คู่พระพร
เช้าวันจันทร์ ลมเย็นพัดผ่านต้นชมพูพันธุ์ทิพย์หน้าโรงเรียน ที่ปีนี้ออกดอกเร็วกว่าทุกปี
ราวกับฝืนใจที่จะร่วงหล่นสู่พื้น แต่ถึงอากาศจะสวยแค่ไหน…หัวใจของ พิมพ์แข ก็หนักเหมือนเดิม
หนักเหมือนทุกปี ทุกเทอม ทุกคาบเรียนที่เธอผ่านมันมาในฐานะ “คนที่ไม่มีใครมองเห็น”
พิมพ์แขเดินเร็ว ๆ เข้าอาคารเรียน กอดหนังสือแน่นราวกับมันคือเกราะป้องกันความว่างเปล่าที่ต้องเผชิญในห้องเรียน 4/3
ซึ่งเป็น “ห้องคิง” ที่ทุกคนวิ่งตามคะแนน แข่งกันเป็นที่หนึ่ง และมักจะภูมิใจเวลาเหยียบใครอีกคนให้ต่ำกว่าเดิม
ไม่ใช่เธอไม่มีความพยายาม…เธอพยายามที่สุดแล้ว
เพียงแต่ ความพยายามของคนไม่ฉลาด มักถูกมองข้ามเสมอ
เธอก็ไม่เข้าใจว่า เธอได้มาอยู่ห้องนี้ได้อย่างไร
ห้องที่มีครูลำเอียงแบบโจ่งแจ้งเกือบทุกคน ทุกวิชา
เหมือนถือเครื่องจับสัญญาณเฉพาะเวลามีเด็กนักเรียนมาประจบประแจง
พิมพ์แขจึงแทบไม่มีตัวตนอะไรเลยในห้อง
“เอ้า นักเรียนทุกคนจับกลุ่มสี่คนเดี๋ยวนี้นะคะ งานนี้สำคัญมาก ครูจะให้คะแนนพิเศษด้วย” ครูสุนันท์ประกาศ
พร้อมส่งสายตาไปทางกลุ่มเด็กหัวกะทิที่ยืนเกาะกลุ่มยิ้มอย่างเริงร่า
แค่ได้ยินคำว่า “จับกลุ่ม” หัวใจของพิมพ์แขก็เย็นวาบเหมือนถูกหย่อนลงในถังน้ำแข็ง
เด็กคนอื่นเริ่มเคลื่อนไหว…ตะโกน ส่งสายตา เรียกชื่อเพื่อน
มีเพียงเธอที่ยืนนิ่ง มือกำชายเสื้อแน่น
สิบปีที่อยู่ในโรงเรียนเดียวกัน เธอรู้ดีว่าไม่มีใครจะเรียกชื่อเธอ
เพราะเธอไม่มีประโยชน์ในงานกลุ่ม ตามความคิดของทุกคน
เงียบ
เงียบจนได้ยินเสียงนาฬิกาบนผนังเดินติ๊กต่อก
เพื่อนทั้งห้องจับกลุ่มกันเต็มแล้ว มีทั้งเสียงหัวเราะ เสียงถกปัญหา เสียงเรียกชื่อเพื่อน…
แต่ไม่มีชื่อเธออยู่ในนั้นสักครั้ง
พิมพ์แขรู้สึกตัวเองเหมือนสิ่งของตกค้าง
มีแต่คนเดินผ่าน แต่ไม่มีใครคิดจะหยิบขึ้นมา
ครูสุนันท์เงยหน้าขึ้นมองเธอ แววตาเรียบเฉยแบบที่พิมพ์แขคุ้นเคย
“พิมพ์แข…ยังไม่มีกลุ่มเหรอ?”
“…ค่ะ” เธอก้มหน้า พยายามไม่ให้เสียงสั่น
“ก็ไปอยู่กลุ่มไหนก็ไปสิจ๊ะ จะมายืนรออะไร คนอื่นเขาทำงานกันแล้วนะ”
แต่ทุกคนทำเป็นไม่เห็นเธอ
บางคนหลบสายตา
บางคนหันหลังให้
บางคนทำเป็นคุยกับเพื่อนเสียงดังจนกลบเธอไปหมด
ความเงียบงันที่รุมล้อมเธอ เหมือนกำแพงแก้วใส แม้มองเห็นคนอื่น แต่เข้าไปไม่ได้
เธอไม่ใช่ส่วนหนึ่งของใครเลย แม้แต่ในที่ที่ควรเป็น “ห้องเรียนของเรา”
ถ้าห้องเรียนคือสถานที่หลบหนีไม่ได้
สนามพละก็เป็นที่ประหารทางใจของเธอ
ทุกปี ทุกเทอม และกีฬาทุกประเภท
เธอเป็น “ตัวถ่วงทีม” ตามที่เพื่อนเรียกตรง ๆ
วิ่งก็ช้า ทำลูกบอลตกบ่อย รับลูกไม่เคยได้ ตีลูกไม่เคยโดน
กระโดดเชือกยังพลาดจังหวะเป็นว่าเล่น
พิมพ์แขยืนอยู่หลังแถวยาวเหยียด เห็นเพื่อน ๆ เลือกสมาชิกเข้าทีม
“เออ ทีมเรามีครบแล้วนะ อย่าให้พิมพ์แขมาอีกล่ะ เดี๋ยวแพ้หมด”
“จัดให้เธอเป็นตัวสำรองก็ได้นะ สมเพช”
"ทีมฉันไม่เอาหรอกนะ รำคาญ!"
เสียงหัวเราะดังขึ้น
และที่เจ็บสุดคือ ครูพละไม่เคยปกป้อง
เพียงเพราะเธอไม่ใช่เด็กที่เอาใจครู วิ่งไปช่วยหยิบอุปกรณ์ไม่เคยทันเพื่อน
ไม่เคยจ่ายเงินพิเศษกับครู และไม่ประจบ
เธอจึงกลายเป็นความไร้ค่าต่อสายตาหลายคน
พิมพ์แขเดินไปยืนข้างสนาม กอดตัวเองเบา ๆ
แสงแดดอุ่น แต่ทำไมในอกมันหนาวนัก
เธอพยายามยิ้มให้ตัวเอง
“ไม่เป็นไรนะ…สักวันมันจะดีขึ้น”
แต่เธอพูดคำนี้มาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ตอนนี้เธออายุ 17 แล้ว
มันยังไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
ช่วงบ่ายหลังเลิกเรียน พิมพ์แขเดินไปป้ายรถเมล์ตามเดิม
เธอกำลังยืนรอรถอย่างเงียบ ๆ เมื่อจู่ ๆ ลมแรงวูบหนึ่งพัดเส้นผมเธอลอยฟุ้ง
พร้อมใบประกาศรับสมัครชมรมดนตรีปลิวลงพื้นตรงหน้าเธอ
เธอก้มเก็บ—อย่างเคย
แต่เงามืออีกข้างแตะลงมาพร้อมกัน
มือของผู้ชายคนหนึ่ง
พิมพ์แขชะงัก
ค่อย ๆ เงยหน้า
แสงเย็นของพระอาทิตย์ตกกระทบใบหน้าของชายหนุ่มราวกับฉากเปิดตัวพระเอกในซีรีส์เกาหลี
เขาแต่งตัวเรียบร้อย ใส่เสื้อเชิ้ตสีครีมอ่อนที่ทำให้เขาดูอบอุ่นอย่างประหลาด
ใบหน้าหล่อแบบเรียบง่าย—ไม่ใช่แบบดารา แต่เป็นแบบที่ทำให้คนมองแล้วรู้สึกปลอดภัยทันที
ดวงตาของเขาอ่อนโยนจนเหมือนมีแสงในตัวเอง
“อ๊ะ…ขอโทษครับ ผมหยิบก่อน” เขายิ้มบาง ๆ
พิมพ์แขหน้าแดงขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“คุณชอบดนตรีเหรอครับ?” เขาถาม พร้อมยื่นใบประกาศคืนให้เธอ
“ก็…แค่ชอบฟังค่ะ เล่นอะไรไม่เป็นคะ”
“ไม่เป็นไรครับ เสียงของคุณน่าจะร้องเพลงเพราะนะครับ” ผู้ชายคนนั้นพูดแบบนุ่มนวลจนหัวใจเธอสั่น
พิมพ์แขรีบส่ายหน้า “ไม่นะคะ หนูเสียงไม่เพราะเลยค่ะ”
เขาหัวเราะเบา ๆ ดุจลมอุ่นต้นฤดูใบไม้ผลิ
“ผมชื่อ อันเดรส ครับ ย้ายมาที่นี่วันนี้วันแรก…เหมือนพระเจ้าส่งผมมาผิดเวลาไปหน่อย เพราะน่าจะส่งมาตั้งนานแล้ว”
พิมพ์แขกระพริบตา
“คะ?”
“ผมยืนดูคุณเมื่อกี้ที่หน้าประตูโรงเรียน” เขาเกาหัวเขิน ๆ
“ก็…คุณ คุณดูน่ารักมากเลย”
หัวใจเธอเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่มีใคร… ไม่มีใครเคยพูดกับเธอแบบนี้
ไม่มีใครเคยมองเห็นเธอจริง ๆ แบบนี้
อันเดรสยิ้มแล้วพูดในน้ำเสียงที่เหมือนรู้จักเธอมานาน
“ขอผมเป็นเพื่อนคุณได้ไหมครับ”
ลมเย็นพัดผ่าน
เหมือนพระเจ้ากระซิบคำว่า “unexpected grace”
พระคุณที่มาถึงตอนที่เธอไม่เหลือหวังอะไรอีกแล้ว
และนั่น…เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 166
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น