บทที่ 452: ท่านพ่อสามารถถอนคำสั่งได้หรือไม่?

-A A +A

บทที่ 452: ท่านพ่อสามารถถอนคำสั่งได้หรือไม่?

หลังจากมู่ไป๋ไป่ถามอันกงกงด้วยคำถามสำคัญ 2-3 ข้อแล้ว เธอก็หันหลังวิ่งไล่ตามซูหว่านไปทันที

สงครามเมื่อ 12 ปีก่อนทำให้เธอคิดได้ว่าคนที่ถูกแมลงกู่ควบคุมจะกลายร่างเป็นเหมือนคนตาย

จนกระทั่งเธอได้รู้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับแมลงกู่จากอาเค่อ

ต่อมา เธอจึงตระหนักได้ว่าแมลงกู่สามารถเป็นทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีได้ในเวลาเดียวกัน

จากคำตอบที่อันกงกงบอกเล่ามา มีความเป็นไปได้สูงมากที่ท่านพ่อของเธอจะถูกแมลงกู่ควบคุม

อย่างไรก็ตาม แมลงกู่นั้นก็มีการพัฒนาที่ก้าวหน้ามาก มันสามารถควบคุมผู้คนได้โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

แม้แต่อันกงกงที่รับใช้อยู่ข้างกายมู่เทียนฉงมานานก็ยังเพิ่งสังเกตเห็นเมื่อไม่นานมานี้ว่าฝ่าบาทอารมณ์ร้ายขึ้น

มู่ไป๋ไป่ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไรหากเธอไม่กลับมาในครั้งนี้

ทันใดนั้นเสียงของแตกก็รบกวนความคิดของหญิงสาว

เธอรีบหันไปมองที่ประตูตำหนักตี้เฉิน ซึ่งเสียงนั้นดังมาจากด้านใน ก่อนจะมีเสียงซูหว่านแทรกเข้ามาแผ่วเบา

หญิงสาวเร่งรุดเข้าไปโดยที่ไม่ต้องคิดให้มากความอีก 

ขณะที่เธอกำลังไปถึงหน้าประตู เธอก็ถูกขันทีผู้น้อย 2 คนซึ่งดูไม่คุ้นตาเข้ามาขวางเอาไว้

“องค์หญิงหก พระองค์เข้าไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีทั้ง 2 ยังดูอ่อนเยาว์และมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน เมื่อมองดูใกล้ ๆ ก็จะรู้ว่าพวกเขาเป็นฝาแฝด

มู่ไป๋ไป่รู้สึกเป็นห่วงท่านแม่ที่อยู่ด้านในมาก เธอจึงไม่ทันสังเกตเห็นความแปลกประหลาดของขันทีแฝดคู่นี้ เธอทำเพียงแค่ตวาดใส่อีกฝ่ายอย่างร้อนใจ “หลีกไป!”

ครั้งหนึ่งท่านพ่อเคยออกคำสั่งเอาไว้ว่าเธอสามารถเข้าออกตำหนักใดในวังหลวงก็ได้ตามต้องการ

รวมถึงตำหนักตี้เฉินด้วย

“องค์หญิงหก พระองค์อย่าทำให้พวกข้าน้อยต้องลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีแฝดคนซ้ายพูดขึ้นพร้อมกับเหยียดยิ้มมุมปาก “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่าไม่พบหน้าใคร หากองค์หญิงหกฝืนเข้าไปตอนนี้ มันจะเป็นการขัดขืนคำสั่งของฝ่าบาท”

“หลบไป!” มู่ไป๋ไป่แทบจะกลั้นคำผรุสวาทเอาไว้ไม่อยู่ จากนั้นเธอก็หยิบป้ายทองที่มู่เทียนฉงมอบให้ในปีนั้นออกมาแสดงพร้อมกับพูดว่า “พวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่านี่คืออะไร ถ้าพวกเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร ก็จงกลับไปถามหัวหน้าขันทีผู้นั้น”

หญิงสาวกล่าวจบแล้วก็ฝ่าเข้าไปข้างในทันที

อย่างไรก็ตาม มู่ไป๋ไป่ไม่เคยคาดคิดว่าขันที 2 คนนี้จะมีวรยุทธ และฝีมือของพวกเขาไม่ได้ต่ำเลยด้วย

เพียงพริบตา เธอก็ประมือกับฝ่ายตรงข้ามอยู่หลายกระบวนท่า ก่อนจะถูกบังคับให้ถอยออกจากประตูตำหนักตี้เฉินไปไกลกว่าเดิม

“บังอาจ!” องครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ ปรากฏตัวขึ้นทันทีที่เห็นว่าขันทีทั้ง 2 กำลังโจมตีองค์หญิงหก จากนั้นพวกเขาก็มายืนล้อมเป็นรูปครึ่งวงกลมเพื่อปกป้องมู่ไป๋ไป่เอาไว้ตรงกลาง

“พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ทำร้ายองค์หญิง!”

“ฮ่า ๆๆ พวกเรามิกล้าถึงเพียงนั้น” ขันทีหนุ่มอีกคนที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น เสียงของเขาแหบแห้งแตกต่างจากรูปลักษณ์ของเขาซึ่งเผยให้เห็นถึงความผิดปกติ

“องค์หญิงหก ในวังหลวงมีกฎเกณฑ์ นอกจากทหารรักษาพระองค์แล้ว คนที่จะเข้าไปในตำหนักจะต้องปลดอาวุธออกทุกคน”

“ขณะนี้องค์หญิงหกกำลังพากลุ่มคนที่ไม่ทราบที่มาบุกเข้ามาในตำหนักของฝ่าบาท ข้าน้อยเองก็ไม่รู้ว่าองค์หญิงหกมีเจตนาเช่นไร”

“เหลวไหล!” หลังจากมู่ไป๋ไป่ได้ยินคำพูดบิดเบือนกลับดำเป็นขาวของฝ่ายนั้น เธอก็เริ่มจ้องมองใบหน้าของเขาให้เต็มตา

“พวกเจ้าเป็นใคร คนที่คอยรับใช้เสด็จพ่อมาตลอดคืออันกงกง พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”

“ฮ่า ๆๆ องค์หญิงหกไม่ได้อยู่ในวังมานานแล้ว ดังนั้นพระองค์จึงจำพวกเราไม่ได้” ขันทีที่พูดกับหญิงสาวตอนแรกยิ้มและกล่าวพร้อมกับดวงตาที่ฉายแววเคียดแค้น “พวกเราคือคนที่ลี่เฟยพาออกจากตำหนักเย็น”

“เราเป็นคนที่ฝ่าบาทสามารถไว้วางใจได้”

ลี่เฟย?

ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง

จากนั้นก็มีแสงเย็นแล่นผ่านดวงตาของมู่ไป๋ไป่ “ลี่เฟยใช่หรือไม่? ข้าไม่แปลกใจเลย เจ้านายเป็นเช่นไร คนรับใช้ก็เป็นเช่นนั้น”

“เหล่าองครักษ์เงา ฟังคำสั่งข้า จับตัวพวกมันมาให้ข้า อย่าฆ่าพวกมันเด็ดขาด!”

“เอาไว้ข้าจะจัดการกับพวกมันทีหลัง”

องครักษ์เงาที่อยู่รอบตัวมู่ไป๋ไป่ทั้งหมดตามคำสั่งทันที ในขณะที่พวกเขากำลังจะพุ่งไปข้างหน้า เสียงของซูหว่านก็ดังออกมาจากตำหนักตี้เฉิน

“ไป๋ไป่ เลิกวุ่นวายแล้วกลับไปก่อนเถอะ”

“ท่านแม่!” หญิงสาวแทบเสียสติเมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นแม่ เธอก้าวออกไปหานางอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอ่ยถามว่า “ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง แล้วตอนนี้ท่านพ่ออยู่ที่ไหน?”

ปัจจุบันภายในตำหนักตี้เฉินเงียบลงชั่วขณะ ก่อนที่เสียงแหบพร่าของมู่เทียนฉงจะดังขึ้น “เราอยู่นี่ เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องหารือกับแม่เจ้า ไป๋ไป่ เจ้ากลับไปที่ตำหนักอวี๋ชิงก่อนเถอะ”

มู่ไป๋ไป่ยังคงไม่ไว้วางใจ เธอกัดฟันแล้วทำตัวเอาแต่ใจเหมือนเด็ก ๆ “ท่านพ่อ ให้หม่อมฉันเข้าไปข้างในด้วยเถิดเพคะ”

“วันนี้หม่อมฉันออกไปเที่ยวเล่นเพลินเกินไปจนทำให้ท่านแม่ที่ออกไปด้วยกันต้องทำให้ท่านพ่อเข้าใจผิดและเป็นกังวล”

“ท่านพ่อ ถ้าท่านต้องการจะลงโทษ ก็ให้ลงโทษหม่อมฉันเถิดเพคะ”

คนที่อยู่ในตำหนักตี้เฉินไม่ได้ตอบ แต่ถ้าเงี่ยหูฟังให้ดี ๆ ทุกคนก็จะได้ยินเสียงครวญครางเบา ๆ ดังมาจากด้านใน

มู่ไป๋ไป่ไม่รู้ว่าภายในตำหนักเกิดอะไรขึ้น แต่เสียงที่เธอได้ยินทำให้เธอรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมามากกว่าเดิม

“ท่านพ่อ! ถ้าวันนี้ท่านพ่อไม่อนุญาตให้หม่อมฉันเข้าไป หม่อมฉันก็จะคุกเข่าอยู่ที่นี่จนกว่าท่านจะอนุญาต!” หญิงสาวตัดสินใจทันทีแล้วคุกเข่าลงบนพื้นเย็น ๆ

ตั้งแต่เธออายุได้ 4 ขวบ มู่เทียนฉงก็ไม่เคยยอมให้เธอคุกเข่าต่อหน้าเขาอีก

มู่ไป๋ไป่เป็นลูกสาวที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานที่สุด เขาจึงหวังว่านางจะปฏิบัติกับเขาโดยที่ไม่แบ่งแยกระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง

แต่บัดนี้หญิงสาวได้คุกเข่าลงตรงหน้าประตูตำหนักจริง ๆ

ภายในประตูตำหนักตี้เฉิน มู่เทียนฉงเหมือนฟื้นคืนสติกับอาการมึนงงชั่วขณะ เมื่อมองไปยังซูหว่านที่กำลังตัวสั่นเทิ้มอยู่ใต้ร่างเขาพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า แล้วเขาก็รู้สึกเสียศูนย์

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

เขาจำได้ว่าซูหว่านเข้ามาขอความเมตตาแทนคนในตำหนักอวี๋ชิง…

ผู้เป็นฮ่องเต้ขมวดคิ้วทันทีที่นึกขึ้นได้ ในเวลาเดียวกัน หว่านเฟยก็รีบผลักเขาออกไปในจังหวะนั้น พร้อมกับรวบคอเสื้อที่ถูกกระชากจนฉีกขาด และไปซ่อนตัวอยู่ด้านข้าง

ยามนี้บนใบหน้าขาวเนียนของนางมีรอยนิ้วสีแดงช้ำปรากฏอยู่ซึ่งเกิดจากการที่นางถูกบีบขากรรไกรเต็มแรง

มู่เทียนฉงที่เห็นภาพดังกล่าวก็ขมวดคิ้วแน่นและอยากจะเดินเข้าไปตรวจสอบดู แต่ซูหว่านกลับถอยรุดหนีไปเหมือนกระต่ายที่ตกใจกลัว จนกระทั่งนางไม่มีที่ให้ถอย นางจึงพยายามเบียดตัวเข้ากับเสาที่อยู่ด้านหลัง

ท่าทางหลบเลี่ยงของนางส่งผลให้มู่เทียนฉงรู้สึกขัดเคืองตา แล้วอารมณ์รุนแรงที่เพิ่งถูกระงับเอาไว้ก็กลับมาครอบงำอีกครั้ง

ขณะที่เขากำลังจะโมโห เสียงที่ดังฟังชัดของมู่ไป๋ไป่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้เขากลับมามีสติได้เพียงเล็กน้อย

ไม่นานมู่เทียนฉงก็ตัดสินใจกัดลิ้นตัวเองเต็มแรง ก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของซูหว่าน จากนั้นก็เดินออกจากประตูตำหนักไป

ทันทีที่มู่ไป๋ไป่ได้ยินเสียงฝีเท้า เธอก็เงยหน้าขึ้นมอง แต่เธอไม่เห็นแม้แต่เงาของท่านแม่ พร้อมกับที่ประตูตำหนักสีแดงชาดถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว

“ทำไมเจ้าถึงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ลุกขึ้น!” แม้ว่ามู่เทียนฉงจะสงบสติอารมณ์ลงแล้ว แต่ขณะนี้รอบกายเขาก็ยังมีรังสีสังหารอันน่าสะพรึงกลัวหลงเหลืออยู่

มู่ไป๋ไป่มองพิจารณาอีกฝ่ายอย่างจริงจังก่อนจะส่ายหัวเงียบ ๆ

“ทำไม? เจ้าก็คิดที่จะต่อต้านเราเหมือนกันหรือ?” คนเป็นพ่อโมโหมากที่ลูกสาวดื้อรั้น “พวกเจ้าไม่มีตาหรืออย่างไร เข้าไปช่วยพยุงองค์หญิงหกลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!”

ขันทีฝาแฝดทั้ง 2 ที่คิดว่าจะได้ยืนชมการแสดงอยู่เฉย ๆ ตกใจกับเสียงตะโกนของฝ่าบาท ก่อนจะรีบเข้าไปช่วยพยุงหญิงสาว

“ไป๋ไป่ไม่ต้องการให้ใครมาช่วย” มู่ไป๋ไป่เบี่ยงตัวหลบมือของพวกเขาแล้วพูดเสียงกดต่ำ “ไป๋ไป่มาที่นี่เพื่อขอประทานอภัยโทษจากท่านพ่อ”

มู่เทียนฉงรู้จักนิสัยลูกสาวเป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ยอมลุกขึ้น เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก เขาทำได้เพียงถอนหายใจในขณะที่เขาพูดเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็ลุกขึ้นมาพูดดี ๆ เราไม่โทษเจ้า”

เขาจะกล้าโทษมู่ไป๋ไป่ได้อย่างไร?

“จริงหรือเพคะ?” หญิงสาวเม้มปากแน่น “ถ้าอย่างนั้นท่านพ่อ ท่านอย่าได้ฆ่าคนในตำหนักอวี๋ชิงเลย ท่านพ่อสามารถถอนคำสั่งได้หรือไม่เพคะ?”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.