่ยนะ?”
“เออน่า ผ่อนคลายบ้าง แกทำงานจนจะกลายเป็นหุ่นยนต์อยู่แล้ว”
คำตอบแสนง่ายจากกิตติชัยพร้อมมือที่จับแขนเขาลากเข้าไปในร้านหรูหราที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและดนตรี เสียงแก้วเครื่องดื่มกระทบกันดังคลอสร้างบรรยากาศของการปลดปล่อยชีวิตให้เป็นอิสระ
“สักหน่อยไหม แทน?” กิตติชัยยื่นแก้วเครื่องดื่มให้
แทนตะวันเพียงส่ายหน้า ความเรียบเฉยที่เป็นธรรมดาสำหรับเขา
“แกนี่มันไม่มีอารมณ์สนุกเลยนะ!”
กิตติชัยหัวเราะออกมาดัง ก่อนเรียกพนักงานที่เดินเข้ามาใกล้ เขากระซิบคำสั่งที่ทำเอาแทนตะวันถึงกับต้องถอนหายใจ
“น้อง พี่ขอเด็กใหม่ ไม่เคยผ่านใครได้ยิ่งดี จัดให้เพื่อนพี่หน่อย กระเป๋าหนัก เปย์ไม่อั้น”
พนักงานเพียงยิ้มรับอย่างมืออาชีพ ก่อนนำพวกเขาไปยังห้องรับรองวีไอพี
แทนตะวันที่ถอนหายใจเดินตามอย่างเสียไม่ได้ ห้วงความคิดวนเวียนเหนื่อยใจในความเซอร์ไพรส์ของเพื่อนสนิท แต่เหนื่อยใจกว่าเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีแรงพอจะปฏิเสธตั้งแต่แรก...
ในอีกมุมของอาคาร “อ้อยจันทร์” หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วม ผิวขาวเหลือง นั่งทอดกายอยู่หลังโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ กองเอกสารวางระเกะระกะปกคลุมพื้นที่ราวกับบ่งบอกถึงความวุ่นวายในหน้าที่การงาน ใบหน้ากลมที่กรอบด้วยคิ้วหนาเผยแววตาเจ้าเล่ห์ เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของนักธุรกิจสายบันเทิงผู้มากประสบการณ์
เสียงฝีเท้าของพนักงานชายสะท้อนในห้อง ก่อนเจ้าตัวจะโค้งกระซิบเบา ๆ ข้างหู
“เจ๊ครับ... ลูกค้ากระเป๋าหนัก ขอเด็กใหม่ ไม่เคยผ่านใคร”
คิ้วของอ้อยจันทร์ขยับเล็กน้อย เธอเอ่ยเสียงเรียบแต่น้ำเสียงแฝงความเด็ดขาด
“อยู่ห้องไหน?”
“ห้องรับรองวีไอพีครับ”
ริมฝีปากของเธอขยับเป็นรอยยิ้มบาง ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ด้วยท่าทีที่สง่างาม
“ดี... งั้นไปดูกันหน่อย”
พนักงานนำทางเธอไปยังห้องดังกล่าว ประตูถูกแง้มออกเพียงเล็กน้อย เผยให้เห็นภาพชายสองคนกำลังสนทนากัน คนหนึ่งสวมชุดสูทราคาแพง มาดสุขุม ดูภูมิฐาน อีกคนแต่งกายลำลอง เปี่ยมเสน่ห์และความสบาย ๆ เป็นกันเอง
“หน้าตาดีทั้งคู่เลยนะ รู้ไหมว่าเป็นใคร?” อ้อยจันทร์เอ่ยถามพนักงานสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สายตาชี้ไปทางแทนตะวัน
“อ๋อ... คนที่หล่อ ๆ นั่นเป็นนักธุรกิจชื่อดังค่ะ เคยลงข่าวสังคมด้วย หนูยังอยากดูแลเองเลย”
คำตอบนั้นเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากอ้อยจันทร์ สายตาของเธอครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ
“ขอเด็กใหม่ ถ้าส่งเธอไป ฉันก็เสียชื่อสิ ไปดูโต๊ะอื่นเถอะ”
พนักงานสาวทำหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้อ้อยจันทร์ยืนครุ่นคิดอย่างละเอียดลึกซึ้ง
ผ่านไปเพียงอึดใจ เธอหันไปสั่งพนักงานชายที่ยืนรอคำสั่ง “ไปบอกปลายฝนให้เตรียมตัว ดูแลลูกค้าสองคนนั้นให้ดี อย่าให้เสียชื่อ เข้าใจไหม?”
“ครับ เจ๊!”
แทนตะวันนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาหนังสีดำ บุคลิกเคร่งขรึมยิ่งชัดเมื่ออยู่ในห้องรับรองหรูหราที่ตกแต่งด้วยโทนสีทองและน้ำตาลเข้ม ผนังติดวอลเปเปอร์ลายดอกไม้แบบคลาสสิก แสงไฟคริสตัลสะท้อนเงาอ่อนโยน โรยกลิ่นอายโรแมนติกทั่วทั้งห้อง พื้นปูพรมแดงเข้มช่วยเสริมความสง่างาม แม้จะมีเตียงคิงไซส์ตั้งอยู่กลางห้องอย่างโดดเด่น แต่มันกลับทำให้แทนตะวันรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
“แกจะทำอะไรอีกวะ กิต” เขาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแฝงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“น่าแทน… รอแป๊บ เดี๋ยวก็รู้เอง” กิตติชัยตอบพร้อมรอยยิ้มที่แฝงความเจ้าเล่ห์
ไม่นานนัก ประตูห้องถูกเปิดออก หญิงสาวร่างบางก้าวเข้ามาในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนพอดีตัว ผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้าเรียว ดวงตากลมโตที่แฝงแววเศร้าดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้อง แม้ภายนอกเธอดูบอบบาง แต่กลับให้ความรู้สึกว่าภายในนั้นเข้มแข็งกว่าที่ตาเห็น
เธอเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามกับชายทั้งสอง ลอบมองพวกเขาด้วยความสงสัย คนหนึ่งแต่งตัวสบาย ๆ มีเสน่ห์ในแบบที่เป็นกันเอง แววตาอ่อนโยนฉายรอยยิ้มอบอุ่นตลอดเวลา อีกคนกลับต่างออกไป เขาดูเคร่งขรึม แต่งกายภูมิฐาน มีแววตาคมดุและไร้รอยยิ้ม
“น้องชื่ออะไรครับ” กิตติชัยเปิดบทสนทนาด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์
หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนตอบเบา ๆ “เอ่อ...ปลายฝนค่ะ”
“ปลายฝน... น้องน่ารักมาก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” กิตติชัยเอ่ยพร้อมแย้มยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” แม้รอยยิ้มที่ตอบกลับจะดูเกร็ง แต่ก็ยังคงเสน่ห์อันอ่อนโยน
ขณะกิตติชัยสนทนากับหญิงสาว นักธุรกิจหนุ่มเพียงหันหน้าไปอีกทาง ความรู้สึกอึดอัดเกาะกินในหัวใจ เขาเกลียดสถานการณ์แบบนี้ และเริ่มเสียใจที่ตัดสินใจตามมา
เมื่อคิดจะลุกขึ้นขอตัวออกไป เสียงของกิตติชัยกลับดังขึ้นราวกับอ่านใจออก
“งั้นพี่ขอตัวไปหาสาว ๆ บ้างนะครับ น้องปลายฝนช่วยดูแลเพื่อนพี่หน่อย ชื่อแทนตะวัน เรียกว่าแทนก็ได้ เปย์ไม่อั้นเหมือนกัน ฮ่า ๆ”
แทนตะวันหันขวับ จ้องเพื่อนสนิทด้วยแววตาไม่พอใจ กิตติชัยเพียงยักคิ้วพร้อมตบบ่าเบา ๆ
“เฮ้ย เดี๋ยวฉันมานะเว้ย คุยกับน้องไปพลาง ๆ ก่อน”
คำพูดทิ้งท้ายไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้ง หนุ่มเจ้าเสน่ห์ลุกออกไป ทิ้งไว้เพียงความอึดอัดที่ค้างคาในใจแทนตะวัน
เขามองตามหลังเพื่อน ทบทวนตัวเองว่าเหตุใดจึงยอมปล่อยให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้น ทั้งที่ตัวเองเกลียดการเสแสร้งในสถานที่แบบนี้
จนกระทั่งสายตาของเขาเหลือบไปสบกับหญิงสาวที่ยังนั่งสงวนท่าทีอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตากลมโตที่แฝงความเศร้านั้น ทำให้หัวใจของเขาสะท้านอย่างประหลาด ราวกับเห็นเงาสะท้อนของความอ้างว้างที่เกาะกุมอยู่ในตัวเอง
ทว่า เขาเลือกที่จะปล่อยผ่าน…
แต่ค่ำคืนนี้—ชะตากำลังจะเปลี่ยนชีวิตของแทนตะวันไปตลอดกาล


แสดงความคิดเห็น