ตอนที่ 2
ห้องรับรองเงียบสนิท บรรยากาศยิ่งอึดอัดเมื่อขาดเสียงหัวเราะและบทสนทนาของกิตติชัย
ปลายฝน ขยับตัวเล็กน้อยด้วยความประหม่า ก่อนเอ่ยเสียงเบา
“เอ่อ… คุณแทนตะวันต้องการเครื่องดื่มหรืออยากได้อะไรไหมคะ”
แทนตะวันเพิ่งมองเธออย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ใบหน้าหวานก้มต่ำ ดวงตากลมโตแฝงแววหวาดหวั่น
มุมปากหยักเผยรอยยิ้มเยาะหยัน...
ผู้หญิงคนนี้… ก็คงไม่ต่างจากใคร ๆ ที่เคยเจอ ต่างก็หวังผลประโยชน์กันทั้งนั้น
เดรสสีฟ้าอ่อนที่ดูเรียบร้อย กลับกลายเป็นสิ่งเร้าในสายตา กลิ่นกายหอมจาง ๆ เส้นผมยาวสลวย ทุกอย่างล้วนถูกจัดเตรียมมาเพื่อดึงดูดผู้ชาย เขาเชื่อเช่นนั้น และเกลียดผู้หญิงในสถานที่แบบนี้
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมา ทว่าวาจากลับเต็มไปด้วยความดูแคลน
“อยากได้อะไรอย่างนั้นเหรอ? ฉันว่าฉันควรเป็นฝ่ายถามเธอมากกว่า แต่ดูจากท่าทางแล้วไม่ต้องเสียเวลาถาม… เงินใช่ไหม? ถ้าเธอถูกใจฉัน ฉันก็จ่ายไม่อั้น”
ปลายฝนส่ายหน้า ริมฝีปากเม้มแน่น คล้ายไม่รู้จะตอบอย่างไร
ท่าทางนั้นกลับยิ่งทำให้แทนตะวันหงุดหงิด เขาตีความว่าเธอกำลังเสแสร้ง แววตาหวาดกลัวนั่นเหมือนจะมองว่าเขาเป็นเหยื่อที่หลอกง่าย…
ร่างสูงลุกพรวด คว้าข้อมือบอบบาง ดึงร่างเล็กให้ล้มลงบนเตียง
“คุณแทนตะวัน!” ปลายฝนร้องเสียงหลง ดิ้นรนสุดกำลัง แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดไม่อาจต้านมือแข็งแรงที่ตรึงเธอไว้ได้ ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
เสียงทุ้มกระซิบใกล้
“หึ… แสดงละครเก่งจริงนะ อยากให้ฉันเชื่อว่าเธอไร้เดียงสางั้นเหรอ? อยู่ในที่แบบนี้ กับผู้ชาย ก็น่าจะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“คุณแทนตะวัน...ปล่อยฉันเถอะ...ฉัน...ฉันไม่...!” ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบ แทนตะวันก็ทำสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำกับผู้หญิงคนไหน ประกบริมฝีปากลงบนปากบางทันที ความพลุ่งพล่านที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล่นวาบในใจ ความโกรธเคืองต่อโลกธุรกิจจอมปลอมและผู้คนที่หวังแต่ผลประโยชน์ ประกอปรกับความดูหมิ่นผู้หญิงในสถานที่แบบนี้ ทำให้บดขยี้ริมฝีปากอย่างไม่ปรานี
ตอนที่ 3:
จูบร้อนแรงและหยาบคายนี้ทำให้เธออยากจะกรีดร้อง แต่ทำไม่ได้เพราะปากถูกปิดสนิท ลิ้นหนาสอดเข้าไปในโพรงปากเล็กอย่างไม่ถนอม ลิ้นเล็กพยายามเลี่ยงหลบ ทำให้ยิ่งคิดว่าเธอกำลังตอบสนอง จึงเพิ่มสัมผัสให้ลึกซึ้งมากขึ้น ด้วยการเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นในโพลงปากบางอย่างไม่หยุดหย่อน
มือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วร่างกายบอบบาง ชุดเดรสสีหวานถูกร่นขึ้นจนสัมผัสได้ถึงผิวเนื้อนวลเนียน ความหวาดกลัวทวีขึ้นตามเวลาที่เลยผ่าน แรงของเธอเริ่มถดถอยลงทุกที ทรวงอกส่ายไหวไปมาเมื่อถูกมือใหญ่กอบกุมบีบเคล้นหนักหน่วง ความอบอุ่นนุ่มนวล มาพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงของคนใต้ร่าง ทำให้ทั้งโกรธและปรารถนาเธอในเวลาเดียวกัน
ปลายฝนต่อต้านสุดกำลัง น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด ความหวาดกลัวและความอับอายถาโถมเข้าใส่จนร่างกายสั่นเทา แทนตะวันสัมผัสได้ถึงความชื้นที่รินจากดวงตาคู่งามของเธอ
เขาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเงยหน้าขึ้น ใช้แขนยันเตียงไว้ ไม่ให้ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงไปบนตัวอีกฝ่าย
“เธอ… ร้องไห้ทำไม” น้ำเสียงยังคงเข้ม แต่แฝงความอ่อนโยนที่ไม่เคยมีมาก่อนเมื่อเห็นน้ำตา
“ฉัน… ฉันไม่ได้อยากทำอาชีพนี้” ปลายฝนสะอื้น น้ำเสียงสั่นเครือ “แต่ฉันจำเป็นต้องทำ เพื่อตอบแทนบุญคุณคนที่เลี้ยงดูฉันมา”
แทนตะวันจ้องมองใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา สูดลมหายใจลึก จิตใจสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“…แล้วเธอคาดหวังให้ฉันเชื่อรึไง?” เขาเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงความลังเล
คนใต้ร่างส่ายหน้าเบา ๆ “คุณไม่ต้องเชื่อก็ได้ แค่อย่าทำแบบนี้กับฉันเลย ฉันแค่อยากมีชีวิตธรรมดา ได้ทำงานเลี้ยงตัวเอง โดยไม่ต้องอยู่ในที่แบบนี้”
แววตาที่ไหวระริกและร่างกายที่สั่นสะท้าน ทำให้เขาเริ่มลังเล ในฐานะนักธุรกิจที่พบเจอผู้คนมากมาย เขาฝึกอ่านท่าทีและคำพูดจนพอจะแยกออกว่าใครพูดจริงหรือโกหก และครั้งนี้… เขาเริ่มแน่ใจว่าเธอไม่ได้เสแสร้ง
ร่างสูงผละออก ลุกขึ้นยืน ก่อนยื่นมือช่วยประคองเธอให้ลุกนั่ง
“มานั่งคุยกันดี ๆ ตรงนี้เถอะ”
ร่างบางยังคงสั่นเล็กน้อย แทนตะวันพาเธอมานั่งที่เก้าอี้ ก่อนหยิบแก้วน้ำแล้วยื่นให้
ปลายฝนรับมาจิบเบา ๆ “…ขอบคุณค่ะ”
ดวงตากลมหวานยังคงเศร้าสร้อย แทนตะวันมองนิ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่หนักแน่น
“เล่าเรื่องของเธอมาเถอะปลายฝน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงใส่ใจเธอขนาดนี้ ร่างสูงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สังเกตทุกอิริยาบถของหญิงสาวตรงหน้า
ปลายฝนกะพริบตาไล่หยาดน้ำ กัดริมฝีปากเพื่อกลั้นสะอื้น ก่อนเสียงหวานจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง...
“ฉันโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จนอายุแปดขวบ แม่ใหญ่… เอ่อ แม่อ้อยจันทร์ เจ้าของร้านนี้ รับฉันไปเป็นบุตรบุญธรรม ตอนแรกฉันก็ช่วยงานครัว ทำกับข้าวเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้า เราต้องช่วยกันทำอาหารอยู่แล้ว”
ปลายฝนถอนใจเฮือกใหญ่ ราวกับปลดปล่อยความหนักอึ้งในใจที่เก็บมานาน เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงกล้าเล่าเรื่องส่วนตัวให้ชายตรงหน้าฟัง
“พอฉันโตขึ้น แม่ใหญ่ก็จะให้ฉัน…ไปทำงานรับแขก คือ...ให้บริการลูกค้าผู้ชาย”
เสียงหวานแผ่วลงจนแทบกลืนหายไปในลำคอ แววตาเจ็บปวดสะท้อนชัดยามนึกถึงอดีต แม้แทนตะวันยังคงสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ในดวงตากลับฉายแววเห็นใจ ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะปรากฏ
“ฉันขอเวลาแม่ใหญ่ บอกว่าอยากเรียนให้จบก่อนค่อยทำงาน แม่ใหญ่ไม่ออกค่าเรียนให้ แต่ฉันหาทุนเรียนเองจนจบคณะบัญชีได้”
น้ำเสียงเธอแฝงความภูมิใจเล็ก ๆ ซึ่งแทนตะวันฟังแล้วอดชื่นชมไม่ได้
“เก่งนะ… แล้วทำไมวันนี้เธอถึงมาอยู่ที่นี่”
ปลายฝนกำมือแน่น ความรวดร้าวฉายชัดในแววตา
“ถึงจะเรียนจบ แต่แม่ใหญ่ก็ไม่ยอมให้ไปทำงานที่อื่น บังคับให้ฉันมารับลูกค้าคืนนี้… คนแรกที่ฉันเจอก็คือ…คุณ”
คำพูดของเธอ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ทำให้แทนตะวันนิ่งงัน
คำสอนของยายแทนมณีผุดแวบขึ้นในความทรงจำ—ยายที่พร่ำสอนเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษ หากท่านรู้ว่าเขาทำแบบนี้… คงถูกดุด่าอย่างไม่ไว้หน้า
แทนตะวันลุกขึ้น ก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าหญิงสาว ก่อนยกมือขึ้นลูบเส้นผมสลวยแผ่วเบา
ปลายฝนสะดุ้งเฮือก ร่างบางสั่นน้อย ๆ เพราะยังไม่หายหวาดกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่
มือใหญ่จึงเอื้อมไปคว้ามือบอบบางไว้ นุ่มนวล… อ่อนโยน
“ฉันขอโทษนะ ปลายฝน… ที่ทำให้เธอกลัว”
เสียงทุ้มต่ำเจือแววสำนึกผิด เขาหลุบตาลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อ
“ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ทั้งที่ไม่เคยทำกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน อีกอย่าง ฉันก็ไม่เคยเจอใครที่ทำอะไรแล้วไม่หวังผล… ยิ่งเป็นผู้หญิงที่อยู่ในสถานที่แบบนี้ ฉันยิ่งหงุดหงิด”
เขาถอนหายใจ ดวงตาฉายแววจริงจัง “เธอจะไม่ให้อภัยก็ไม่เป็นไร แต่ฉันเสียใจจริง ๆ”
ดวงตากลมหวานสบกับดวงตาคมตรงหน้า—สายตาคู่นั้นที่เคยเย็นชา บัดนี้เจือแววอ่อนโยน
เขาหยุดเมื่อเห็นเธอร้องไห้
เขารับฟัง… ทั้งที่ไม่ได้ประโยชน์
ปลายฝนพยักหน้าน้อย ๆ ยิ้มละมุน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ แม้ตอนแรกจะโกรธ แต่ตอนนี้… ฉันให้อภัยคุณแล้ว”
แทนตะวันนิ่งไปชั่วครู่ สายตาจับจ้องหญิงสาวตรงหน้า ราวกับกำลังชั่งใจในสิ่งที่เขาควรทำ เธอยกโทษให้เขาแล้ว แต่คำถามที่วนเวียนในใจกลับไม่เกี่ยวกับการให้อภัย—เขาควรปล่อยเธอไปแบบนี้จริง ๆ หรือ? หากช่วยเธอแล้ว เขาจะได้อะไรกลับคืนมา?
แต่ในวินาทีนั้น คำถามเหล่านั้นกลับไร้ความสำคัญ เพราะสิ่งที่หัวใจบอกเขาในเวลานี้คือ—
“ถึงเธอจะยกโทษให้ แต่ฉันก็จะไม่ปล่อยเธอไปแบบนี้”
คำพูดนั้นทำให้ปลายฝนเบิกตากว้าง ดวงตากลมหวานที่ชุ่มหยาดน้ำตาฉายแววหวาดหวั่นอีกครั้ง
แทนตะวันรีบเอ่ยเสียงอ่อนลงเพื่อปลอบโยน “ใจเย็นก่อนปลายฝน ฉันหมายถึง… ฉันจะช่วยเธอให้หลุดพ้นจากชีวิตแบบนี้ต่างหาก”
เธอเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ “คุณพูดจริงเหรอคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนหยิบนามบัตรจากกระเป๋าแล้วยื่นให้
“พรุ่งนี้เข้าไปหาฉันที่บริษัท ฉันจะหางานให้เธอทำ”
ปลายฝนมองนามบัตรในมือด้วยสายตาตื่นตะลึง ก่อนเผลอคว้ามือใหญ่ของเขาไว้แน่นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ขอบคุณมากค่ะ คุณแทนตะวัน… ขอบคุณจริง ๆ”
ความปลื้มปีติเอ่อล้นจนหยาดน้ำตาที่เคยคลอเหือดแห้ง แววตาส่องประกายราวกับคนที่มองเห็นแสงสว่างเป็นครั้งแรก หากไม่ติดว่าเพิ่งผ่านช่วงเวลาแห่งความอึดอัดและเจ็บปวด เธอคงกระโดดโลดเต้นไปแล้ว
แทนตะวันมองเธออย่างเงียบงัน ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ที่แฝงความอบอุ่น
ปลายฝนเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจับมือเขาไว้แน่น รีบปล่อยออกแทบไม่ทัน ความร้อนผ่าวจากความเขินอายค่อย ๆ ไล่ขึ้นมาถึงใบหน้า
“ขอโทษค่ะ… ฉันดีใจมากไปหน่อย” เธอเอ่ยเสียงแผ่วพร้อมหลบสายตา
แทนตะวันมองเธอ สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่นุ่มนวล
“ไม่เป็นไร”


แสดงความคิดเห็น