บทที่ 483: พาข้าไปด้วย
“เอ่อ…” ปากของมู่ไป๋ไป่กระตุกขณะที่เธอกำลังจะบอกความจริง “ที่จริงแล้ว...”
“ชู่ว!” ท่าทีของเสิ่นจวินเฉาเปลี่ยนไป ในขณะที่เขายกมือขึ้นมาปิดปากอีกฝ่ายและกระซิบว่า “มีคนกำลังมา”
หญิงสาวเหลือบมองไปยังทิศทางที่ผู้เป็นพี่ชายบอกและเห็นองครักษ์ 2 คนเดินมาทางพวกตน
หากอีกฝ่ายเข้ามาใกล้กว่านี้ พวกเขาคงสามารถสังเกตเห็นพวกเธอแน่นอน
มู่ไป๋ไป่กำลังคิดหาวิธียุติสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ขณะที่องครักษ์ทั้ง 2 กำลังจะจับได้ว่าพวกเธออยู่ที่ไหน จังหวะนั้นก็มีเสียงบางอย่างดังแว่วขึ้นมา
“ใครน่ะ!”
พวกองครักษ์ถูกเสียงนั้นดึงดูดไปทันทีและติดตามที่มาของเสียงไป
มู่ไป๋ไป่กะพริบตาปริบ ๆ ปรากฏว่ามีคนช่วยพวกเธอเอาไว้
“เอาล่ะ พวกเขาไปแล้ว” เสิ่นจวินเฉาปล่อยมือออกจากปากหญิงสาวแล้วคว้าจับมืออีกฝ่าย “ที่นี่ไม่ปลอดภัย เราไปคุยกันที่อื่นเถอะ”
“อ่า ตกลง” มู่ไป๋ไป่พยักหน้า แต่สายตาของเธอก็ยังหันไปมองยังต้นเสียง
ทว่าตรงนั้นกลับว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยราวกับว่าการเคลื่อนไหวเมื่อกี้นี้เป็นเพียงภาพลวงตา
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวมั่นใจว่าตรงนั้นมีคนอยู่ นั่นไม่ใช่ภาพลวงตาแน่นอน
เพียงแต่วรยุทธของอีกฝ่ายสูงส่งมาก ดังนั้นเธอกับเสิ่นจวินเฉาจึงไม่สังเกตเห็นเขาตั้งแต่แรก
ดูเหมือนชายหนุ่มจะคุ้นเคยกับวังหลวงเป็นอย่างดี ระหว่างทางเขาพามู่ไป๋ไป่เดินหลบเลี่ยงผู้คนจนไม่นานพวกเขาก็มาถึงมุมหนึ่งที่ไม่มีคนในอุทยานหลวง
“พี่จวินเฉา นี่… ท่านเคยมาที่วังหลวงมาก่อนหรือไม่?” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะแกล้งหยอกเย้าพี่ชายคนที่ 3 “ดูท่านจะคุ้นทางดีทีเดียว”
“ไม่เคย” เสิ่นจวินเฉาไม่ได้ปิดบังอีกฝ่าย เขาเพียงแค่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะอธิบายว่า “ข้ามีแผนที่วังหลวง ก่อนจะเข้ามาในวัง ข้าได้จดจำแผนที่ทั้งหมดเผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดเอาไว้ ข้าไม่คิดว่าจะได้ใช้มันจริง ๆ”
“อย่างนี้นี่เอง” มู่ไป๋ไป่พยักหน้า “สมแล้วที่เป็นพี่จวินเฉา ท่านมักจะทำอะไรรอบคอบเสมอ”
“ไป๋ไป่ ทำไมเจ้าถึงเข้ามาในวังหลวงล่ะ?” ทันใดนั้นสีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป “ข้าได้ยินมาว่าในยุทธภพมีเรื่องเกิดขึ้นกับหุบเขาหมอเทวดา ข้าเองก็รู้สึกเป็นกังวลมาก คราวนี้เจ้าเข้ามาในวังหลวงก็เพื่อหุบเขาหมอเทวดาใช่หรือไม่?”
“หา?” มู่ไป๋ไป่รู้ว่าทำไมเสิ่นจวินเฉาถึงคิดเช่นนี้ แต่เธอกลับคิดคำตอบไม่ออกอยู่ชั่วครู่ เธอนิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนจะหลอกคำตอบของอีกฝ่ายที่ตอบเธอก่อนหน้านี้ “จริง ๆ แล้วข้ามาที่วังก็เพื่อพบคนเหมือนกัน”
การที่เธอพูดแบบนี้มันก็ไม่ผิด เพราะเธอกลับมาที่วังหลวงก็เพื่อร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา
เสิ่นจวินเฉาคิดว่าเธอล้อเขาเล่น เขาจึงกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นก็ไม่เป็นไร หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้าก็ให้รีบบอกข้าทันที”
“ก่อนหน้านี้หุบเขาหมอเทวดาถูกสำนักต่าง ๆ ในยุทธภพรังเกียจ หากเจ้าไม่ห้ามข้าไว้ ข้าคงจะทำให้พวกคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายธรรมะรู้ผลของการทำผิดต่อหุบเขาหมอเทวดาแล้ว”
ต้องบอกว่าชายหนุ่มเป็นผู้รับผิดชอบกิจการหลายกลุ่มเกือบทั่วทั้งเป่ยหลง
ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธที่มีคุณธรรมสูงส่งมากแค่ไหน เพียงแค่เขาเอ่ยปากคำเดียว คนพวกนั้นก็จะหาซื้ออาหารและยารักษาโรคไม่ได้แม้จะมีเงินมากมายเพียงใดก็ตาม
เขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่าสำนักที่ทำตัวสูงเทียมฟ้าและมีคุณธรรมพวกนั้นจะทำอย่างไรถ้าต้องไปยืนถึงจุดนั้น
แต่น่าเสียดายที่ก่อนที่เขาจะทันได้ลงมือ มู่ไป๋ไป่ได้ส่งจดหมายมาห้ามปรามเขาไว้ก่อน
หญิงสาวบอกเขาว่านางมีวิธีการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้
แน่นอนว่าเขาจะต้องไว้ใจอีกฝ่าย และผลลัพธ์ก็คือ ผู้หญิงคนนี้ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหุบเขาเทวดาต่อหน้าทุกคนได้จริง ๆ
“ทำไมเราต้องเอามือตัวเองไปเปื้อนเลือดด้วย?” มู่ไป๋ไป่ยู่ปากเข้าหากัน “นอกจากนี้ คนพวกนั้นก็ทำตัวไร้เหตุผลสิ้นดี พี่จวินเฉา ท่านไม่จำเป็นจะต้องไปเกลือกกลั้วกับพวกมัน”
จากนั้นหญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่องพูด “พี่จวินเฉา ท่านรู้หรือไม่ว่าคนที่ท่านอยากพบอยู่ที่ไหน?”
เดิมทีมู่ไป๋ไป่วางแผนเอาไว้ว่าจะส่งพี่ชายคนที่ 3 ไปหาไทเฮาด้วยตัวเอง และทำให้เขาตกใจโดยการยอมรับว่าเธอเป็นน้องสาวของเขา
แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนใจแล้ว
เนื่องจากเสิ่นจวินเฉารู้เส้นทางในวังหลวงดี เธอจึงสามารถวางใจปล่อยให้เขาไปเข้าเฝ้าไทเฮาด้วยตัวเอง
ส่วนเธอนั้น… เธอย่อมจะต้องไปตรวจสอบที่พักของทูตหนานซวน
จู่ ๆ ทูตหนานซวนก็ถูกลอบสังหารในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ มันช่างเหมาะเจาะจนน่าประหลาดใจ
เสิ่นจวินเฉาพยักหน้าอย่างลังเล “ข้ารู้ แต่ข้าต้องรอใครบางคนก่อน…”
พอมู่ไป๋ไป่ได้ยินเช่นนี้ เธอก็รู้สึกหงุดหงิดในใจ เธอลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้เธอมารอรับพี่สาม นั่นหมายความว่าพระนางจะต้องบอกเขาว่าจะส่งคนมารับเขา
ดูเหมือนว่าเธอคงต้องพาพี่ชายคนที่ 3 ไปส่งที่ตำหนักฉือซิ่งเสียก่อน
มู่ไป๋ไป่กลอกตาพลางพูดว่า “มีเรื่องเกิดขึ้นกับทูตหนานซวน ดังนั้นทหารรักษาพระองค์ในวังจะต้องเพิ่มการคุ้มกันเป็น 2 เท่าอย่างแน่นอน คนที่พี่จวินเฉารออาจจะไม่สามารถออกมาพบได้ในตอนนี้”
“พี่จวินเฉา การที่ท่านรออยู่ตรงนี้มันอันตรายมาก ไยท่านถึงไม่ไปพบคนที่ท่านอยากเจอก่อนล่ะ?”
เสิ่นจวินเฉาคิดว่าสิ่งที่หญิงสาวพูดก็ฟังดูมีเหตุผล เขาจึงพยักหน้ารับก่อนจะถามว่า “แล้วเจ้าล่ะ?”
“แน่นอนว่าข้าจะไปกับท่าน” มู่ไป๋ไป่ตอบพลางเอามือไพล่หลัง “พูดตามตรงนะพี่จวินเฉา ข้าอยู่ในวังแห่งนี้มาสักพักแล้ว ข้ารู้จักที่นี่ดีกว่าท่านเสียอีก ถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง ข้าช่วยท่านได้แน่นอน”
“เจ้าจะช่วยข้าหรือ?” ชายหนุ่มอมยิ้มแล้วเขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหญิงสาวตรงหน้า เขาก็กลืนคำพูดนั้นลงไป “ตกลง เช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนไป๋ไป่แล้ว”
หลังจากที่พวกเขาตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทั้งคู่ก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อโดยไม่รีรอ
มู่ไป๋ไป่ถามเสิ่นจวินเฉาว่าเขากำลังจะมุ่งหน้าไปที่ไหน จากนั้นเธอก็พาเขาตรงไปที่ห้องบรรทมของไทเฮา
ระหว่างทางเธอก็ถามพี่ชายคนที่ 3 ว่าเขาจะไปพบใคร
แม้ว่าเสิ่นจวินเฉาจะไม่ได้ปิดบังสถานที่ที่เขาต้องการมุ่งหน้าไปกับเธอ แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาบอก นอกเหนือจากนั้นเขาไม่ได้บอกอะไรแม้แต่คำเดียว
มู่ไป๋ไป่เดาว่าชายหนุ่มไม่อยากให้เธอรู้เรื่องมากเกินไปจนทำให้เธอเดือดร้อน
ห้องบรรทมของไทเฮานั้นอยู่ไม่ไกลนัก ยามนี้หญิงสาวได้พาพี่สามเดินไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่ไม่มีคนสัญจร ไม่นานพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย
“มีเส้นทางแบบนี้อยู่ด้วยสินะ” เสิ่นจวินเฉาจำถนนที่เขาเพิ่งเดินผ่านมาแล้วมั่นใจว่าเส้นทางนี้ไม่ได้อยู่บนแผนที่ที่เขามี
“ใช่แล้ว” มู่ไป๋ไป่ยิ้มพลางเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
เส้นทางนี้เป็นเจ้าส้มที่ค้นพบ ในตอนที่เธอยังเป็นเด็ก เธอไม่ชอบที่ห้องบรรทมของไทเฮาอยู่ไกลจากตำหนักอวี๋ชิง ดังนั้นเธอจึงเลือกใช้เส้นทางนี้ทุกครั้ง
พอหญิงสาวคิดถึงเจ้าแมวอ้วน คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากันแน่น จนกระทั่งป่านนี้แล้วมันก็ยังไม่กลับมา
เธอสั่งเจ้าส้มให้ออกไปส่งจดหมายให้มู่จวินเซิ่ง แต่แล้วมันก็หายไปตลอดทั้งคืน
นี่มันต้องการถล่มกินอาหารในจวนแม่ทัพของพี่รองให้ราบก่อนแล้วค่อยกลับมาหรืออย่างไร?
เจ้าแมวจอมตะกละตัวนั้นทำตัวเหลวไหลขึ้นทุกวันจนน่าหงุดหงิดเสียจริง
“ไป๋ไป่ เจ้าอยากเข้าไปกับข้าหรือไม่?” เสิ่นจวินเฉามองตรงไปยังตำหนักด้านหน้าและรู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เขาบอกไม่ได้จริง ๆ ว่าเขาคุ้นเคยกับเสด็จย่าของตน
แต่นี่ก็ผ่านมานานแล้ว หากพระนางไม่ได้กำชับให้คนที่อยู่นอกวังคอยดูแลเขา เขาคงไม่สามารถเติบโตมาอย่างไร้กังวลเช่นนี้ได้
ชายหนุ่มสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของไทเฮาเป็นอย่างมาก
ดังนั้นตอนที่ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้เขามาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระนาง เขาก็ยอมตกปากรับคำทันที
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะได้เข้าไปในห้องบรรทมของไทเฮา” มู่ไป๋ไป่พูดพลางแสดงท่าทีตื่นเต้น “หากท่านอยากจะพาข้าเข้าไปด้วย ข้าก็ยินดี ข้าสัญญาว่าจะไม่ก่อเรื่องเด็ดขาด”
เสิ่นจวินเฉารู้สึกขบขันเมื่อเห็นหญิงสาวยกมือขึ้นสาบานอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้กังวลว่าเจ้าจะก่อเรื่อง แค่คนที่ข้าอยากพบพิเศษมากเท่านั้น…”
“เอาล่ะ ถ้าเจ้าอยากไปด้วยกันก็ตามมาเถอะ”
“แต่จำเอาไว้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะเห็นอะไรข้างในก็อย่าได้ตื่นตระหนก”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 159
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น