บทที่ 450: การช่วยขวางลูกธนูนั้นเป็นสิ่งที่เขาสมควรทำ
“โถ ท่านน้าหว่าน ท่านอย่าได้เกรงใจไปเลย” เซียวถังถังที่นั่งฟังอยู่นานหัวเราะขัดขึ้นมา “พวกเรานับว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้”
“นอกจากนี้ ไป๋ไป่ก็ยังช่วยท่านพี่ดูแลข้ามาตั้งหลายปี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่ท่านพี่จะเข้ามารับลูกธนูแทนนาง”
“...”
“...”
เซียวถังอี้กับมู่ไป๋ไป่นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
“ครอบครัวเดียวกัน?” ซูหว่านรู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ นางสัมผัสได้ว่าคำพูดของเซียวถังถังมีบางอย่างผิดปกติ แต่นางไม่อาจบอกได้ว่ามันผิดปกติตรงไหน
อย่างไรก็ตาม เซียวถังอี้ก็เป็นบุตรบุญธรรมของอดีตฮ่องเต้ เช่นนั้นพวกนางจึงเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกันจริง ๆ
“ถูกต้อง!” เมื่อเซียวถังถังเห็นว่าหว่านเฟยไม่เข้าใจว่าตนกำลังพูดถึงอะไร นางจึงขยับเข้าไปพูดกับอีกฝ่ายว่า “ท่านน้าหว่าน เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราไม่จำเป็นจะต้องมาเกรงใจกัน ข้านับว่าไป๋ไป่เป็นพี่สะ—”
ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้เอ่ยจบประโยค คำพูดนั้นก็ถูกขนมชิ้นหนึ่งขวางเอาไว้
เซียวถังถังตกใจกับขนมที่จู่ ๆ ก็ถูกยัดเข้ามาในปาก ใบหน้าของนางแดงก่ำเพราะสำลักขนม ก่อนจะพยายามกลืนมันลงท้องไปอย่างยากลำบาก แล้วนางก็ทำตาโตมองผู้กระทำผิด
“ขนมนี้อร่อยมาก ท่านหญิงกินอีกเยอะ ๆ สิ” รอยยิ้มของเซียวถังอี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่เขาพูดเบา ๆ “หากยังไม่พอก็สั่งเพิ่มอีกสักจาน ข้าจะเลี้ยงท่านเอง”
“ใครขอให้ท่านมาเลี้ยงข้ากัน?” ในที่สุดเซียวถังถังก็กลืนขนมลงคอได้สำเร็จ ก่อนจะทุบโต๊ะด้วยความโมโห “จวงอี้หราน เพียงเพราะท่านเป็นสหายของท่านพี่ อย่าคิดว่าท่านจะทำตัวเสียมารยาทกับข้าได้”
“คอยดูเถอะ ถ้ากลับไปถึงบ้านแล้วข้าจะไปฟ้องท่านพี่! มาดูกันว่าท่านพี่จะจัดการท่านอย่างไร!”
“...” คนเป็นพี่ชายทำเพียงแค่ยิ้มเงียบ ๆ
“เอ่อ… เอาล่ะ ๆ” มู่ไป๋ไป่รีบเข้าไปขวางเมื่อเห็นว่าเซียวถังถังลืมหัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้ไปโดยสิ้นเชิง ขณะเดียวกัน เธอก็เหลือบมองเซียวถังอี้ด้วยสายตาห้ามปราม “นี่ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว… เราไปหาข้าวกินกันเถอะ”
“ไม่อย่างนั้นมันจะเย็นไปมากกว่านี้ การกลับเข้าวังหลวงจะไม่สะดวกอีกต่อไป”
ในวังหลวงมีราชองครักษ์คอยลาดตระเวนในตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวัน เธอจึงไม่แน่ใจว่าตัวเธอกับท่านแม่จะถูกจับได้หรือไม่
“นี่ยังเช้าอยู่เลย” เซียวถังถังรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างไป แต่นางนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก “ทำไมคืนนี้ท่านไม่พักค้างคืนที่บ้านข้าล่ะ?”
“ในวังหลวงวุ่นวายกันจะตาย ถึงอย่างไรเสด็จพ่อของท่านก็รักท่านมาก เขาย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน”
เนื่องจากเซียวถังถังไม่รู้ว่าในวังหลวงตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ดังนั้นนางจึงพูดทุกอย่างที่คิดโดยไม่สนใจสิ่งใด
ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่สังเกตเห็นสีหน้าหดหู่ที่ฉายชัดบนใบหน้าของซูหว่าน เธอจึงโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก เราออกมาเที่ยวเล่นเดี๋ยวเดียวได้ แต่ถ้าต้องค้างคืนนอกวังหลวง มันจะเป็นการฝ่าฝืนกฎเสียเปล่า ๆ”
“เจ้าเลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว เจ้ากับหวานหว่านและท่านแม่ออกไปสั่งอาหารรอพวกข้าก่อนเถอะ ข้าจะตรวจชีพจรจวงอี้หรานอีกครั้ง”
ก่อนออกจากวังหลวง เธอได้ทูลขอโสมจากท่านแม่โดยหวังว่าจะนำมันมาใช้ขจัดพิษที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายของเซียวถังอี้
เดิมทีเธอวางแผนเอาไว้ว่าจะมอบมันให้กับชายหนุ่มด้วยตัวเองก่อนที่จะกลับวัง
ทว่าตอนนี้เซียวถังอี้มาหาเธอถึงที่ เธอจึงไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลาไปหาเขาอีก
“ตกลง” เมื่อเซียวถังถังได้ยินว่าศิษย์พี่ใหญ่จะรักษาจวงอี้หราน นางก็ไม่เสียเวลาพูดพร่ำทำเพลงอีกแล้วพาซูหว่านกับอวี้หวานหว่านเดินเข้าไปที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน
หลังจากมู่ไป๋ไป่มองส่งทั้ง 3 คนออกไปแล้ว เธอก็เอนตัวพิงเก้าอี้ที่ร้านน้ำชาพลางยกมือขึ้นกอดอกมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“ท่าน-จอม-ยุทธ์-จวง กรุณายื่นมือของท่านออกมาด้วย”
หญิงสาวจงใจเน้นเรียกขานอีกฝ่ายช้า ๆ และหนักแน่น ซึ่งมันฟังดูคล้ายกับว่าเธอกำลังหยอกล้อเขาไม่น้อย
เซียวถังอี้หลุบตาลงเพื่อซ่อนรอยยิ้มในดวงตาของตัวเอง “ขอบพระทัยองค์หญิงหกที่ช่วยเหลือ”
จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปให้มู่ไป๋ไป่จับชีพจรของเขา
“ยุ่งยากเสียจริง…” ถัดมา หญิงสาวเอ่ยถามเขาอีกครั้งว่า “หลังจากท่านจอมยุทธ์จวงขจัดพิษออกจากร่างกายหมดแล้ว หลังจากนั้นท่านมีแผนการอะไรต่อไป?”
“อืม…” เซียวถังอี้เอียงคอพลางครุ่นคิด “ข้ายังไม่ได้คิดเรื่องนี้ ข้าได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีพิธีใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา”
“ข้าชอบความครื้นเครง ข้าจึงอยากจะเห็นมันสักครั้ง”
มู่ไป๋ไป่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
นี่หมายความว่าเขาจะใช้ตัวตนจวงอี้หรานปรากฏตัวใช่หรือไม่?
“องค์หญิงหก พระองค์จะเสด็จกลับไปยังหุบเขาหมอเทวดาหรือไม่?” เซียวถังอี้ดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นสายตาของหญิงสาวและเงยหน้าขึ้นถามพร้อมรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าทั้งฝ่าบาทและไทเฮาต่างก็โปรดปรานองค์หญิงหกมาก ทั้ง 2 พระองค์หวังว่าองค์หญิงหกจะอยู่ข้างกายตนไปตราบนานเท่านาน”
“นอกจากนี้ องค์หญิงหกก็ถึงวัยเหมาะที่จะแต่งงานแล้ว…”
“ท่านรู้มากทีเดียว” มู่ไป๋ไป่ปล่อยมือจากชีพจรของอีกฝ่าย ก่อนจะคลายเชือกถุงหอมที่เอวของตัวเองแล้วโยนมันให้เขา “ท่านอย่าได้มาก้าวก่ายเรื่องของข้า”
“ในเมื่อข้าเป็นลูกศิษย์ของหุบเขาหมอเทวดา ข้าจะเป็นลูกศิษย์ของที่นั่นไปตลอดชีวิต”
ในเมื่อเขาอยากจะปิดบังตัวเองจากเธอ แถมยังไม่ยอมรับความจริง ทำไมเขาถึงได้มาถามโน่นถามนี่กับเธอมากมายขนาดนั้น?
“ของสิ่งนี้สามารถขจัดพิษที่หลงเหลือในร่างกายของท่านออกไปจนหมด ท่านกินมันให้ครบ 3 ครั้งก็พอ”
ต่อมา มู่ไป๋ไป่ตบหน้าขาตัวเองพร้อมกับลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ”
ทางด้านเซียวถังอี้มองแผ่นหลังที่สง่างามของหญิงสาวและรู้สึกอยากจะเรียกนางไว้
แต่ทันทีที่เขาเปิดปาก เขาก็ชะงักค้างไป
หลังจากเรียกนางไว้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น?
เขาจะบอกนางว่าเขาคือจวงอี้หรานอย่างนั้นหรือ?
แล้วอย่างไรต่อล่ะ?
เซียวถังอี้หัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง ก่อนจะวางเงินลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ยืนขึ้น เอามือไพล่หลังเดินไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับมู่ไป๋ไป่
…
ในเวลาเดียวกัน ณ ตำหนักตี้เฉิน
มู่เทียนฉงขยับพู่กันในมืออย่างเหม่อลอย เขาไม่รู้ว่าตัวเองเขียนผิดไปกี่ครั้งแล้ว ก่อนที่เขาจะโยนพู่กันในมือออกไปด้วยความหงุดหงิด “ไป๋ไป่อยู่ที่ไหน นางยังอยู่กับหว่านเฟยหรือ?”
“ทูลฝ่าบาท” อันกงกงเหลือบมองนายเหนือหัวของเขาแล้วตอบอย่างระมัดระวัง “น่าจะเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้ตอนเช้าองค์หญิงหกเสด็จไปถวายบังคมไทเฮา และยังได้ไปเยี่ยมองค์รัชทายาทด้วย หลังจากนั้นพระนางก็เสด็จกลับไปยังตำหนักอวี๋ชิง แล้วก็ไม่ออกมาอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ”
มู่เทียนฉงยกมือขึ้นนวดระหว่างคิ้วที่ปวดร้าว เขาไม่ได้ไปหาซูหว่านมานานแล้ว ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่านางมีนิสัยอ่อนโยน ยามที่ได้อยู่กับนางมันทำให้เขาสบายใจมากขึ้น
แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป
ในเวลานั้นเอง เขาได้พบกับลี่เฟยที่แอบหลบหนีออกมาจากตำหนักเย็นที่อุทยานหลวง
เขาควรจะลงโทษลี่เฟย แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น
และเขายังรู้สึกโปรดปรานลี่เฟยอีกด้วย
“ฝ่าบาท…” เมื่ออันกงกงเห็นว่าผู้เป็นฮ่องเต้เงียบไป เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “ฝ่าบาทอยากให้กระหม่อมไปเชิญองค์หญิงหกมาเข้าเฝ้าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่จำเป็น” มู่เทียนฉงตอบออกไปทันที
เขารู้ว่ามู่ไป๋ไป่คงจะโกรธหลังจากที่ได้รู้เรื่องลี่เฟยเมื่อวานนี้
นางเป็นลูกสาวของเขา เขารู้จักนิสัยนางเป็นอย่างดี ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงต้องการเก็บเรื่องของลี่เฟยเป็นความลับ…
“เจ้าไปเตรียมตัว เราจะไปที่ตำหนักอวี๋ชิง” มู่เทียนฉงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วออกคำสั่ง
ในโลกนี้ไม่มีใครสำคัญต่อเขาไปกว่ามู่ไป๋ไป่
เขาอาจจะเย็นชาและไร้ความปรานีกับผู้อื่นได้ แต่เขาไม่อาจกระทำการโหดร้ายกับลูกสาวได้จริง ๆ
เมื่อวานนี้เขาทำให้องค์หญิงน้อยของเขาโกรธเข้าเสียแล้ว วันนี้เขาจะต้องไปปลอบนางสักหน่อย
ขณะเดียวกัน มู่ไป๋ไป่ที่ยังอยู่นอกวังหลวงไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อได้ละทิ้งราชกิจทั้งหมดแล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักอวี๋ชิง
เมื่อมู่เทียนฉงมาถึงตำหนักอวี๋ชิง เขากลับไม่พบใครเลย
เขาจ้องนางกำนัลที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น ในขณะที่ใบหน้าของเขาเย็นชาจนดูน่ากลัว “เราขอถามอีกครั้ง องค์หญิงหกและหว่านเฟยอยู่ที่ไหน!”
ข้ารับใช้ในตำหนักไม่สามารถทนรับแรงกดดันของชายผู้นี้ได้ ในที่สุดก็มีคนพูดออกมาว่า “ฝ่าบาท ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ข้าน้อยไม่รู้อะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 149
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น