บทที่ 435: มันสามารถสัมผัสได้ถึงแมลงกู่
เดิมทีมู่ไป๋ไป่อยากจะงีบหลับสักงีบ แต่เธอที่ถือจี้หยกอยู่ในมือข่มตาหลับไม่ได้สักที เธอรู้สึกเหมือนมีขนนกคอยจั๊กจี้หัวใจเธออยู่ตลอดเวลาจนทำให้เธอนั่งไม่ติด
จนกระทั่งเซียวถังถังกลับมาพร้อมกับเสี่ยวเอ้อร์ที่ถืออาหารเช้าตามมา เธอจึงวางเรื่องจี้หยกไว้ชั่วคราว
ศิษย์น้องคนนี้เป็นคนที่ความจำสั้นมาก เพียงช่วงเวลาไม่นานนางก็ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้าและเริ่มวางแผนกับมู่ไป๋ไป่ว่าจะทำอะไรหลังจากกลับไปถึงเมืองหลวง
“เราไปที่กรงเสือกันเถอะ!” เซียวถังถังถือถ้วยข้าวพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย “ข้าจำได้ว่าเสือที่เสด็จพ่อของท่านเคยเลี้ยงเอาไว้ก่อนหน้านี้คลอดลูกออกมา ตั้งแต่เกิดข้ายังไม่เคยเห็นลูกเสือเลย!”
“นอกจากนี้ วันฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาก็จัดขึ้นก่อนถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ไม่นาน เมื่อก่อนที่เมืองหลวงจะประดับโคมไฟถึงกลางปี ข้าอยากจะรู้ว่าปีนี้ยังมีเทศกาลนี้อยู่หรือไม่ ไป๋ไป่ ถ้าเรามีเวลาว่าง เราไปเที่ยวงานเทศกาลกันเถอะ คงจะสนุกน่าดู”
หญิงสาวไม่ได้กลับเมืองหลวงมานานแล้ว นางรู้สึกคิดถึงวันคืนเก่า ๆ ของตัวเองจนแทบจะหยุดพูดถึงมันไม่ได้
แล้วความสนใจของมู่ไป๋ไป่ก็ค่อย ๆ ถูกเบี่ยงเบนไปเพราะศิษย์น้อง เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อเจ้าชอบเมืองหลวงมากขนาดนั้น ทำไมตอนนั้นเจ้าถึงยังคิดที่จะติดตามข้าไปร่ำเรียนที่หุบเขาหมอเทวดา อยู่เมืองหลวงก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
ในตอนนั้นเซียวถังถังดูมุ่งมั่นที่จะติดตามเธอไปที่หุบเขาหมอเทวดามาก
เธอยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงได้ดื้อรั้นยิ่งนัก
สถานการณ์ของเซียวถังถังแตกต่างไปจากเธอมาก นางเป็นน้องสาวของอ๋องต่างแซ่ นางมีตำแหน่งเป็นถึงท่านหญิง แต่นางไม่จำเป็นจะต้องแบกรับเรื่องในราชสำนัก
นางสามารถใช้ชีวิตเป็นท่านหญิงที่มีอิสระและใช้ชีวิตเรียบง่ายตามที่ต้องการได้อย่างแท้จริง
แต่เซียวถังถังเลือกที่จะยอมสละชีวิตที่ไร้กังวลของตัวเองเพื่อติดตามเธอไปร่ำเรียนที่หุบเขาหมอเทวดาโดยที่ไม่สนใจอะไรอย่างอื่นอีกเลย…
“ก็จริงอยู่ แต่ว่ามันไม่เหมือนกันสักหน่อย” คนเป็นศิษย์น้องกัดปลายตะเกียบ ขมวดคิ้ว และทำหน้าวิตกกังวลอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าจะพูดอย่างไรดี…”
“อาหารในเมืองหลวงอร่อยมาก ทุกอย่างดูอุดมสมบูรณ์ มีปลาตัวใหญ่ มีเนื้อชิ้นโต ๆ แม้ว่ามันจะรสชาติดีมาก แต่ถ้าให้กินทุกวันก็ไม่ไหว แล้วถ้าข้ากินเข้าไปเยอะ ๆ ข้าก็จะกลายร่างเป็นเหมือนเจ้าหมูตอนที่อาศัยอยู่ในเมืองใกล้ ๆ หุบเขาหมอเทวดาที่แค่เดินก็เหนื่อยจนแทบจะเป็นลม”
“ส่วนตัวข้าเองรู้สึกว่าการได้ติดตามท่านไปคือความสุขที่สุดแล้ว ฮ่า ๆๆ”
“ดูสิ การที่เราออกจากหุบเขาหมอเทวดาครั้งนี้เราเจออะไรตั้งมากมาย มีแต่เรื่องน่าตื่นเต้นทั้งนั้น! ถ้าข้ายังอยู่ในเมืองหลวง ข้าคงไม่รู้ว่ามีสิ่งมหัศจรรย์มากมายอยู่บนโลกใบนี้”
มู่ไป๋ไป่ส่ายหัวด้วยความขบขัน “นี่เจ้ากำลังจะบอกเป็นนัย ๆ ว่าข้าเป็นตัวปัญหาใช่หรือไม่?”
“ไม่มีทาง!” เซียวถังถังปฏิเสธทันควัน นางวางถ้วยและตะเกียบลง ในขณะที่สบตากับศิษย์พี่จริงจัง “ไป๋ไป่ ข้าแค่อยากจะขอบคุณท่านที่ทำให้ข้าได้รู้ว่าบนโลกนี้ยังมีวิธีการใช้ชีวิตแบบอื่นอยู่อีก”
“เพราะฉะนั้น หลังจากที่กลับไปถึงเมืองหลวงคราวนี้ ข้าไม่มีทางปล่อยให้ท่านหนีข้าไปไหนแน่ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปข้าจะคอยติดตามท่านไปทุกที่ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนก็ตาม!”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกอุ่นวาบในใจทันที ในตอนที่เรียนวิชาแพทย์นั้นเธอยอมรับว่าบางครั้งมันน่าเบื่อหน่ายมาก ความจริงเธอรู้สึกขอบคุณมากที่มีเซียวถังถังอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ถ้าไม่มีผู้หญิงคนนี้ เธออาจไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในหุบเขาหมอเทวดาได้จนถึงทุกวันนี้
“ตกลง” มู่ไป๋ไป่ยิ้มสดใส “จากนี้ไม่ว่าข้าจะไปที่ไหน ข้าก็จะไม่ลืมพาเจ้าไปด้วย”
เซียวถังถังส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี แล้วทั้งคู่ก็พากันหัวเราะร่าอยู่ในห้อง
ไม่นานข่าวที่ว่าเจียงเหยากับอวี้เซิ่งจะแยกตัวออกจากกลุ่มก็ได้แพร่กระจายจนทราบกันทั่วทุกคน หลังจากหารือกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะจัดงานเลี้ยงอำลาก่อนที่ทั้ง 2 จะแยกตัวไป
ซึ่งหมอสาวไม่ได้คัดค้าน เพียงแต่นางเอ่ยปากขอให้สามีดื่มให้น้อยหน่อย
เมื่ออวี้เซิ่งได้รู้ว่าเขาสามารถดื่มสุราได้อย่างเปิดเผย เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก เขาจึงรีบดึงตัวเจี่ยอีมาแล้วตะโกนว่าเขาอยากจะไปตลาดเพื่อหาซื้อสุราที่ดีที่สุด
ทางด้านจื่อเฟิงกับอาเค่อก็กลับมาถึงโรงเตี๊ยมในตอนเย็น แต่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเขา เพราะทั้งเสื้อผ้าและใบหน้าของทั้งคู่เปื้อนรอยดำทั้งหมดเหมือนกับว่าพวกเขาเพิ่งถูกขุดออกมาจากกองถ่าน
เรื่องนี้ทำให้ทุกคนต่างหัวเราะ
“จื่อเฟิง คุณหนูของท่านสั่งให้ท่านไปทำอะไรมา?” เซียวถังถังมองไปรอบตัวชายหนุ่มทั้ง 2 แล้วได้แต่หัวเราะตัวงอ “หรือว่านางสั่งให้ท่านไปขุดถ่าน?”
“ไม่ใช่” จื่อเฟิงมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางสับสน แล้วตอบเสียงจริงจังว่า “คุณหนูสั่งให้ข้าไปที่จวนตระกูลเฉิน”
“ท่านรีบเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนเถอะ” มู่ไป๋ไป่กลั้นยิ้มขณะยื่นผ้าขนหนูให้จื่อเฟิงกับอาเค่อ “พวกท่าน 2 คนอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไรกัน แล้วพวกท่านตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ” จื่อเฟิงไม่ปฏิเสธแล้วรับผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า 2-3 ครั้ง ก่อนจะพูดถึงเรื่องที่เจอมาในวันนี้ “คุณหนู จวนตระกูลเฉินแปลกมาก”
มู่ไป๋ไป่เลิกคิ้วขึ้นจนแทบจะมองไม่เห็น “หืม ทำไมท่านถึงบอกว่าแปลก?”
ตั้งแต่ที่เธอส่งจื่อเฟิงกับอาเค่อไป เธอคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าสถานการณ์ในจวนตระกูลเฉินไม่ได้ตื้นเขินอย่างที่เห็น ดังนั้นเธอจึงไม่แปลกใจกับคำตอบของชายหนุ่ม
“ข้าเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร…” จื่อเฟิงพูดพลางเกาหัวเบา ๆ “ตอนที่พวกเราไปช่วยคนก่อนหน้านี้ จวนตระกูลเฉินก็ไม่มีคนอยู่ไม่ใช่หรือ?”
“แต่ตอนที่อาเค่อกับข้าไปที่นั่น วันนี้มีคนอยู่ที่จวนตระกูลเฉิน และทุกคนก็ทำเหมือนกับว่าที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
พอชายหนุ่มนึกถึงภาพที่พวกเขาเห็นขณะซ่อนอยู่บนกำแพงจวน เขาก็รู้สึกมึนงง “มีเรื่องใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นในจวน แล้วพวกเขาจะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?”
“เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น?” มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเธอก็เข้าใจอะไรบางอย่าง “เช่นนั้นท่านกับอาเค่อก็เลยแอบเข้าไปอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่” คราวนี้เป็นอาเค่อตอบ และสีหน้าของเขาก็ดูจริงจังกว่าปกติ “พี่เจื่อเฟิงแนะนำว่าควรเข้าไปดูสักหน่อย แต่หลังจากเข้าไปด้านใน ข้าก็พบบางอย่าง”
“ทุกคนในจวนตระกูลเฉินถูกวางยาพิษ”
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ ทั่วทั้งห้องก็เงียบลง
เมื่อ 12 ปีก่อน หนานซวนต้องการทำลายเป่ยหลงจึงได้ฝังแมลงกู่เอาไว้ในตัวของแม่ทัพที่คอยรักษาชายแดน แม้แต่องค์รัชทายาทอย่างมู่จวินฝานก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
โชคดีที่มู่ไป๋ไป่อยู่ที่นั่น เธอจึงทำลายแผนการของหนานซวนไม่ให้พวกเขาทำสำเร็จ
หลังจากนั้นมู่เทียนฉงก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องแมลงกู่ในเป่ยหลงอย่างเคร่งครัด
จากนั้นแมลงกู่ก็ไม่ได้ปรากฏในอาณาเขตของเป่ยหลงมาเป็นเวลา 12 ปีแล้ว แต่ใครจะไปคาดคิดว่ามันจะกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง
“เจ้าแน่ใจหรือ?” มู่จวินเซิ่ง ยกมือขึ้นกุมบาดแผลแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเป็นแมลงชนิดใด?”
ชายหนุ่มได้เห็นแม่ทัพของเขาถูกแมลงกู่ควบคุมจนกลายเป็นเหมือนซากศพไร้สตินึกคิดกับตาตัวเอง หากถามถึงสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตก็คงจะเป็นแมลงกู่พวกนี้
“ข้ามั่นใจ” อาเค่อตอบก่อนจะปล่อยงูเผือกออกมาจากแขนเสื้อ “เสี่ยวหยินเติบโตมาด้วยการกินแมลงกู่ มันจึงสามารถสัมผัสถึงแมลงกู่ได้”
“พิษในร่างกายของคนในตระกูลเฉินไม่ได้คุกคามถึงชีวิต แต่มันทำให้พวกเขาไร้สติและทำตามคำสั่งของคนที่ควบคุมซ้ำ ๆ”
“มันคือกู่ระดับสูง”
“เจ้าสิ่งนี้เรียกว่ากู่ระดับสูงหรือ?” ดวงตาของเซียวถังถังเบิกกว้าง “แล้วกู่ระดับสูงนี้มีลักษณะอย่างไร?”
อาเค่อคิดอยู่สักครู่และตอบเสียงจริงจังว่า “กู่ระดับสูงสามารถควบคุมบุคคลหนึ่งได้โดยสมบูรณ์โดยที่คนผู้นั้นก็ไม่รู้ตัว แต่กู่ประเภทนี้ฝึกฝนได้ยากมาก”
“อย่างน้อยก็ไม่มีใครในเผ่าของเราที่สามารถทำเช่นนั้นได้…”
หลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนนั้นพูดอะไรออกไป เขาจึงรีบปิดปากด้วยสีหน้าเป็นกังวล
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครในห้องโถงที่แสดงปฏิกิริยาแปลกใจต่อคำพูดของเขา ราวกับว่าทุกคนรู้เรื่องนี้นานแล้ว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 216
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น