บทที่ 437: มันบ่งบอกว่าท่านไร้ความสามารถ

-A A +A

บทที่ 437: มันบ่งบอกว่าท่านไร้ความสามารถ

“แล้วอย่างไร?” ถังเป่ยเฉินหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ในขณะที่ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชา “ข้าขอพูดอีกครั้ง เพราะท่านให้ยาพวกนั้นมาแล้ว ข้าจึงจะใช้มันอย่างไรก็ได้ ท่านไม่มีสิทธิ์มาบงการให้ข้าทำตามคำสั่ง อย่าแม้แต่คิดที่จะปีนข้ามหัวข้า”

ชายชุดดำจ้องคนตรงหน้าเขม็ง เขาอยากจะระบายอารมณ์ใส่อีกฝ่าย แต่เมื่อพิจารณาถึงความร่วมมือระหว่างทั้ง 2 เขาจึงกัดฟันกล้ำกลืนความโกรธลงไป และพูดเสียงลอดไรฟันว่า “เป็นข้าที่จริงจังกันไป”

“แต่ท่านเจ้าสำนักถัง ท่านควรทราบเอาไว้ว่าการปรุงยาพวกนั้นขึ้นมาไม่ได้ง่ายเลยสำหรับเรา เหตุผลที่ข้ามอบยาพวกนั้นให้ท่านก็เพราะข้าหวังว่าท่านจะใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด แทนที่จะนำมาใช้เรื่อยเปื่อยเช่นนี้”

“พวกมู่ไป๋ไป่จัดการกับยาชนิดนี้ได้เมื่อ 12 ปีก่อน ตอนนี้ท่านรีบเปลี่ยนทุกคนในจวนนี้ให้กลายเป็นหุ่นเชิดไปเสีย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกนางพบเข้าแล้วเริ่มระวังตัว? ข้าไม่อยากให้การกระทำที่สุ่มเสี่ยงของท่านมาทำลายแผนการที่เราเตรียมเอาไว้มานานกว่า 12 ปี!”

ถังเป่ยเฉินวางจอกสุราลงแล้วหันไปสบตากับชายสวมหน้ากากไม้อย่างใจเย็น ก่อนจะเอ่ยปากว่า “หากแผนที่เตรียมไว้เป็นเวลา 12 ปีถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย มันบ่งบอกว่าท่านไร้ความสามารถ”

“ถังเป่ยเฉิน อย่าได้มากเกินไป!” ฝ่ายที่ถูกพูดจาดูถูกไม่อาจระงับความโกรธได้อีกต่อไป เขาจึงทุบโต๊ะเป็นการระบายอารมณ์

“ฉู่เสวียน…” เจ้าสำนักตระกูลถังกางพัดของตัวเองออกแล้วสั่งเสียงเรียบ “ส่งแขก”

ชายหนุ่มที่ยืนรออยู่ตรงมุมหนึ่งขยับตัวเล็กน้อย เขาก้าวออกมาช้า ๆ พลางจ้องหน้าชายสวมหน้ากากไม้แล้วเปิดปากพูดเสียงแหบแห้งว่า “เชิญ!”

ชายสวมหน้ากากไม้หันไปมองถังเป่ยเฉินสลับกับฉู่เสวียน พร้อมกับหายใจแรงด้วยความโมโห “ถังเป่ยเฉิน ท่านคิดจะทำลายสัญญาระหว่างเราหรือ?”

“อย่าลืมนะว่าถ้าไม่มีเราคอยช่วยท่าน ท่านคงไม่สามารถได้นั่งตำแหน่งเจ้าสำนักตระกูลถังเช่นนี้”

“เชื่อหรือไม่ว่าหลังจากที่ข้ากลับไป ข้าจะเปิดโปงเรื่องที่ท่านฆ่าพ่อของตัวเองให้ทุกคนได้รับรู้ ทุกคนในยุทธภพจะได้เห็น—”

แล้วเสียงของเขาก็หยุดลงกะทันหัน พัดที่ถูกกางออกเฉือนคอของชายสวมหน้ากากไม้โดยที่ไม่หลงเหลือแม้กระทั่งรอยแผล

“ท่านพูดมากจริงเชียว” ถังเป่ยเฉินขมวดคิ้ว “ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะกลัวคนพวกนั้น?”

ขณะเดียวกัน ฉู่เสวียนซึ่งสวมชุดสีดำจ้องมองร่างไร้ชีวิตบนพื้น แล้วประกายแสงสีแดงเข้มในดวงตาก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับว่ากำลังสับสนหรือกำลังดิ้นรนขัดขืนอะไรบางอย่าง

“อีกฝ่ายจะคิดอย่างไรถ้าท่านฆ่าเขาไปเช่นนี้?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ในขณะที่น้ำเสียงที่เขาใช้พูดฟังดูนุ่มนวลกว่าก่อนหน้านี้มาก

“ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร ข้าไม่สน” ถังเป่ยเฉินเดินไปหาผู้ชายคนนั้นก่อนจะก้มลงเปิดหน้ากากไม้บนใบหน้า แล้วเปิดคอเสื้อของอีกฝ่ายออกทันที

มันเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ เขาเห็นรอยสักที่เป็นเอกลักษณ์อยู่บนนั้น “ข้าได้ในสิ่งที่ข้าต้องการแล้ว ข้าไม่สนใจเรื่องหลังจากนี้อีก”

ก่อนหน้านี้เขาให้ความร่วมมือกับกลุ่มคนของแคว้นหนานซวนเพื่อแย่งชิงสำนักตระกูลถังจากมือของตาแก่นั่น

ปัจจุบันสำนักตระกูลถังตกเป็นของเขาแล้ว และคนในยุทธภพต่างก็ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวเขา

เหตุใดเขาจะต้องร่วมมือกับคนของแคว้นหนานซวนอีก?

ขณะนั้นฉู่เสวียนขมวดคิ้ว เขารู้สึกเลือนรางว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่นานความคิดของเขาก็ถูกครอบงำด้วยอารมณ์อาฆาตที่รุนแรง ก่อนที่เขาจะถามขึ้นมาว่า “หลัวเซียวเซียวอยู่ที่ไหนขอรับ?”

“ท่านบอกว่าท่านมีแผนการที่ดีกว่านี้ ข้าคิดว่าท่านจะใช้คนของหนานซวน แต่ตอนนี้ท่านฆ่าคนของหนานซวนไปแล้ว แล้วหลัวเซียวเซียวล่ะ?”

“นายท่าน เมื่อวานท่านเป็นคนปล่อยพวกนางไป ถ้าตอนนั้นท่านไม่ยอมปล่อยพวกนาง ข้าคงฆ่าหลัวเซียวเซียวเพื่อล้างแค้นสำเร็จแล้ว!”

เมื่อใดก็ตามที่ชายหนุ่มคิดถึงผู้หญิงคนนั้น เลือดในกายก็จะเดือดพล่านจนไม่อาจสงบสติอารมณ์ลงได้

ครั้งหนึ่งเขาเคยรักนางมาก เขายอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้นาง เขาถึงขั้นละทิ้งตำแหน่งผู้นำเหล่าจอมยุทธ์และหันหลังให้เส้นทางที่เต็มไปด้วยการนองเลือดเพื่อที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับนางอย่างสงบสุข 

แต่แล้วผลลัพธ์ล่ะเป็นอย่างไร?

สุดท้ายนางก็ทรยศเขา!

เขาจะไม่มีวันอภัยให้หญิงสาวเด็ดขาด จุดจบของนางมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือการถูกเขาปลิดชีวิตด้วยมือตัวเอง

ถังเป่ยเฉินจ้องมองดวงตาสีแดงก่ำของฉู่เสวียน พลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ก่อนจะลอบถอนหายใจ

แมลงพิษที่หนานซวนคิดค้นขึ้นมานั้นมีประโยชน์จริง ๆ

จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาที่ฆ่าชายสวมหน้ากากไม้ไปเมื่อครู่ 

เขาควรจะใช้โอกาสนี้เอายามาไว้ในมือให้มากกว่านี้

“ไม่ต้องกังวล ฉู่เสวียน ข้าไม่มีวันผิดสัญญากับเจ้าแน่นอน” ถังเป่ยเฉินยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ “ข้าไม่เหมือนหลัวเซียวเซียว คนเนรคุณผู้นั้น เรารู้จักกันมานานหลายปีแล้ว ข้าเคยโกหกเจ้าหรือ?”

“เจ้าอย่าลืมสิว่าข้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ และให้เจ้าได้อยู่สุขสบายในสำนักตระกูลถัง”

ในขณะเดียวกัน ภาพเลือนรางบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในใจของฉู่เสวียน ซึ่งมันเป็นภาพเดียวกับที่เจ้าสำนักตระกูลถังพูด

นั่นทำให้สีแดงเข้มในดวงตาของชายหนุ่มจางลง ก่อนที่เขาจะพยักหน้าตอบช้า ๆ “ขอรับ ท่านคือคนที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”

ถังเป่ยเฉินรู้สึกพอใจมากกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายจึงพยักหน้ารับอย่างมีความสุข “โชคดีที่เจ้าจำได้ เจ้านั่งสิ มาดื่มกับข้าหน่อย”

“พวกมู่ไป๋ไป่น่าจะเดินทางกลับเมืองหลวงในเร็ว ๆ นี้”

“เมืองหลวง… หึ ข้าอยากจะรู้ว่าตอนนี้เมืองหลวงเป็นอย่างไรบ้าง?”

ทางด้านมู่ไป๋ไป่และคนอื่น ๆ ยังคงวุ่นวายกันอยู่เกือบตลอดทั้งคืน ก่อนที่พวกเธอจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนตอนเวลาใกล้รุ่งสาง

อวี้เซิ่งกับเจียงเหยาไม่รอช้า ทั้งคู่ออกเดินทางไปโดยไม่กล่าวอำลาในขณะที่ทุกคนกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตนเอง

ก่อนจะจากไป หมอสาวได้ฝากจดหมายไว้ให้มู่ไป๋ไป่

ในจดหมายบอกว่าพวกนางเปลี่ยนใจแล้ว พวกนางอยากเดินทางไปที่เผ่าของอาเค่อทางตะวันตกของเป่ยหลงโดยดูว่ามีหนทางที่จะกำจัดแมลงกู่นั้นได้หรือไม่ เพื่อเตรียมเอาไว้เป็นแผนสำรองฉุกเฉิน

หลังจากที่หญิงสาวตื่นขึ้นมา เธอก็ได้อ่านจดหมายที่ผู้เป็นอาจารย์ทิ้งไว้ให้เงียบ ๆ ก่อนจะตัดสินใจออกเดินทางกลับเมืองหลวงในวันนั้นเลย

 3 คืนต่อมา ขบวนรถม้าได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองหลวงเงียบ ๆ โดยที่มุ่งตรงไปยังประตูของวังหลวง

“ไป๋ไป่ วันนี้ท่านจะเข้าวังหลวงเลยหรือไม่?” เซียวถังถังยังไม่อยากแยกจากกับศิษย์พี่ใหญ่ นางจึงคว้าแขนของอีกฝ่ายมากอดไว้แน่น “ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ทำไมคืนนี้ท่านไม่กลับไปนอนที่ตำหนักอ๋องเซียวกับข้าและท่านพี่ก่อนล่ะ?”

“พรุ่งนี้เช้าเราค่อยเข้าไปรายงานตัวกับฝ่าบาทพร้อมกัน”

มู่ไป๋ไป่รู้สึกขบขันกับท่าทางออดอ้อนของอีกฝ่ายและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จังหวะนั้นเธอเห็นมือใหญ่ยื่นออกมาคว้าคอเสื้อของศิษย์น้องแล้วลากออกไป

“เหลวไหล” เซียวถังอี้ตีหัวน้องสาวจอมป่วน ในขณะที่หน้ากากสีเงินเปล่งประกายเย็นชาภายใต้แสงจันทร์ “ฝ่าบาทยังคงรอไป๋ไป่อยู่ในวัง นางไม่ควรปล่อยให้พระองค์ต้องรอนาน”

เซียวถังถังเม้มปากก่อนจะพึมพำเบา ๆ ว่า “พวกเขารอมานานขนาดนี้แล้ว รออีกสักคืนหนึ่งจะเป็นอะไรไป?”

“อย่างน้อยก็ให้ไป๋ไป่ได้พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนที่จะเข้าวัง”

เซียวถังอี้ขี้เกียจมานั่งทะเลาะกับน้องสาวตัวเอง ดังนั้นเขาจึงส่งสัญญาณให้ชิงหานมาพาตัวนางกับอวี้หวานหว่านกลับไปที่ตำหนักจะได้เลิกทำตัววุ่นวายอยู่ที่นี่

องครักษ์หนุ่มเข้าใจสัญญาณนั้นและได้เข้ามาเชิญเซียวถังถังด้วยรอยยิ้ม จากนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่ เขาก็อุ้มนางขึ้นบ่าเดินออกไปเหมือนที่นายท่านเคยทำ

“ชิงหาน ข้าโตแล้วนะ ท่านยังจะแบกข้าแบบนี้อีก ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”

“ไป๋ไป่! ไม่นะ ดูสิ พวกเขากำลังรังแกข้า!”

เสียงร้องตะโกนโวยวายของเซียวถังถังดังไกลออกไปเรื่อย ๆ ส่วนอวี้หวานหว่านก็ได้แต่หดคอมองภาพนั้น ก่อนจะหันไปส่งสายตาละห้อยมองศิษย์พี่ใหญ่

มู่ไป๋ไป่เองก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอจึงเอนตัวเป็นลูบหัวของเด็กหญิงเบา ๆ “เจ้าตามศิษย์พี่เจ้าไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรที่นั่นก็เป็นบ้านของนาง เจ้าอยู่ที่นั่นชั่วคราวไปก่อน เอาไว้ศิษย์พี่จะออกจากวังมาหาเจ้าพรุ่งนี้”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.