บทที่ 436: สมองข้าไม่ดีเพราะท่านตีหัวข้า
มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่าท่าทางของอาเค่อตลก เธอจึงยกยิ้มมุมปาก “ท่านไม่จำเป็นต้องปิดบัง ท่านไม่สามารถซ่อนเรื่องพวกนี้จากข้าได้หรอก”
ขณะที่เธอร่ำเรียนอยู่ที่หุบเขาหมอเทวดา เธอได้ยินข่าวจากในยุทธภพว่ามีชนเผ่าลึกลับอาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันตกของหุบเขาในเขตเป่ยหลง
คนกลุ่มนี้ชอบเลี้ยงแมลงมีพิษ และสามารถฝึกสัตว์ที่มีพิษอย่างเช่นงู แมงป่อง และสัตว์ชนิดอื่น ๆ ได้อีกด้วย
ในยามที่คนในยุทธภพต้องเดินทางไปยังฝั่งตะวันตกของแคว้นเป่ยหลง พวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงอาณาเขตของเผ่านั้นให้ได้มากที่สุด เพราะพวกเขากลัวว่าอาจจะหลงเข้าไปในดินแดนต้องห้ามและถูกแมลงมีพิษกัดตาย
ในตอนที่เธอพบอาเค่อครั้งแรก เธอก็เริ่มสงสัยในตัวตนของเขา
ต่อมาเมื่อได้รู้จักกันมากขึ้น เธอก็ค้นพบว่าแม้ชายผู้นี้จะไม่รู้หนังสือ แต่เขารู้จักสมุนไพรส่วนใหญ่และไม่กลัวแมลงมีพิษเลย
อีกทั้งเขาชอบไปนั่งอยู่ตามมุมต่าง ๆ ในโรงเตี๊ยมพร้อมกับขวดเล็ก ๆ เพื่อคอยจับแมงมุมหรือไม่ก็ตุ๊กแก
ดังนั้นเธอจึงคาดเดาว่าอาเค่ออาจจะมาจากชนเผ่าลึกลับทางตะวันตกของแคว้น
หลังจากที่เธอเล่าให้เจียงเหยากับอวี้เซิ่งฟัง ทั้งคู่ต่างก็เห็นด้วยกับการคาดเดาของเธอ
แต่เนื่องจากพระราชโองการของฝ่าบาทที่เป็นเหมือนกฎหมายของเป่ยหลง พวกเธอจึงไม่อยากให้อาเค่อรู้สึกไม่ดี ดังนั้นพวกเธอจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้
“ทุกคน…” ชายหนุ่มหันไปมองรอบ ๆ ตัวด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “ทุกคนรู้แล้วหรือ?”
“ถูกต้อง” มู่ไป๋ไป่พยักหน้า “เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลัง เรามาคุยเรื่องของตระกูลเฉินก่อนดีกว่า…”
ในตอนนั้นเอง เซียวถังอี้เดินลงมาจากชั้น 2 ขณะที่ดวงตาเรียวยาวของเขาที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากสีเงินจับจ้องไปที่มู่ไป๋ไป่ ทำให้หญิงสาวที่ยังพูดไม่จบประโยคชะงักไปโดยไม่รู้ตัว
“เสด็จอา” มู่จวินเซิ่งมองตามสายตาของน้องสาวแล้วเห็นชายหนุ่มจึงลุกขึ้นโค้งคำนับให้อีกฝ่าย
“อยู่ด้านนอกเจ้าไม่จำเป็นต้องมากพิธี” เซียวถังอี้พยักหน้ารับแล้วเอามือไพล่หลังขณะเดินลงบันได แล้วไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ มู่ไป๋ไป่
จากนั้นเขาก็ถามว่า “พวกเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่? เกี่ยวกับตระกูลเฉินหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินเซิ่งตอบรับก่อนจะบอกข่าวที่จื่อเฟิงกับอาเค่อรายงานเมื่อสักครู่ให้เซียวถังอี้ฟังสั้น ๆ “เสด็จอา เรื่องนี้สำคัญมาก กระหม่อมอยากจะเขียนจดหมายถึงเสด็จพ่อ”
ในระหว่างการต่อสู้ที่ชายแดนเมื่อ 12 ปีก่อน เขาได้เห็นว่าชาวหนานซวนได้ใช้แมลงกู่เพื่อควบคุมคนที่มีชีวิตกับตาตัวเอง
ตอนนี้มีคนใช้แมลงกู่เคลื่อนไหวในเป่ยหลงอีกครั้ง พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคนของหนานซวน
บางที 12 ปีที่อีกฝ่ายยอมจำนนนั้นอาจจะเป็นเพียงละครฉากหน้าของแคว้นหนานซวน ซึ่งเป็นการแสดงให้เป่ยหลงลดความระวังลง
หลังจากเซียวถังอี้ได้ยินดังนี้ คิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาสวมหน้ากากบดบังใบหน้า คนภายนอกจึงไม่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเขาได้
“ให้ซั่วเยว่ไป ซั่วเยว่เร็วกว่า” หลังจากชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ออกคำสั่งพลางใช้ปลายนิ้วเคาะที่วางแขนเป็นจังหวะ
“นอกจากนี้ ให้เจ้าเขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่งส่งไปที่ชายแดน สั่งให้คนคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของหนานซวนอย่างใกล้ชิด”
มู่จวินเซิ่งตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะเรื่องนี้มันสำคัญมากจริง ๆ เขาจึงไม่กล้าชักช้า เมื่อตอบรับแล้วเขาก็หันหลังเดินกลับขึ้นไปชั้นบนทันที
ทางด้านหลัวเซียวเซียวที่เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของแม่ทัพหนุ่ม นางยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วนางก็ตัดสินใจเดินติดตามเขาขึ้นไป
“หนานซวนจะก่อปัญหาอีกหรือ?” เจียงเหยาเคยต่อสู้ร่วมกับอวี้เซิ่งในสมรภูมิรบที่ชายแดน ดังนั้นขณะนี้ใบหน้าของนางจึงเคร่งเครียดมากเมื่อเอ่ยถึงแคว้นหนานซวน
“อาจจะเป็นเช่นนั้น” เซียวถังอี้เหลือบมองมู่ไป๋ไป่ที่นั่งอยู่ด้านข้างโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น และตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถึงอย่างไรตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกมันก็ไม่เคยยอมจำนนจริง ๆ สักครั้ง”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียวถังอี้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของหนานซวนมาตลอดเลยหรือ?
เพราะเหตุใด… เขาเคยได้ยินข่าวลือบางอย่างมาก่อนหรือไม่?
หรือว่าเซียวถังอี้ไม่เคยเชื่อว่าหนานซวนจะยอมแพ้ง่าย ๆ?
ถ้าเป็นอย่างหลัง เธอคงต้องมองผู้ชายคนนี้ใหม่เสียแล้ว
“ช้าก่อน…” เซียวถังถังเป็นคนเดียวที่ไม่เข้าใจสิ่งที่ทุกคนพูด นางจึงยกมือขัดขึ้นมา “ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก ไป๋ไป่ ท่านสงสัยไม่ใช่หรือว่าตระกูลเฉินเกี่ยวข้องกับสำนักตระกูลถัง? เหตุใดเรื่องนี้ถึงลามไปยังหนานซวนแล้ว?”
“แล้วตระกูลเฉินมีความเกี่ยวข้องกับสำนักตระกูลถังหรือหนานซวนหรือไม่?”
เซียวถังถังกล่าวจบแล้วก็ยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองด้วยความรู้สึกปวดหัว
ทันใดนั้นบรรยากาศเคร่งเครียดภายในห้องโถงก็ถูกทำลายลง เซียวถังอี้มองน้องสาวผู้โง่เขลาของเขาอย่างเอือมระอา พลางคิดกับตัวเองว่าถ้าเขาตีน้องสาวตัวเองต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้มันจะไม่เหมาะสมหรือไม่
“ก็ไม่แน่” มู่ไป๋ไป่ยิ้มตอบคำถามของศิษย์น้องอย่างจริงจังและอธิบายความเชื่อมโยงให้อีกฝ่ายฟัง “มันเป็นความจริงที่ว่าตระกูลเฉินถูกวางยาพิษ และจุดประสงค์ที่พวกเขาถูกวางยาพิษอาจเป็นการปกปิดซึ่งเป็นกับดักที่สำนักตระกูลถังวางไว้ก่อนหน้านี้”
“ดังนั้นเรื่องคราวนี้ สำนักตระกูลถังและหนานซวนน่าจะมีส่วนร่วมมือกัน”
เซียวถังถังทำหน้าเข้าใจทันทีหลังจากได้ยินศิษย์พี่ใหญ่กล่าว จากนั้นนางก็ยิ้มกว้างกอดแขนอีกคนแน่น “ไป๋ไป่ดีกับข้าที่สุด ท่านยินดีที่จะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้กับข้าทุกอย่าง ไม่เหมือนใครบางคน…”
“ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าข้าจะถามอะไรเขา เขาก็จะตีข้าและบอกว่าข้าโง่”
ฮึ! นางคุ้นเคยกับท่าทางของเซียวถังอี้เมื่อครู่มาก
ตั้งแต่เด็กนางถูกพี่ชายคนนี้ตีมากี่ครั้งแล้ว?
แม้ว่านางจะไม่ได้พบพี่ชายของตัวเองมานานกว่า 10 ปี แต่นางก็ยังคงเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
ทางด้านเซียวถังอี้ที่ถูกน้องสาวมองจนทะลุปรุโปร่งได้แต่นิ่งเงียบ “...”
จังหวะนั้นอวี้เซิ่งกับเจี่ยอีกลับมาพร้อมกับไหสุราในมือ แต่พอเห็นว่าบรรยากาศในห้องโถงดูหนักอึ้ง เขาก็ถามด้วยความงุนงงว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเจ้าถึงดูไม่รื่นรมย์กันนัก?”
“เซียวถังอี้ ท่านตีน้องสาวของท่านอีกแล้วหรือ?”
“อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ สมองของเซียวถังถังอาจจะได้รับการกระทบกระเทือนเพราะว่าท่านตีนางอยู่บ่อย ๆ การจะสั่งสอนเด็กจะต้องค่อย ๆ สอน ไม่ใช่เอาแต่ใช้กำลัง— โอ๊ย! เซียวถังอี้ นี่ท่านเอาเข็มมาแทงข้าหรือ!”
ชายหนุ่มขยับเข็มเงินอีกเล่มให้มาอยู่ระหว่างปลายนิ้วแล้วยกขึ้นมาขู่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าท่านยังเอาแต่พูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะแทงท่านอีกครั้ง”
อวี้เซิ่งยกมือขึ้นลูบแขนที่ถูกเข็มแทง แล้ววิ่งหลบไปบ่นกับภรรยาและลูกสาวของเขาด้วยท่าทางน่าสงสาร
เจียงเหยาที่เห็นดังนั้นก็ได้ออกหน้าแทนสามีด้วยการชักกระบี่ของนางออกมาท้าประลองกับเซียวถังอี้
ทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องโถงที่เคยตึงเครียดก็กลับมาเป็นปกติราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ในขณะเดียวกัน มู่ไป๋ไป่มองดูฝูงชนที่คึกคักด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
เมื่อ 12 ปีก่อนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคนของหนานซวนนับว่าไม่ค่อยราบรื่นนัก และครั้งนี้สำนักตระกูลถังเลือกหุบเขาหมอเทวดาเป็นแพะรับบาป นี่จะเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรือ?
หรือพวกเขามุ่งเป้ามาที่เธอโดยตรง?
ในเวลาเดียวกัน ที่ลานบ้านตระกูลเฉิน
ยามนี้ถังเป่ยเฉินนั่งดื่มสุราและสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์อยู่ในสวน โดยที่ทุกคนในตระกูลเฉินต่างก็ดำเนินกิจวัตรประจำวันไปตามปกติประหนึ่งว่าไม่มีใครเห็นเขา
ซึ่งการกระทำนั้นมันแปลกมาก
“ท่านใช้ยาที่ข้าให้ไปจนหมดแล้วหรือ?” ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีดำปรากฏตัวขึ้นเงียบ ๆ ด้านหลังอีกฝ่าย
ชายคนนั้นสวมหน้ากากไม้บดบังใบหน้าเอาไว้ หากมู่ไป๋ไป่อยู่ที่นี่ เธอคงจะจำหน้ากากนั้นได้ในทันที มันเป็นหน้ากากแบบเดียวกับกลุ่มคนที่วางเพลิงจวนตระกูลจินและลักพาตัวเธอกับหลัวเซียวเซียวไป
“ตอนนี้ยาอยู่ในมือของข้า มันย่อมเป็นของข้า ข้าไม่จำเป็นจะต้องรายงานว่าข้าใช้มันอย่างไร” ถังเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นดื่มสุราโดยไม่สนใจอีกฝ่าย
ชายชุดดำกัดฟันแน่นเมื่อเห็นท่าทางของเจ้าสำนักตระกูลถัง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่ายาเหล่านั้นมีค่ามากแค่ไหน?”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 221
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น