บทที่ 482: พี่สามของเธอคือคนที่ร่ำรวยที่สุดในเป่ยหลง!
มู่เชียนสวมเสื้อผ้าที่งดงามและโดดเด่นท่ามกลางเหล่าคนงานที่กำลังขนของเข้ามาในวัง
หลาย ๆ คนจึงหยุดสิ่งที่ตัวเองกำลังทำแล้วหันไปมองดูนางด้วยความสงสัยใคร่รู้
“พวกเจ้ามองอะไร!” หลังจากมู่เชียนสังเกตเห็นสายตาของผู้คนรอบตัว นางก็หันไปถลึงตาดุทุกคนพร้อมกับพูดข่มขู่เสียงเย็น “เชื่อหรือไม่ว่าองค์หญิงคนนี้สามารถทำให้พวกเจ้าหัวขาดได้เพียงเอ่ยปากคำเดียว”
“องค์หญิง?” มีใครบางคนไม่อาจทนรับความเย่อหยิ่งของหญิงสาวได้ เขาจึงพูดเยาะเย้ยออกมาว่า “องค์หญิงประเภทใดกันถึงได้เข้ามาทางประตูเล็ก ๆ นี้? คนบางคนอาจเพียงแค่อยากเป็นหงส์ จึงได้เลือกหนทางที่คดเคี้ยว”
คำพูดของผู้ชายคนนั้นไม่น่าฟังเอาเสียเลย ส่งผลให้มู่เชียนโกรธมากเมื่อได้ยินดังนั้น นางยกมือขึ้นหมายจะตบหน้าคนปากพล่อย แต่นางก็ถูกคนผู้หนึ่งหยุดเอาไว้กลางคันเสียก่อน
“เจ้าเป็นใคร ปล่อยนะ!” หญิงสาวมองไปยังคนที่มาขวางทางตน แม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับคนงานพวกนั้น แต่รูปร่างหน้าตาและบรรยากาศรอบตัวเขาดูไม่ธรรมดาเลย เพียงแค่มองปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
“คุณหนู ที่นี่คือวังหลวง” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับฉายแววเย็นชา “ท่านกำลังก่อเรื่องใหญ่โตในวังหลวง ท่านไม่กลัวหรือว่าเรื่องนี้จะไปถึงหูฝ่าบาท?”
ขณะเดียวกัน ทางด้านมู่ไป๋ไป่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองเห็นเพียงว่ามีคนกำลังขวางมู่เชียนเอาไว้ แต่ไม่สามารถเห็นหน้าตาของคนผู้นั้นได้ชัดเจน
ทว่าเธอกลับรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นดูคุ้นตามาก ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะมองอีกฝ่ายซ้ำอยู่หลายครั้ง
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างสะท้อนสิ่งที่ผูกอยู่ที่ข้างเอวของเขา ซึ่งมันดึงดูดสายตาของเธอมาก
นั่นก็คือ… จี้หยก!
มู่ไป๋ไป่ไม่สนใจอะไรอีกและฝ่าฝูงชนที่กำลังมุงดูเรื่องตรงหน้าแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาผู้ชายคนนั้น “พวกเจ้ากำลังทำอะไร พวกเจ้าพยายามเรียกร้องให้ขันทีผู้รับผิดชอบมาที่นี่หรืออย่างไรถึงได้ทำเช่นนี้?”
คนงานที่กำลังขนสินค้าคือประชาชนธรรมดาในเมืองหลวง
ในตอนที่พวกเขาได้ยินว่าตนอาจจะมีเรื่องขัดแย้งกับขันทีในวังหลวง ทุกคนจึงพากันแยกย้ายไปทำงานของตัวเองด้วยความหวาดกลัว ทิ้งไว้เพียงมู่เชียนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพราะไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
“เจ้านี่เอง!” หญิงสาวหรี่ตามองคนที่มาใหม่ “ข้าจำเจ้าได้ วันนั้นที่ร้านน้ำชาในเมืองหลวง คนของเจ้าทำตัวไม่เคารพข้า”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินดังนั้นก็ยืนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่
นี่… นางจำน้องสาวตัวเองไม่ได้หรือ?
ไม่นานหญิงสาวก็พยายามกลั้นยิ้มในขณะที่มองอีกฝ่าย “เช่นนั้นพระองค์ก็เป็นองค์หญิงสินะ วันนั้นหม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ ต้องขออภัยด้วยที่หยาบคาย หม่อมฉันหวังว่าองค์หญิงจะให้อภัยในความผิดพลาดของหม่อมฉันและไม่ถือโทษโกรธกัน”
มู่เชียนสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดของผู้หญิงคนนี้ แต่ในไม่ช้านางก็รู้สึกพอใจกับคำพูดประจบประแจงของคนตรงหน้า นางจึงแสร้งทำหน้าไม่พอใจพลางโบกมือไหว ๆ
“ถ้าวันนั้นเจ้ามีไหวพริบเช่นนี้ ข้าคงไม่รังเกียจเจ้า วันนี้เพื่อเห็นแก่หน้าเจ้า ข้าจะปล่อยเขาไปก่อน ถ้ามีคราวหน้าอีก ข้าจะสั่งให้คนตัดหัวเขาทันที!”
หญิงสาวพูดจบแล้วก็ยกชายกระโปรงเชิดหน้าเดินออกไปอย่างเย่อหยิ่ง
หลังจากร่างในชุดหรูหราหายไปจากสายตา มู่ไป๋ไป่ก็หันกลับมามองพี่สามซึ่งเธอไม่เคยพบหน้ามาก่อน
ผลก็คือเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งทำให้เธอต้องตะลึงงัน
“พี่จวินเฉา!”
“ไป๋ไป่!”
ทั้งคู่อุทานขึ้นพร้อมกัน แล้วคนตัวสูงกับคนตัวเล็กก็ยืนเผชิญหน้ากันอยู่หน้าประตูวังหลายอึดใจ
ตอนนี้สมองของมู่ไป๋ไป่นึกถึงภาพที่เธอพบกับเสิ่นจวินเฉาเป็นครั้งแรกในสมัยเด็กโดยไม่รู้ตัว
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอกับชายหนุ่มถึงมีความรู้สึกผูกพันกันแปลก ๆ ตั้งแต่พบหน้าครั้งแรก
ที่แท้ทั้งหมดเป็นโชคชะตาลิขิตนี่เอง
“ไป๋ไป่ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ในวัง?” เสิ่นจวินเฉาหันไปมองรอบตัวก่อนจะดึงมู่ไป๋ไป่หลบไปด้านข้างแล้วพูดเสียงเบา “พี่รองของเจ้ามาที่จวนของข้าเมื่อวาน แล้วเจ้ามาทำอะไรในวังหลวง?”
หญิงสาวมองพี่ชายคนที่ 3 ด้วยสายตาซับซ้อน จากนั้นจึงเลื่อนสายตามองไปยังจี้หยกที่ห้อยอยู่รอบเอวของเขาอีกครั้ง
นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เธอกับเสิ่นจวินเฉาพบกันในตอนนั้นหรอกหรือ?
มันไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอจะรู้สึกคุ้นตากับจี้หยกทันทีที่เธอได้รับมาจากไทเฮา
นี่เธอสมองเสื่อมไปแล้วหรืออย่างไร!
แต่… พี่สามของเธอคือเสิ่นจวินเฉา ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในเป่ยหลง!
มู่ไป๋ไป่อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง
“ไป๋ไป่?” เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่ยอมตอบและยังคงหัวเราะคิกคักเบา ๆ ไม่หยุด เขาจึงยื่นมือไปแตะหน้าผากของนางพลางขมวดคิ้วสงสัย “หรือว่าเจ้าไม่สบาย?”
“ไม่ใช่!” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่กลอกไปมาเพราะเธอรู้สึกว่ามันคงจะน่าเบื่อเกินไปถ้าเธอยอมเฉลยออกมาง่าย ๆ
เธอจึงสงบสติอารมณ์แล้วหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความโกรธเคือง “พี่จวินเฉา ท่านส่งนกพิราบมาบอกข้าเมื่อวานว่าท่านจะเดินทางไปทำงานนอกเมือง”
“...” เสิ่นจวินเฉายืนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
“เหตุใดวังหลวงแห่งนี้จึงอยู่นอกเมืองล่ะ?” มู่ไป๋ไป่กอดอกเชิดหน้าขึ้นและจงใจพูดเช่นนั้น “นี่ ดูเหมือนว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้าไม่ค่อยได้กลับเมืองหลวงบ่อยนัก พวกเราเริ่มห่างเหินกันแล้วสินะ”
“พี่จวินเฉา ข้าไม่โทษท่านหรอก แต่ข้าเกรงว่าข้าจะไม่สามารถจัดส่งเครื่องประทินผิวไปยังหอไป่เฉ่าได้อีกต่อไป…”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอได้คิดค้นสินค้าแปลกใหม่มากมายในหุบเขาหมอเทวดา และครีมบำรุงผิวก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งมันมีคุณสมบัติคล้ายกับรองพื้นที่ใช้กันในยุคปัจจุบัน
แต่มันทำมาจากสมุนไพรทั้งหมด ดังนั้นนอกจากมันจะใช้ในการแต่งหน้าแล้ว มันยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลผิวได้อีกด้วย
หลังจากที่สินค้าถูกวางขายที่หอไป่เฉ่า มันก็ได้รับความนิยมไปทั่วแคว้นเป่ยหลง
อีกทั้งเธอก็ยังได้รับกำไรจากสินค้าตัวนี้ไม่น้อย
“ไป๋ไป่ เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรของเจ้า!” เสิ่นจวินเฉา คว้ามือหญิงสาวมาจับพร้อมกับพูดว่า “เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าเราจะร่ำรวยไปด้วยกัน? จู่ ๆ เจ้าจะมากลับคำได้อย่างไร!”
“...”
เธอเกือบลืมไปแล้วว่าผู้ชายคนนี้แสดงเก่งกว่าเธอ
“เลิกแสดงได้แล้ว!” มู่ไป๋ไป่เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังทันที “พี่จวินเฉา ทำไมท่านถึงมาที่วังหลวง ท่านรู้หรือไม่ว่าคนที่ท่านเข้าไปขวางเมื่อกี้เป็นใคร ถ้าข้าไม่ช่วยท่านไว้ ท่านได้หัวหลุดออกจากบ่าแน่ ท่านเป็นหนี้ชีวิตข้าอีกแล้วนะ”
เสิ่นจวินเฉากลับมามีท่าทางปกติและยิ้มจาง ๆ “นี่ข้ายังติดหนี้เจ้าไม่มากพออีกหรือ ไป๋ไป่ ดูเหมือนว่าชีวิตนี้คงจะไม่พอตอบแทนเจ้าเสียแล้ว”
แม้ว่าเขาจะสวมชุดคนงานเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่เขาก็ยังคงยืนอกผายไหล่ผึ่งประกอบกับมีท่าทางเด็ดเดี่ยวเผยให้เห็นรัศมีของผู้ดีอันสูงส่ง
มู่ไป๋ไป่มองพี่ชายคนที่ 3 อยู่ชั่วครู่ และใช้เวลานานมากกว่าจะมองเห็นร่องรอยของมู่เทียนฉงในสายตาของเขา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอตาบอดได้ขนาดนั้นเชียวหรือ?
ทำไมเธอถึงไม่นึกเอะใจว่านี่คือพี่สามของเธอ!
“สำหรับเหตุผลที่ข้ามาที่วังหลวง” เสิ่นจวินเฉาเอ่ยขึ้นหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าเพียงมาพบสหายเก่าเท่านั้น”
หญิงสาวรู้สึกพึงพอใจกับคำตอบของเขา เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่โกหกเธออีก
เธอคิดว่าตนสนุกมามากพอแล้วและกำลังจะหยิบจี้หยกออกมาเพื่อบอกว่าเธอเป็นญาติของเสิ่นจวินเฉา แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
“รีบปิดประตูวังหลวงทันที ห้ามใครเข้าออกเด็ดขาด!”
“ทูตของหนานซวนถูกลอบสังหาร ทุกคนที่อยู่ในวังจะต้องถูกสอบสวน!”
ทูตของหนานซวนถูกลอบสังหาร?!
สีหน้าของมู่ไป๋ไป่เปลี่ยนไปทันที เธออยากจะเรียกองครักษ์เงามาสอบถามสถานการณ์ แต่แล้วเสิ่นจวินเฉา ก็ดึงตัวเธอไปซ่อนอยู่ด้านหลังซอกหินที่อยู่ไม่ไกล
“พี่จวินเฉา… ท่านกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?”
“หืม?” ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวแล้วกล่าวว่า “เจ้ากับข้าไม่ใช่คนจากในวังหลวง ถ้าเราถูกจับได้ เราจะต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยแน่นอน เจ้าอยากถูกจับขังคุกและถูกทรมานหรืออย่างไร?”
“ข้าได้ยินมาว่าคุกหลวงนั้นน่ากลัวมาก ในทุก ๆ ปีมีคนถูกทรมานจนตายอยู่ข้างในนั้นมากมาย”
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องหาที่หลบซ่อนไม่ให้ถูกจับตัวไป มิฉะนั้นพวกเขาอาจไม่มีวันได้กลับออกจากวังหลวงอีกเลย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 165
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น