ตอนที่ 850 จงห้ามดูถูกศัตรู
ตอนที่ 850 จงห้ามดูถูกศัตรู
“เจ้านั่นคือแซมสันจริง ๆ พวกเราไปกันเถอะ เขาน่าจะสัมผัสถึงตัวตนของเราได้ตั้งนานแล้ว” โอโร่กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะะ
หลังจากมองสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างรอบคอบ เซี่ยเฟยก็เดินเข้าไปภายในบ้านของแซมสัน ส่วนทางด้านนักรบร่างผอมกับหนอนด้วงมิติก็ถูกนำไปใส่ไว้ในต้นไม้ใหญ่ ก่อนที่เขาจะนำต้นไม้นั้นเก็บลงไปในแหวนมิติอีกที
กล่องเก็บต้นไม้สามารถให้แสงและสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของต้นไม้ได้ เมื่อเขาทำการดัดแปลงมันเล็กน้อย มันก็ทำให้เขาสามารถเก็บสิ่งมีชีวิตเข้าไปในแหวนมิติได้ด้วยเช่นเดียวกัน
“เชิญเข้ามานั่งด้านในก่อนเลย” แซมสันกล่าวพร้อมกับยื่นมือออกไปอย่างเชิญชวน
บ้านของแซมสันเล็กมากจนเซี่ยเฟยจำเป็นจะต้องย่อตัวตลอดเวลา ภายในบ้านเต็มไปด้วยกองหนังสือและเฟอร์นิเจอร์ที่ทำขึ้นมาจากไม้ แต่ถึงยังไงมันก็ค่อนข้างจะดูเรียบง่ายหากจะบอกว่าบ้านหลังนี้คือบ้านของนักปราชญ์
“นายคือมนุษย์ แสดงว่าการเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างจะยากลำบากมากเลยใช่ไหม?” แซมสันกล่าวโดยไม่เผยท่าทางการเป็นศัตรู
“คุณเป็นนักปราชญ์ คุณก็น่าจะรู้ที่ไปที่มาของผมอยู่แล้วใช่ไหมครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อแซมสันถูกเซี่ยเฟยถามกลับ เขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ชายชราจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“นักปราชญ์ก็แค่สามารถใช้ความรู้ในการทำนายอนาคตได้เล็กน้อยเท่านั้น ถ้าหากว่าฉันรู้ทุกเรื่องในจักรวาล ฉันก็คงจะถูกยกย่องว่าเป็นพระเจ้าไปตั้งนานแล้ว”
“หลังจากที่ฉันได้มาอยู่ในซีเครดสปริงหลายปี ฉันก็ทำความคุ้นเคยกับต้นไม้ทุกต้นในบริเวณนี้จนหมด ต้นไม้แต่ละต้นต่างก็ล้วนแล้วแต่มีชีวิตมีจิตวิญญาณ ไม่ว่าทักษะของนายจะดีแค่ไหนแต่นายก็ไม่สามารถหลบหนีไปจากสายตาของธรรมชาติได้ ส่วนฉันก็เป็นคนจากเผ่าภูตป่า ฉันเลยสามารถสัมผัสถึงตัวตนของนายได้ผ่านทางคำบอกเล่าจากธรรมชาติเท่านั้นเอง” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
โอโร่เล่าให้เขาฟังแล้วว่าแซมสันถือกำเนิดขึ้นมาในเผ่าภูตป่า ซึ่งเป็นคนกลุ่มเล็กมากในดินแดนกฎ คนจากเผ่านี้มีอายุยืนยาวแต่ก็เติบโตอย่างเชื่องช้าด้วยเช่นกัน ว่ากันว่ากว่าเผ่าภูตป่าจะเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ มันก็จะจำเป็นจะต้องใช้เวลาหลายร้อยปีและอายุขัยของพวกเขาก็มีความยาวนานนับหมื่นปี
หากไม่รวมปัจจัยด้านอายุขัยที่ได้มาจากการฝึกฝน เผ่าภูตป่าก็ถือได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยาวนานที่สุดในจักรวาล จนเกือบจะเรียกได้ว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่เป็นอมตะ
นอกจากอายุขัยอันยาวนานแล้วคนจากเผ่าภูตป่ายังสามารถสื่อสารกับธรรมชาติเพื่อทำนายอนาคตล่วงหน้าได้ เพียงแต่ไม่มีใครสามารถทำความเข้าใจได้ว่าสมาชิกของเผ่านี้สื่อสารกับธรรมชาติได้ยังไง และยิ่งสมาชิกของเผ่าภูตป่ามีระดับสูงมากขึ้นเท่าไหร่ พวกเขาจะยิ่งมีความสามารถในการทำนายอนาคตได้ยาวนานมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเผ่าภูตป่าคือพวกเขาไม่สามารถฝึกฝนพลังกฎได้ ดังนั้นถึงแม้พวกเขาจะอยู่ในดินแดนกฎ แต่พวกเขาก็ไม่มีความเชี่ยวชาญในการใช้พลังกฎใด ๆ เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเผ่าพันธุ์ที่มีความพิเศษมากเลยทีเดียว
“กลยุทธ์ของคุณช่างชาญฉลาดดีจริง ๆ คุณน่าจะรู้อยู่แล้วว่าคุณไม่สามารถหยุดผมได้ คุณจึงพยายามชวนผมเข้ามาพูดคุยภายในบ้าน ระหว่างนั้นคุณก็แอบเรียกกำลังเสริมมาด้วย ถ้าหากผมเดาไม่ผิดกำลังเสริมก็อาจจะมาถึงในเวลาอีกเพียงแค่ไม่กี่นาทีสินะครับ”
“ว่าแต่ตอนนี้คุณพอจะทำนายอนาคตได้ไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
ท่าทางของเซี่ยเฟยถึงกับทำให้แซมสันสะดุ้งขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าของเขาที่เคยเป็นสีแดงดอกกุหลาบเปลี่ยนเป็นสีซีดอย่างฉับพลัน
สิ่งที่ชายหนุ่มพูดมาไม่ต่างไปจากความจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาพยายามถ่วงเวลาเซี่ยเฟยเอาไว้และกำลังเสริมก็อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่นาที
แม้ว่าเขาจะสามารถสื่อสารกับธรรมชาติได้ แต่การสื่อสารนี้มันก็มีข้อจำกัด กว่าที่เขาจะสังเกตเห็นร่องรอยของเซี่ยเฟยมันก็สายเกินไปแล้วที่เขาจะหลบหนี เขาจึงจงใจแสร้งทำเป็นไม่สนใจและหลอกล่อให้ชายหนุ่มเข้ามาภายในบ้าน ระหว่างนั้นเขาก็แอบส่งสัญญาณออกไปเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ
นักปราชญ์คนนี้ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ชาญฉลาดและมีกลยุทธ์ที่ดี น่าเสียดายที่เซี่ยเฟยเป็นคนที่ระมัดระวังอยู่เสมอ ทุกทางแยกที่เขาผ่านมาเขาจะทิ้งร่องรอยพลังของตัวเองเอาไว้ เพื่อที่เขาจะสามารถกลับไปยังทางเดิมได้ และสามารถใช้ร่องรอยพลังเหล่านั้นในการสำรวจหาตำแหน่งของศัตรูได้อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้เมื่อมีกองกำลังเคลื่อนที่ผ่านร่องรอยพลังที่เขาทิ้งเอาไว้ มันจึงทำให้เขารู้ตัวในทันทีว่าคำเชิญนี้คือกับดัก
“เป็นไปไม่ได้! ทำไมฉันถึงทำนายอะไรนายไม่ได้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันไม่สามารถทำนายอนาคตของใครได้อย่างชัดเจน ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้?” แซมสันกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
ฟุบ!
เซี่ยเฟยพุ่งตัวเข้าไปยกร่างของแซมสันขึ้นมาในอากาศด้วยมือเดียว จากนั้นเขาก็หยิบชุดเกราะเก่า ๆ ออกมาสวมให้กับชายชราคนนี้เพื่อป้องกันไม่ให้แซมสันได้รับบาดเจ็บมากเกินไป
ต่อมาชายหนุ่มก็เริ่มออกวิ่งด้วยความเร็วมากกว่า 400,000 เมตรต่อวินาที ทำให้เขาทิ้งห่างออกมาฉากตำแหน่งเดิมหลายพันกิโลเมตรได้ในพริบตา
ตุบ!
เซี่ยเฟยโยนร่างแซมสันลงกับพื้นพร้อมกับหยิบบลัดบิวเทียสขึ้นมาบาดหูของชายชราด้วยบาดแผลเล็กน้อย แต่ถึงแม้บาดแผลนี้จะเป็นบาดแผลเหมือนการสะกิด แต่ชายชรากับรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าร่างของเขากำลังจะแตกสลาย
แซมสันกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และเมื่อเขาสัมผัสได้ว่าพลังงานภายในร่างของเขากำลังหายไปอย่างรวดเร็ว มันก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
“ทุกสิ่งมีราคาและนี่ก็คือราคาที่คุณต้องจ่ายข้อหาหลอกลวงฉัน จงบอกทุกอย่างเกี่ยวกับประตูจักรวาลและอาร์คมา ไม่อย่างนั้นคุณก็อย่าหาว่าฉันไร้ปรานี!” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเย็นชา
“อาร์ค?” แซมสันเบิกตากว้างพร้อมกับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ในชั่ววินาทีที่เขากำลังลังเลอยู่นั้น เซี่ยเฟยก็ตัดนิ้วก้อยข้างขวาของเขาออกไปจนขาดด้วน
เซี่ยเฟยรู้ดีว่าสติปัญญาของชายชราคนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถประมาทได้ วิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการกับศัตรูที่ชาญฉลาดคือการกดดันศัตรูอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ศัตรูมีเวลาได้คิดวางแผนตอบโต้เขากลับคืนมา
จงอย่าปล่อยโอกาสให้คนฉลาดได้มีเวลาคิด เพราะมันจะหมายความว่าแซมสันมีเวลาคิดคำโกหกที่ดูสมเหตุสมผล แน่นอนว่าในเวลานั้นเขาย่อมไม่สามารถจับคำโกหกของอีกฝ่ายได้
แซมสันทิ้งตัวลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด และการทรมานอันดุดันของเซี่ยเฟยก็กำลังสร้างแรงกดดันอันรุนแรงต่อชายชรา
ระหว่างนั้นโอโร่ต้องการที่จะห้ามปรามไม่ให้เซี่ยเฟยลงมือรุนแรงมากเกินไป แต่หลังจากที่เขาคิดอย่างรอบคอบแล้วเขาก็เลือกที่จะไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะถึงแม้วิธีการของเซี่ยเฟยจะค่อนข้างโหดร้าย แต่มันคือวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการจัดการกับศัตรูที่ชาญฉลาดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“อาร์คคือจุดเริ่มต้นของชีวิต ว่ากันว่าตั้งแต่สมัยโบราณอาร์คคือสิ่งที่ผ่านประตูจักรวาลเข้ามาและมอบชีวิตให้กับจักรวาลแห่งนี้” แซมสันเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
‘อาร์คเกี่ยวกับต้นกำเนิดของชีวิตงั้นเหรอ?’ เซี่ยเฟยคิดในใจอย่างสงสัย เพราะเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
ถ้าหากว่าอาร์คนำชีวิตมาให้จักรวาลนี้จริง ๆ มันก็หมายความว่าต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตเดินทางมาจากนอกประตูจักรวาล!?
“ตอนนี้อาร์คยังอยู่หรือเปล่า? แล้วมันจอดอยู่ที่ไหน?” เซี่ยเฟยถาม แต่ก่อนที่แซมสันจะตอบอะไรมันกลับมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ภาพที่ปรากฏคือเงาดำ 2 ร่างปรากฏขึ้นมาบริเวณด้านหน้าด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ โดยผู้มาใหม่คือชายร่างใหญ่และชายชราผู้มีใบหน้าอันมืดมน แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเหนือจากแฮมเบิร์กและเลวี่ สองจักรพรรดิกฎจากเสาหลักทั้งหกแห่งซีเครดสปริง
“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความสงสัยว่ามันมีทางลัดซ่อนอยู่ในพื้นที่แห่งนี้หรือไม่ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงจะไม่สามารถตามเขาทันได้ในเวลาเพียงแค่ไม่ถึงนาทีแบบนี้
เมื่อจักรพรรดิกฎ 2 คนปรากฏตัวขึ้นในเวลาเดียวกัน มันก็ทำให้สถานการณ์พลิกผันไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ฉันก็คิดว่าใครเป็นคนลักพาตัวท่านนักปราชญ์มา ที่แท้มันก็เป็นแค่เด็กน้อยจากฝั่งเทพนี่เอง ตอนแรกฉันคิดว่าแกจะเป็นพวกสิงโตตัวเหม็นพวกนั้นซะอีก น่าเสียดายที่แกเป็นเพียงแค่มนุษย์ที่อ่อนแอเท่านั้น” แฮมเบิร์กกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
ก่อนที่เซี่ยเฟยจะพูดอะไรโอโร่ก็ระเบิดความโกรธออกมาเสียก่อน เพราะอีกฝ่ายเลือกที่จะเรียกเผ่าไลอ้อนฮาร์ทว่าพวกสิงโตตัวเหม็น ซึ่งมันถือว่ามันเป็นคำต้องห้ามเว้นแต่ว่าพวกเขาต้องการจะหาเรื่องไลอ้อนฮาร์ทจริง ๆ
แฮมเบิร์กคือคนจากเผ่าการี ซึ่งมีศักดิ์ศรีเทียบเคียงกับเผ่าไลอ้อนฮาร์ท เขาจึงไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเผ่าพันธุ์ของโอโร่เลยแม้แต่น้อยและเขาก็ไม่ค่อยถูกกับเผ่ามนุษย์จากทางฝั่งเทพอีกด้วย
คำพูดนี้ทำให้เลวี่ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เพราะคำพูดของแฮมเบิร์กเป็นการดูถูกคนจากฝั่งเทพอย่างชัดเจนและเขาก็เป็นคนที่มาจากฝั่งเทพด้วยเช่นกัน
“ไอ้หนูปล่อยท่านนักปราชญ์มาซะ ถ้าหากว่าแกยอมคลานมาขอโทษฉันดี ๆ บางทีฉันอาจจะปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่ต่อก็ได้” แฮมเบิร์กส่งเสียงตะโกนพร้อมกับชี้นิ้วไปทางเซี่ยเฟย
“ท่านนักปราชญ์ คุณจะประมาทเกินไปแล้ว ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าคุณไม่ควรอยู่คนเดียวแต่คุณไม่ยอมฟัง ดูตอนนี้สิกลายเป็นว่าคุณโดนเจ้าเด็กนั่นจับไปเป็นตัวประกันจนทำให้พวกเราต้องขายขี้หน้า” แฮมเบิร์กกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
ลักษณะท่าทางของชายร่างอ้วนคนนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขามีนิสัยหยิ่งยโสมากแค่ไหน เพราะเขาไม่เพียงแต่เขาจะเยาะเย้ยเซี่ยเฟยที่เป็นศัตรูเท่านั้น แต่เขาพยายามยั่วยุแซมสันซึ่งเป็น 1 ใน 6 เสาหลักของซีเครดสปริงเหมือนกับเขาอีกด้วย
แซมสันทำได้เพียงแค่กัดฟันโดยไม่พูดอะไร เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากพึ่งพากำลังจากฝั่งตรงข้ามเพื่อปกป้องชีวิตของตัวเอง ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่พอใจแต่เขาก็ทำได้เพียงแต่จะต้องอดทนเท่านั้น
นอกเหนือจากแซมสันที่รู้สึกไม่พอใจแล้ว คำพูดของแฮมเบิร์กยังทำให้เลวี่ที่อยู่ใกล้ ๆ ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้าด้วยเช่นกัน
โอกาส!
จู่ ๆ เซี่ยเฟยก็เร่งความเร็วขึ้นมาฉับพลันพร้อมกับขว้างร่างของชายชราออกไปราวกับว่าเขากำลังปาลูกเบสบอล จากนั้นเขาก็วิ่งตามร่างชายชราเข้าไปอย่างใกล้ชิด
“ถ้าอยากได้ก็เอาไป!!”
สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้แฮมเบิร์กรู้สึกลังเล เพราะเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าเขาควรจะช่วยชายชราหรือจัดการกับศัตรูก่อน
น่าเสียดายที่ให้สนามรบมันไม่มีที่ว่างให้กับความลังเลเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะการเผชิญหน้ากับนักรบความเร็วสูง การลังเลเพียงแค่ชั่ววินาทีมันก็มากพอที่จะเปิดโอกาสให้กับเซี่ยเฟยแล้ว
คลืน!
อิ้ว!
ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นั้นมันไม่ได้เพียงแต่เปิดโอกาสให้กับเซี่ยเฟยเพียงลำพัง เพราะหงส์ครามและขนอุยก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการจู่โจมออกไปด้วย
ฟิ้ว!
หน้าอกของแฮมเบิร์กถูกลำแสงสีขาวพุ่งทะลุอย่างฉับพลัน ทำให้จักรพรรดิกฎขั้นที่ 3 คนนี้ถูกสังหารในทันที ซึ่งการตายอย่างฉับพลันในครั้งนี้มันก็เกิดขึ้นมาจากการที่เขาดูถูกศัตรูมากเกินไป
ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใครนักรบที่แท้จริงก็จะไม่มีวันประมาทเป็นอันขาด เพราะใครจะไปรู้ว่ามนุษย์ที่แฮมเบิร์กกำลังดูถูกเป็นคนจากตระกูลสกายวิง ซึ่งเป็นดาบที่แหลมคมที่สุดของทางฝั่งเทพ และดาบเล่มนี้มันก็พร้อมที่จะตวัดออกไปสังหารศัตรูก่อนที่เขาจะทันได้รู้ตัว
***************
อุตส่าห์มีชื่อก็ตายไวเกิ้นนนน


แสดงความคิดเห็น