บทที่ 449: เขายังนิสัยไม่ดีเหมือนเดิม
“มู่เชียน?” ในที่สุดเซียวถังถังก็เหมือนจะเข้าใจ นางวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะดังปัง! แล้วลุกพรวดขึ้น “นั่นนางหรือ ผู้หญิงชั่วที่คิดจะทำร้ายท่านแต่ทำผิดตัวไปลงที่เซียวเซียว มู่เชียน?!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้นางก็ถกแขนเสื้อตัวเองเตรียมจะไล่ตามอีกฝ่ายไป
ภาพนั้นทำให้เปลือกตาของมู่ไป๋ไป่กระตุก เธอรีบกระโจนออกไปขวางศิษย์น้องทันที “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“จะอะไรอีกล่ะ?” เซียวถังถังหันไปมองยังทิศทางที่มู่เชียนเดินออกไป “ข้าจะทำอะไรได้อีก แน่นอนว่าข้าจะไปเรียกร้องความยุติธรรมให้กับท่าน!”
“ตอนนั้นเราเจอกันช้าไป ดังนั้นข้าจึงออกหน้าแทนท่านไม่ได้ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว แถมวันนี้นางยังกล้ามาหาเรื่องเราด้วยตัวเองอีก ดังนั้นข้าจะต้องทวงความยุติธรรมให้ท่าน”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกขบขันกับคำพูดของนางมากจนไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอจึงจัดการลากอีกฝ่ายกลับมาที่โต๊ะ ก่อนจะชี้ไปที่อวี้หวานหว่านที่มีสีหน้าตกตะลึง
“ช่างมันเถอะ เจ้าอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นเลย แบบนั้นหวานหว่านจะตกใจเอาได้”
หลังจากเซียวถังถังได้ยินสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดถึงอวี้หวานหว่าน อารมณ์คุกรุ่นของนางก็ดูเหมือนจะลดลงเล็กน้อย แต่นางก็ยังคงขมวดคิ้วแสดงถึงความไม่พอใจและกระแทกตัวนั่งลงแรง ๆ
“เอาเถอะ เพื่อเห็นแก่หน้าหวานหว่าน วันนี้ข้าจะปล่อยนางไปก่อน แต่คนรับใช้ของนางเพิ่งบอกไปเองไม่ใช่หรือว่าอีก 2-3 วันนางจะได้เข้าไปในวังหลวง?”
“ฮึ ข้าจะคิดบัญชีกับนางในตอนนั้นแหละ”
มู่ไป๋ไป่ยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวพลางคิดในใจว่า เธอคงไม่จำเป็นจะต้องรอให้ถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา แล้วขอให้เซียวถังอี้หาเหตุผลกักตัวน้องสาวของเขาไว้ที่ตำหนักอ๋องเซียวดีหรือไม่?
มิฉะนั้น ด้วยนิสัยของเซียวถังถัง หากนางบังเอิญไปพบมู่เชียนในวังเข้าจริง ๆ มันคงจะวุ่นวายกันน่าดู
และบางทีพระเจ้าอาจจะได้ยินความคิดของเธอ เพราะจู่ ๆ ก็มีร่างในชุดสีฟ้าเดินเข้ามาหาเธอจากระยะไกล
อีกฝ่ายยังคงเดินอย่างไม่เร่งรีบ แต่มู่ไป๋ไป่สามารถแยกความแตกต่างของผู้ชายคนนี้ได้ทันที
แล้วดวงตาคู่สวยก็พลันสว่างขึ้น
ขณะนี้เซียวถังถังยังคงบ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ หลังจากที่นางไม่ได้ยินคำตอบอะไรจากศิษย์พี่ใหญ่ นางจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย “ไป๋ไป่ ท่านกำลังมองอะไรอยู่น่ะ?”
“อ้าว… นั่นจวงอี้หรานไม่ใช่หรือ ทำไมเขาถึงออกมาเดินเล่นข้างนอกแบบนี้?”
“ไป๋ไป่ ท่านไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่ที่เขาเข้ามาอยู่ในตำหนักของพี่ชายข้าเมื่อวาน เขาก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ยอมออกไปไหน แถมยังไม่ให้ใครคอยอยู่รับใช้ด้วย การกระทำของเขาแปลกมาก ข้าได้เล่าเรื่องนี้ให้ท่านพี่ฟัง แต่เขากลับหาว่าข้ากำลังยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่ และยังบอกอีกว่าอย่าได้ไปจุ้นจ้านเรื่องของจวงอี้หรานด้วย”
มู่ไป๋ไป่คิดว่าจวงอี้หรานเป็นคนอื่น ดังนั้นเขาจึงพยายามติดต่อกับคนในตำหนักอ๋องเซียวให้น้อยที่สุด
ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติที่เซียวถังอี้จะไม่ให้เซียวถังถังถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
แล้วคนที่เดินเตร่ช้า ๆ ก็ทำท่าทางเหมือนเพิ่งสังเกตเห็นพวกเธอ เขาจึงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาหา
“ผู้แซ่จวงถวายบังคมท่านหญิง ถวายบังคมองค์หญิงหก” จวงอี้หรานโค้งคำนับมู่ไป๋ไป่กับเซียวถังถังช้า ๆ “ช่างบังเอิญเสียจริง ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบพวกท่านทั้ง 2 ที่นี่”
ปีกจมูกของมู่ไป๋ไป่ขยับเล็กน้อย เธอพยายามสูดกลิ่นพิเศษในอากาศ ก่อนจะยกมุมปากขึ้น “บังเอิญหรือ? ข้าเกรงว่าท่านจอมยุทธ์จวงคงจะจงใจมาพบเราโดยบังเอิญเสียมากกว่า”
เซียวถังอี้เป็นคนที่ไม่เคยไปหาใครเว้นแต่ว่าเขามีเรื่องที่ต้องการจะรู้
เธอไม่เชื่อหรอกว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้พิสูจน์ต่อหน้าเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า จวงอี้หรานกับเขาไม่ใช่คนคนเดียวกัน
แต่ตอนนี้เขากลับมาปรากฏตัวภายใต้ตัวตนของจวงอี้หรานต่อหน้าเธออีกครั้ง เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
เขากำลังแกล้งเธออยู่หรือ?
มู่ไป๋ไป่รู้สึกโมโหเมื่อคิดถึงว่าเซียวถังอี้ไม่ยอมรับว่าเขาคือจวงอี้หราน
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับเผยรอยยิ้มไร้เดียงสา แต่มองจากดาวอังคารหญิงสาวก็รู้ว่าท่าทางของเขาแปลกไป
“ข้าเพียงแค่เบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในตำหนักอ๋องเซียว ข้าจึงออกมาเดินเล่นชื่นชมทิวทัศน์ของเมืองหลวง” เซียวถังอี้กล่าวพลางเดินไปที่โต๊ะอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้าอยากจะรู้ว่าองค์หญิงหกจะว่าอะไรหรือไม่ถ้าข้าขอร่วมโต๊ะด้วย?”
“คิดจะนั่งโต๊ะเดียวกันหรือ?” เซียวถังถังพูดขึ้นมาทันควันโดยไม่รอให้มู่ไป๋ไป่ตอบ
ในขณะที่นางหันไปมองโต๊ะว่าง ๆ รอบตัวด้วยสีหน้าสับสน “ที่นี่มีโต๊ะเก้าอี้ว่างตั้งมากมาย ทำไมท่านถึงคิดจะมานั่งกับพวกเรา?”
“มันแปลกมาก… หรือว่าท่านพี่ของข้าจงใจส่งท่านมาหาเรื่องกันที่นี่?”
“...” เซียวถังอี้ที่ได้ยินดังนั้นถึงกับพูดไม่ออก
ในสมองของเจ้าเด็กนี่มีอะไรอยู่กันแน่?
ขณะเดียวกัน นับตั้งแต่ที่เซียวถังอี้ปรากฏตัว ซูหว่านก็คอยแอบสังเกตเขาอยู่ตลอด
ในฐานะที่นางเป็นแม่ นางรู้จักลูกสาวของตนเองเป็นอย่างดี
สีหน้าแปลกประหลาดของลูกสาวเมื่อครู่นี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่านางรู้สึกกับผู้ชายตรงหน้าไม่เหมือนคนอื่น
ลูกสาวของนางเองก็ถึงวัยที่จะเริ่มมีความรักแล้ว ถ้าอีกฝ่ายได้เจอคนที่ถูกใจเข้าจริง ๆ นั่นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก
แต่ชายหนุ่มผู้นี้ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
พอคิดถึงเรื่องนี้ซูหว่านจึงพูดขึ้นมาว่า “จอมยุทธ์จวงใช่หรือไม่? เชิญท่านนั่งลงด้วยกันเถิด มีคนมากขึ้นจะได้ครึกครื้นยิ่งขึ้น”
เซียวถังอี้ได้ยินดังนั้นก็หันมาโค้งคำนับให้กับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “ท่านผู้นี้…?”
“นี่แม่ข้าเอง” มู่ไป๋ไป่อยากจะกลอกตามองบนใส่ชายหนุ่ม แล้วบอกให้เขาเลิกทำแบบนี้สักที
แต่พอหญิงสาวคิดได้ว่าผู้เป็นแม่ยังนั่งอยู่ด้านข้าง เธอจึงรีบปรับสีหน้าท่าทางให้กลับมาปกติดังเดิม
“ที่แท้เป็นหว่านเฟยนี่เอง” เซียวถังอี้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับทำหน้าประหลาดใจ และอยากจะทำความเคารพนางอีกครั้ง
ซูหว่านรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูกจึงรีบห้ามเขาเอาไว้ “จอมยุทธ์จวง ท่านไม่จำเป็นจะต้องมากพิธีเช่นนี้ วันนี้ข้ากับไป๋ไป่ออกจากวังหลวงมาโดยไม่เปิดเผยตัวตน ท่านไม่จำเป็นจะต้องทำตามกฎเกณฑ์มากมายนัก”
“จอมยุทธ์จวง… ท่านพักอยู่ที่ตำหนักอ๋องเซียว ท่านเป็นสหายของอ๋องเซียวหรือ?”
“เขาเป็นสหายของพี่ชายข้าเองเจ้าค่ะ” เซียวถังถังพูดขัดจังหวะจวงอี้หรานขึ้นมาและเริ่มแนะนำเขาให้หว่านเฟยรู้จัก
ไม่เพียงเท่านั้น นางยังพูดถึงเรื่องบาดหมางระหว่างพวกเขากับสำนักตระกูลถังอีกด้วย
ถึงแม้ว่าเซียวถังถังจะค่อนข้างสมองทึบ แต่นางก็ยังรู้จักพูดจามีกาลเทศะอยู่บ้าง
เรื่องราวดังกล่าวจึงถูกเล่าออกมาอย่างมีชีวิตชีวา ซูหว่านเองก็รับฟังนิ่ง ๆ โดยไม่พูดอะไรและถามด้วยความเป็นกังวลว่า “ต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีกหรือ?”
“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น โชคดีที่ท่านพี่ของข้ามาถึงทันเวลา มิฉะนั้น ข้ากับพี่รองมู่คงจะปกป้องไป๋ไป่เอาไว้ไม่ได้!”
“ส่วนเขา… ฮึ หญ้ารอบป้ายหลุมศพของเขาคงจะสูงเกิน 3 ฉื่อไปแล้วถ้าไป๋ไป่ไม่เสี่ยงชีวิตช่วยล้างพิษในร่างกายของเขา”
“...” ขณะนี้เส้นเลือดบนหน้าผากของเซียวถังอี้ปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกคันไม้คันมืออยากจะตีใครสักคน
“นี่มันอันตรายมาก!” ซูหว่านขมวดคิ้วแล้วรีบคว้ามือของมู่ไป๋ไป่มากุมเอาไว้ “ไป๋ไป่ ทำไมเจ้าถึงไม่เล่าเรื่องพวกนี้ให้แม่ฟัง?”
“ถ้าแม่รู้ว่าท่านอ๋องเซียวขวางลูกธนูให้เจ้า ในวันนี้ข้าคงจะไปขอบคุณท่านอ๋องด้วยตัวเองแล้ว ตอนเด็ก ๆ เจ้าเคยทำให้ท่านอ๋องต้องลำบากอยู่บ่อย ๆ ตอนนี้นับว่าเจ้าเป็นหนี้บุญคุณ ในอนาคตเจ้าคิดว่าจะตอบแทนเขาอย่างไร?”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกหดหู่และกระซิบตอบเสียงเบาว่า “ข้าเองก็ช่วยเขาเอาไว้เหมือนกัน…”
ปัจจุบันรอยแผลเป็นบนมือของเธอยังไม่หายดี
ไอ้สารเลวเซียวถังอี้ยังเป็นคนนิสัยไม่ดีเหมือนเดิม!
ตอนนี้ในสายตาทุกคน เขาคือคนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ ส่วนเธอก็เป็นหนี้บุญคุณชีวิตเขามากมาย
แต่ความจริงเป็นเช่นไรน่ะหรือ?
เธอต่างหากที่ถูกดึงเข้ามาพัวพันในเหตุการณ์นี้จนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!
ยิ่งมู่ไป๋ไป่คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเท่านั้น และอดไม่ได้ที่จะมองค้อนตัวต้นเหตุที่นั่งอยู่ตรงข้าม
เมื่อเซียวถังอี้สังเกตเห็นสายตาของหญิงสาว รอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะโกรธมากทีเดียว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 127
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น