บทที่ 451: ข้าสงสัยว่าท่านพ่อถูกวางยาพิษ
“พวกเจ้าไม่รู้อะไรเลยหรือ?” มู่เทียนฉงยิ้มเยาะ จังหวะนั้นดูเหมือนจะมีแสงสีแดงสว่างวาบในดวงตาของเขา แต่มันเร็วมากจนไม่มีใครทันสังเกตเห็น “เราให้พวกเจ้าคอยอยู่รับใช้หว่านเฟยกับไป๋ไป่ แล้วนี่คือวิธีที่พวกเจ้ารับใช้พวกนางหรือ?”
“ใครก็ได้ มาลากตัวคนไร้ประโยชน์พวกนี้ออกไปประหารเดี๋ยวนี้!”
นางกำนัลและขันทีที่กำลังร้องไห้ยิ่งส่งเสียงร้องระงมมากขึ้น พร้อมกับคลานเข่าไปข้างหน้าพยายามร้องขอความเมตตาจากฮ่องเต้
“ฝ่าบาท ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ข้าน้อยไม่รู้จริง ๆ ว่าองค์หญิงหกกับหว่านเฟยหายไปไหน”
“ฝ่าบาท ไว้ชีวิตพวกเราด้วย…”
มู่เทียนฉงไม่ฟังเสียงร้องขอชีวิตของเหล่าข้าราชบริพารในตำหนัก หลังจากออกคำสั่งตัดหัวแล้ว เขาก็สั่งให้ทหารรักษาพระองค์ออกไปตามหาหว่านเฟยกับมู่ไป๋ไป่
จากนั้นในวังก็เกิดความโกลาหลชั่วขณะหนึ่ง
ในตอนที่ท้องฟ้ายังไม่มืดลง มู่ไป๋ไป่ได้พาซูหว่านกลับมาที่ตำหนัก พระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำส่องแสงกระทบกับวังหลวงที่งดงามตระการตา
“ข้าชื่นชอบช่วงเวลานี้ในวังหลวงมากที่สุด” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะจับมือผู้เป็นแม่และกระซิบแบ่งปันความลับของตนเองให้แก่นาง “ตอนที่ข้าไปถึงหุบเขาหมอเทวดาครั้งแรก ข้าก็ฝันถึงภาพนี้ทุกคืน”
“ทุกครั้งที่ข้าฝัน ข้าจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกเหนือวังหลวง”
“ในเมื่อเจ้าคิดถึงที่นี่ถึงเพียงนี้ ไยเจ้าไม่รีบกลับมาเสียเล่า” ซูหว่านเองก็เพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับลูกสาวที่หาได้ยากเช่นกัน “ตอนเจ้าอยู่ที่หุบเขาหมอเทวดา แม่เองก็คิดถึงเจ้าทุกวัน”
มู่ไป๋ไป่หันไปยิ้มให้ผู้เป็นแม่และกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับเธอเห็นองครักษ์เงารีบเข้ามาหาเธออย่างรีบร้อน
“องค์หญิงหก เกิดเรื่องที่ตำหนักอวี๋ชิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เงามองซูหว่านด้วยความลังเล จากนั้นก็กระซิบพูดกับหญิงสาวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ฝ่าบาทได้เสด็จมาที่ตำหนักอวี๋ชิงอย่างกะทันหัน ฝ่าบาทไม่พบองค์หญิงหกกับหว่านเฟยที่นั่น ฝ่าบาทจึงทรงกริ้วมาก พระองค์สั่งประหารชีวิตนางกำนัลและขันทีทั้งหมดในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ!” มู่ไป๋ไป่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ท่านพ่อของเธอเป็นถึงฮ่องเต้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนเลือดเย็น แต่เขาก็ไม่ใช่คนโหดร้ายขนาดนั้น
ในตำหนักอวี๋ชิงมีนางกำนัลและขันทีอยู่นับร้อย รวมถึงคนเก่าแก่บางคนที่เคยติดตามซูหว่านมานานกว่า 10 ปี
ในเวลาเดียวกันนั้น คนที่ยืนอยู่ข้างกายมู่ไป๋ไป่เคลื่อนไหวเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนอง ซูหว่านก็รีบวิ่งไปที่ตำหนักอวี๋ชิงแล้ว
“ท่านแม่ รอข้าด้วย!” หญิงสาวกัดฟันวิ่งตามอีกฝ่ายไปพร้อมกับกระซิบบอกองครักษ์เงาที่อยู่ด้านข้างว่า “ถ้าหลังจากนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ท่านอย่าลืมปกป้องท่านแม่ของข้าก่อน”
องครักษ์หนุ่มที่ได้ยินคำสั่งนั้นก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็เข้าใจว่าองค์หญิงหกหมายถึงอะไร เขาจึงพยักหน้าตอบรับทันที “องค์หญิงหกไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ พวกเรามีเจ้านายเพียงคนเดียวเท่านั้น”
ในหัวใจขององครักษ์เงาเหล่านี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าฮ่องเต้ มีเพียงเจ้านายเท่านั้น
หากมีใครคิดจะทำร้ายเจ้านายของพวกเขา ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงฮ่องเต้ผู้ครองบัลลังก์ พวกเขาก็ยังกล้าที่จะชักกระบี่ออกมาต่อสู้
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในตอนที่เธอตามทันซูหว่าน ทั้งคู่ก็ได้มาถึงตำหนักอวี๋ชิงแล้ว
ในยามปกติตำหนักอวี๋ชิงจะเงียบสงบมาก แต่ตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ระงมที่ฟังดูน่าเวทนา และยังได้กลิ่นคาวเลือดอ่อน ๆ โชยอยู่ในอากาศอีกด้วย
ซูหว่านไม่ได้วิ่งเต็มกำลังแบบนี้มานาน แต่นางไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด นางกลับรู้สึกหนาวสะท้านสุดขั้วหัวใจ
เนื่องจากความอ่อนโยนของหว่านเฟย นางจึงถือว่าเหล่านางกำนัลและขันทีในตำหนักเป็นเหมือนคนในครอบครัวของตน
นางยอมรับได้เรื่องที่ว่ามู่เทียนฉงไม่เคยรักนาง แต่นางยอมรับไม่ได้เด็ดขาดที่อีกฝ่ายต้องการมาทำลายครอบครัวของนาง
ซูหว่านกำมือแน่นแล้ววิ่งเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ความโกรธได้ปะทุขึ้นในดวงตาที่เคยอ่อนโยนคู่นั้น
“ท่านแม่ ท่านใจเย็น ๆ ก่อน” มู่ไป๋ไป่เห็นว่าท่าทีของผู้เป็นแม่ดูเปลี่ยนไปจึงได้รีบห้ามนางไว้ “หลังจากที่เราเข้าไปแล้ว ข้าจะเล่าเรื่องที่เราออกจากวังหลวงเองเพคะ”
มู่เทียนฉงดูแปลกไป เขาผิดปกติมากอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อถึงเวลานี้ หากซูหว่านบอกว่าพวกนางแอบออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง ใครจะรู้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“ตกลง” หว่านเฟยสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะฝืนยิ้มให้ลูกสาว “ไป๋ไป่ แม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร”
หญิงสาวมองดูคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
ในขณะที่ซูหว่านเข้าใจลูกสาว มู่ไป๋ไป่ก็เข้าใจด้วยว่าแม่ของเธอเป็นอย่างไรเช่นกัน
ทว่าหว่านเฟยไม่ได้ปล่อยให้เธอได้คิดอะไรมากนักและเดินตรงเข้าไปในตำหนัก
ยามนี้เสียงร้องของเหล่าข้าราชบริพารในตำหนักดังขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนซูหว่านก็สาวเท้าเดินเข้าไปที่สวนด้านหลังตำหนักด้วยความคุ้นเคย แล้วมองนางกำนัลและขันทีที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ขณะนั้นหูนางเหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น
“พระสนม!”
“พระสนมกลับมาแล้ว! พระสนม ช่วยพวกเราด้วย!”
ในเวลาเดียวกัน มีคนเห็นหว่านเฟย พวกเขาจึงพากันตื่นเต้นเหมือนมองเห็นหนทางรอด
“หว่านเฟย ในที่สุดพระองค์ก็กลับมาแล้ว!” อันกงกงซึ่งยืนปวดหัวมองสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ห่าง ๆ เป็นเวลานานรีบปรี่เข้าไปหาสตรีทั้ง 2 และกระซิบพูดว่า “ฝ่าบาทเสด็จมาที่ตำหนักอวี๋ชิงแล้วไม่พบพวกพระองค์ ฝ่าบาทจึงได้ทรงกริ้วยิ่งนัก หว่านเฟย ได้โปรดไปโน้มน้าวฝ่าบาทหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้น ชีวิตของคนพวกนี้คงจะ…”
“เขาอยู่ที่ไหน?” ซูหว่านสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
อันกงกงตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังถามถึงใคร “ฝ่าบาทเพิ่งเสด็จกลับไปยังตำหนักตี้เฉินพ่ะย่ะค่ะ…”
ทันทีที่ชายชราพูดจบ ซูหว่านก็หมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปยังตำหนักตี้เฉิน
“หว่านเฟย…” อันกงกงมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย เขาสัมผัสได้ว่าหว่านเฟยนั้นมีบางอย่างแตกต่างไปจากเดิม แต่เขาไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
“อันกงกง เกิดอะไรขึ้น?” มู่ไป๋ไป่ได้สั่งการให้องครักษ์เงาติดตามผู้เป็นแม่ไป ในขณะที่เธอมาสอบถามข้อมูลจากชายสูงวัย
อันกงกงรีบโค้งคำนับให้กับหญิงสาวด้วยความเคารพก่อน จากนั้นจึงเล่าเหตุผลที่ทำให้มู่เทียนฉงทรงกริ้ว
ยิ่งมู่ไป๋ไป่ได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากเท่าไหร่ สีหน้าของเธอก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้นเท่านั้น “ปกติท่านพ่อไม่ได้โมโหง่ายถึงเพียงนี้…”
“นอกจากนี้ นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่เขาจะทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ อันกงกง บอกข้ามาเถอะว่าช่วงนี้ท่านพ่อของข้ามีอะไรผิดปกติหรือไม่?”
“เอ่อ… องค์หญิงหกกำลังทำให้กระหม่อมลำบากใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อันกงกงหัวเราะแห้ง ๆ “ในวัง ถ้าหากกระหม่อมเอ่ยถึงฝ่าบาทไปมั่วซั่ว กระหม่อมจะถูกตัดสินประหารชีวิต”
ในอดีตเขาเคยรู้สึกว่าถึงแม้มู่เทียนฉงจะดูเย็นชา แต่เขาก็ไม่ใช่คนอำมหิต
แต่ขณะนี้ ตอนที่เขาเห็นว่าฝ่าบาทสั่งประหารนางกำนัลและขันทีมากกว่า 100 คนในตำหนักอวี๋ชิง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกหวาดกลัว
แล้วเขาจะกล้าพูดเรื่องพวกนี้กับองค์หญิงหกในช่วงเวลาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
พอมู่ไป๋ไป่เข้าใจความคิดของชายชรา เธอก็ขมวดคิ้วแล้วดึงเขาไปกระซิบตรงมุมหนึ่งว่า “อันกงกง ข้าถามคำถามพวกนี้เพราะสงสัยว่าท่านพ่อของข้าถูกวางยาพิษ”
นิสัยของคนเราไม่ควรจะเปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือในเวลาอันสั้น อีกทั้งเขายังทำในสิ่งที่ไร้เหตุผลอีกด้วย
นอกจากแมลงพิษแล้ว เธอไม่สามารถหาคำอธิบายอื่นใดได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างที่เดินทางกลับเมืองหลวงในครั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลเฉินดูเหมือนจะทำให้เธอพบเจอเบาะแสบางอย่าง
อาการของท่านพ่อคล้ายกับคนที่โดนแมลงกู่ควบคุม แต่มันดูจะแตกต่างไปเล็กน้อย
ดังนั้นเธอจึงต้องเข้าใจสถานการณ์โดยรวมของมู่เทียนฉงก่อน
“ถูกวางยาพิษหรือพ่ะย่ะค่ะ?” อันกงกงตกใจพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย “จะเป็นไปได้อย่างไร ฝ่าบาทได้สั่งให้กำจัดพิษนี้ไปตั้งแต่เมื่อ 12 ปีก่อน อีกอย่างเรื่องนี้ยังเกิดขึ้นในวังหลวงด้วย ใครจะกล้าทำเช่นนั้น…”
“ใช่” ยามนี้ดวงตาของมู่ไป๋ไป่มีเงาดำพาดผ่าน “ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครที่ขวัญสูงกล้าทำร้ายท่านพ่อ”
ในเมื่อมันเป็นเรื่องของการถูกวางยาพิษ อันกงกงจึงไม่กล้าปิดบังและตอบทุกคำถามที่มู่ไป๋ไป่ถาม
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ท่านพ่อก็โดนควบคุมไปอีกคนเหรอเนี่ย ทำยังไงดีล่ะทีนี้
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 145
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น