บทที่ 453: ปล่อยให้ข้าจัดการเอง เจ้ากลับไปเถอะ
มู่เทียนฉงตั้งท่าจะปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว แต่หลังจากที่สบเข้ากับสายตาแน่วแน่ของมู่ไป๋ไป่ เขาก็พูดอะไรไม่ออก
“คนรับใช้พวกนั้นละเลยหน้าที่ของตน พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้านายของตัวเองไปไหน เราไม่ควรจะลงโทษพวกเขาหรือ?” ผู้เป็นพ่อทำหน้าเย็นชาพร้อมขมวดคิ้ว “ตอนนี้ยังทำให้เจ้าต้องมาคุกเข่าเพื่อขอร้องแทนพวกเขาซึ่งมันเป็นความผิดที่ร้ายแรงกว่าเดิมเสียอีก”
มู่ไป๋ไป่ฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายเธอก็รู้ว่าเขาสงบลงมากแล้ว เธอจึงรีบพูดหยอกล้อเขา “ท่านพ่อ มันเป็นเพราะความดื้อรั้นของหม่อมฉันเอง ท่านอย่าได้โทษพวกเขาเลย อีกอย่าง นี่ก็ใกล้วันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาแล้ว เราไม่ควรให้เกิดการนองเลือดในเวลาเช่นนี้ มันจะเป็นลางไม่ดีนะเพคะ”
เมื่อมู่เทียนฉงเห็นสีหน้าจริงจังของลูกสาว เขาก็รู้สึกขบขันก่อนจะยื่นมือออกไปบีบปลายจมูกของนาง “นอกจากเจ้าจะไปร่ำเรียนวิชาแพทย์ที่หุบเขาหมอเทวดาแล้ว เจ้ายังเรียนรู้วิชาโหรด้วยหรือ?”
“ฮิ ๆ หม่อมฉันแค่ไปฟังคำพูดคนอื่นมาเพียงเท่านั้น” ในที่สุดหญิงสาวก็โล่งอกได้สักทีและปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลขึ้นเพื่อหยอกล้อคนเป็นพ่อต่อไป “ท่านพ่อ ได้โปรดยกโทษให้พวกเขาด้วยเถิดเพคะ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาท่านแม่คุ้นเคยกับการมีพวกเขาคอยดูแลอยู่ข้างกาย ถ้าท่านพ่อฆ่าพวกเขาไปจนหมด ท่านแม่จะต้องรู้สึกไม่คุ้นชินแน่เลยเพคะ”
“ไป๋ไป่เองก็ไม่คุ้นชิน…”
ในตอนที่มู่เทียนฉงได้ยินลูกสาวพูดถึงซูหว่าน ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
มู่ไป๋ไป่ที่เป็นคนช่างสังเกตย่อมไม่พลาดการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ จากสีหน้าของอีกฝ่าย แล้วเธอก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาจึงอดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้ว่า “ท่านพ่อ ทำไมท่านแม่ถึงออกมาล่ะเพคะ?”
“นางเหนื่อยแล้ว” มู่เทียนฉงตอบอย่างใจเย็น “เราจึงให้นางพักผ่อนอยู่ข้างใน เอาไว้เราจะพิจารณาเรื่องของคนในตำหนักอีกครั้ง เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
หลังจากกล่าวเช่นนั้นจบเขาก็ไม่เปิดโอกาสให้ลูกสาวพูดอีก ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในตำหนักตี้เฉิน
มู่ไป๋ไป่ที่อ้าปากเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง จังหวะนั้นจู่ ๆ ก็มีมือใหญ่อันแสนอบอุ่นมาคว้าจับที่ไหล่
หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยจากด้านหลัง ทำให้เธอหันกลับไปมองด้วยความตกใจ
“เซียว— เสด็จอาเล็ก?”
ในตอนที่เซียวถังอี้ปรากฏตัว เหล่าองครักษ์เงาที่คอยปกป้ององค์หญิงหกเอาไว้ไม่มีใครสังเกตเห็นเลย
ทุกคนต่างพากันตกตะลึง แล้วพวกเขาก็แอบรู้สึกชื่นชมท่านอ๋องแห่งเป่ยหลงผู้ลึกลับคนนี้มากขึ้น
“ลุกขึ้นเถอะ” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา
มู่ไป๋ไป่ไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดไปเองหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกว่าสีหน้าของเซียวถังอี้ดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์เสียเท่าไหร่
“ไม่ ท่านแม่ของข้ายังอยู่ข้างใน” หญิงสาวขมวดคิ้วตอบ
ปัจจุบันมู่เทียนฉงถูกใครบางคนวางยาพิษ หากคนที่วางยาพิษเขาต้องการทำร้ายท่านแม่ นี่จะเป็นโอกาสที่เหมาะเจาะมาก
ถ้าวันนี้เธอยังไม่เห็นซูหว่านปลอดภัยกับตาตัวเอง เธอจะกล้ากลับไปทั้งแบบนี้ได้อย่างไร
“ลุกขึ้น” เซียวถังอี้หรี่ตามองอีกฝ่าย และแววตาสีเข้มของเขาก็ดูจะอ่อนลง “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ตรงนี้ให้ข้าจัดการเอง”
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ถูกร่างสูงฉุดให้ลุกขึ้นจากพื้น
เธอสามารถรับรู้ได้ถึงความร้อนจากฝ่ามือใหญ่ของเขาได้ชัดเจนผ่านแขนเสื้อซึ่งมันร้อนมาก
“นี่ท่าน?” หญิงสาวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะดึงมือชายหนุ่มออกและกระซิบว่า “ท่านรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านพ่อถูกวางยาพิษ?”
เซียวถังอี้มองลึกเข้าไปในดวงตาของมู่ไป๋ไป่แล้วตอบว่า “ข้าเพียงแค่คาดเดาเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ เจ้าไม่ต้องกังวล แม่ของเจ้าไม่เป็นไรหรอก เจ้ากลับไปรอที่ตำหนักเถอะ”
ชายหนุ่มพูดประโยคสุดท้ายเบามาก มันเบาเสียจนหญิงสาวคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป
เธอจ้องไปที่คนตัวสูงกว่านิ่งพร้อมกับอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูกแล่นเข้ามาในใจ ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดมาก
“เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ?” พอเซียวถังอี้เห็นว่ามู่ไป๋ไป่ไม่ยอมขยับ เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีกดดันแต่กลับยิ้มออกมาแทน
ริมฝีปากของเขาแต่เดิมนั้นมีสีเข้มกว่านี้ มันจึงยิ่งดูงดงามมากขึ้นเมื่อประกอบกับหน้ากากสีเงิน ซึ่งทำให้ผู้คนที่ได้มองยากที่จะละสายตา
แต่มู่ไป๋ไป่รีบเสตามองไปทางอื่นทันที “ข้าไม่เชื่อ… ได้หรือ?”
เธอคอยทดสอบเขามาหลายครั้ง และรอให้เขามาสารภาพกับเธอตามตรง แต่สุดท้ายเธอได้อะไรตอบแทนคืนมา?
“ท่านแน่ใจนะว่าท่านแม่จะไม่เป็นอะไร?” มู่ไป๋ไป่ระงับอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องตาร่างสูงเหมือนกวางน้อย
เมื่อเซียวถังอี้มองดูท่าทางเช่นนี้ของนาง เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาสะกิดหัวใจ “แน่นอน”
“เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปรอฟังข่าวท่านที่ตำหนัก” มู่ไป๋ไป่ก้าวถอยหลังออกไป “ถ้าก่อนค่ำยังไม่มีข่าวจากท่านแม่ ข้าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง”
หลังจากพูดจบเธอก็เดินนำเหล่าองครักษ์เงาออกไป
พอชายหนุ่มเห็นว่าหญิงสาวยอมกลับไปที่ตำหนักของตัวเอง เขาก็หันหลังเดินมุ่งหน้าไปยังตำหนักตี้เฉิน
จังหวะที่เซียวถังอี้หมุนกายกลับมา รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาก็หายไปจนสิ้น เหลือไว้เพียงความเย็นชาเท่านั้น
ทางด้านขันทีแฝดที่ยังคงเฝ้าประตูอยู่ได้แต่ตัวสั่นเมื่อมองเห็นท่านอ๋องที่กำลังเดินเข้ามา
ขณะที่พวกเขากำลังจะเปิดปากห้ามอีกฝ่าย เข็มเงิน 2 เล่มก็ถูกแทงเข้าไปที่ไหล่ของพวกเขาเสียแล้ว
ส่งผลให้ทั้งคู่ได้แต่หยุดยืนนิ่งกลายเป็นหุ่นเชิดที่ไม่สามารถขยับหรือพูดได้
จากนั้นเซียวถังอี้ก็เดินผ่านพวกเขาไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงพูดอยู่หน้าประตูตำหนักสีแดงบานใหญ่ “เซียวถังอี้มาเข้าเฝ้าเสด็จพี่”
ฝ่ายที่อยู่ด้านหลังบานประตูเงียบอยู่นานก่อนที่จะมีคนมาเปิด
ใบหน้าหม่นหมองของมู่เทียนฉงปรากฏให้เห็นทันที พร้อมด้วยสายตาที่มองคนตรงหน้าเหมือนเป็นศัตรูโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ “เหตุใดถังอี้ถึงมาเข้าเฝ้าเราในเวลานี้?”
เซียวถังอี้เดินเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็ว แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นเศษผ้าชิ้นหนึ่ง ก่อนที่ผู้เป็นฮ่องเต้จะก้าวเข้ามาขวางไว้
“ทูลเสด็จพี่ ข้ามีข่าวสำคัญเกี่ยวกับหนานซวนที่ต้องการรายงานให้พระองค์ทราบ”
…
อีกด้านหนึ่ง มู่ไป๋ไป่เดินกลับไปยังตำหนักอวี๋ชิงและสั่งให้อันกงกงพานางกำนัลและขันทีของตำหนักไปขังเอาไว้ในคุกเพื่อรอการตัดสินโทษจากฝ่าบาทอีกครั้ง
ทันทีที่นางกำนัลและขันทีรู้ว่าพวกตนจะไม่ถูกตัดหัวในตอนนี้ พวกเขาก็ต่างพากันหลั่งน้ำตาและขอบคุณองค์หญิงหกไม่หยุด
หลังจากที่อันกงกงพาทุกคนออกไปแล้ว เขาก็ยังเป็นกังวลว่าจะไม่มีใครคอยอยู่รับใช้มู่ไป๋ไป่ในตำหนัก เขาจึงได้ส่งนางกำนัลและขันทีจากที่อื่นมาช่วย
บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขารู้จักนิสัยของหว่านเฟยกับองค์หญิงหกเป็นอย่างดี เหล่าคนรับใช้ที่เพิ่งถูกส่งมาจึงพูดน้อยมาก แล้วคอยทำทุกอย่างอย่างระมัดระวังเป็นที่สุด
ขณะนี้มู่ไป๋ไป่เป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของซูหว่านจนไม่อาจนั่งนิ่งได้เลย
โชคดีที่มู่จวินฝานเข้ามาช่วยปลอบให้เธอสงบลงได้บ้าง
“ไป๋ไป่ เจ้าหุนหันพลันแล่นเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มพูดพลางวางกล่องอาหารที่เพิ่งส่งมาจากห้องครัวไว้บนโต๊ะ “เจ้าก็รู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้เสด็จพ่อเปลี่ยนไป…”
เมื่อผู้เป็นพี่ชายเห็นว่าน้องสาวเอาแต่ก้มหน้านิ่ง เขาก็ไม่อาจพูดตำหนิต่อไปได้ แล้วยื่นมือไปลูบหัวอีกฝ่าย “คราวหน้าหากเจอเรื่องเช่นนี้อีก เจ้าควรสั่งให้คนไปตามพี่ทันที เข้าใจหรือไม่?”
“ถ้าเสด็จอาไม่ส่งคนมาบอกพี่ พี่คงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ในตำหนักอวี๋ชิง”
ก่อนหน้านี้มู่จวินฝานได้รับมอบหมายราชกิจมากมายจากมู่เทียนฉง ทำให้งานของเขายุ่งมาก
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักอวี๋ชิงนั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในตอนที่เขาได้รับข่าวจากเสด็จอา มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
โชคดีที่เซียวถังอี้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้ทันเวลา
“เซียวถังอี้?” ดวงตาที่แต่เดิมไร้ชีวิตชีวาของมู่ไป๋ไป่บัดนี้กำลังสั่นไหว “เขาส่งคนไปบอกท่านหรือ?”
มู่จวินฝานพยักหน้า “ไป๋ไป่ เจ้าอย่ากังวลไปเลย ในเมื่อเสด็จอาอยู่ที่นี่แล้ว หว่านเฟยจะไม่เป็นไร”
หญิงสาวเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า “ท่านพี่รัชทายาท ท่านจำตอนที่ท่านถูกพิษเมื่อครั้งที่เราอยู่ที่ชายแดนได้หรือไม่?”
“ข้าย่อมจำได้อยู่แล้ว” ชายหนุ่มมองน้องสาวอย่างประหลาดใจ “ไป๋ไป่ เหตุใดจู่ ๆ เจ้าถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา”
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ได้บอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เธอสงสัยว่ามู่เทียนฉงถูกพิษ “วิธีเดียวที่จะยืนยันคำตอบนี้ได้ก็คือ ขอให้สหายของข้าเข้ามาในวังหลวงเพื่อให้เขาเห็นกับตา”
“งูของเขาสามารถบอกได้ว่าคนคนนั้นมีแมลงพิษแฝงอยู่ในร่างกายหรือไม่”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 158
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น