เที่ยงคืนกับเส้นทางที่อาจจะผิดตั้งแต่แรก

-A A +A
เที่ยงคืนกับเส้นทางที่อาจจะผิดตั้งแต่แรก

เที่ยงคืนกับเส้นทางที่อาจจะผิดตั้งแต่แรก

หมวดเรื่องสั้น: 

เที่ยงคืนกับเส้นทางที่อาจจะผิดตั้งแต่แรก

               แครค!”

              เสียงกรเปิดกระป๋องเบียร์ที่ไม่รู้ว่านั่นเป็นกระป๋องที่เท่าไรของคืนนี้แล้ว เขาแทบจะนอนเหยียดยาวหลังพิงขอบประตูระเบียงอพาร์ทเม้นท์รูหนูของฉัน โดยที่ไม่ไกลจากนั้นฉันเองก็ได้แต่นั่งใจลอยหลุดออกไป ณ ที่สีน้ำเงินเข้มแห่งใดแห่งหนึ่ง ในขณะกายหยาบของฉันยังอยู่บนฟูกเก่า ๆ ที่วางอยู่บนพื้นมุมห้องใกล้ประตูระเบียง

              รูปฉันกับกรบนม้านั่งในสวนแห่งความทรงจำถูกแขวนฝุ่นจับสลัวในความมืด ดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวซึ่งเคยเป็นอดีตของความหวานชื่นถูกปักอยู่ในแจกันที่พวกเราต่างจงใจแต่งแต้มมันขึ้นมา กองหนังสือที่เคยใช้เป็นที่หลบภัยจากสังคมเมืองตอนนี้กลายเป็นหลุมศพที่ฝังร่างเราในอดีต ฉันคิดถึงสิ่งเหล่านี้จนไม่สามารถบรรยายความรู้สึกออกมาได้จริง ๆ

              เสียงเข็มนาฬิกาที่กำลังจะเที่ยงคืนเดินต่อไปย้อนแย้งกับเข็มนาฬิกาของพวกเราทั้งสองที่กำลังเดินถอยหลัง นี่คงเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ความเจ็บปวดจนกลายเป็นความชินชาได้เกิดขึ้นกับฉัน เพราะทางที่ฉันเลือกเอง ทางที่หัวใจมันพาเรามาหยุดอยู่ที่ทางตัน

              5 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าเราจะรักกันแค่ไหน แต่พวกเราก็หนีไม่พ้นสายตาของสังคมที่คอยจับจ้องพวกเราไม่ให้ถลำลึกไปไกล ฉันรู้มาตลอดว่าที่บ้านของกรไม่ได้ชอบฉันสักเท่าไร ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่พวกเขาต้องการให้ลูกชายของเขาได้สิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ปกติที่สุดซึ่งฉันไม่สามารถที่จะทำให้พวกเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังมีความหวังเพราะกรยังกุมมือฉันไว้เหมือนกับคืนที่ฝนตกคืนนั้น มันทำให้ฉันไม่กลัวเรื่องใด จนกระทั่งเมื่อหัวค่ำนี้ กรมาหาฉันเขาตัดสินใจที่จะปล่อยมือ เหมือนกับว่าเขาตัดสินใจปล่อยลูกโป่งแห่งความหวังลอยทิ้งไปจนฉันไม่สามารถเอื้อมคว้ามันกลับคืนมาได้อีก

              “ตลกเนอะ! วันนั้นผมเดินเข้าไปหาคุณเองแท้ ๆ”

              น้ำเสียงฟังดูน่าขันแต่เจือไปด้วยเสียงสะอื้นของกรดังขึ้น ก่อนที่เขาจะกระดกกระป๋องเบียร์ตามเข้าไป

              “คุณเกลียดผมไหม?”

              กรหันมาสบสายตากับฉันโดยที่นัยต์ตาของเขาล้นไปด้วยน้ำตา

              ใจฉันสั่นจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันมากกว่าแค่เสียใจ แต่ฉันก็ไม่สามารถบอกได้ว่านั่นคือความรู้สึกอะไรกันแน่

              “คุณจะกลับกี่โมง?”

              “คุณอยากให้ผมไปเหรอ?”

              “แล้วคุณอยากให้ฉันทำอะไร?”

              “คุณมานั่งกับผมได้ไหม?”

              สายตาเว้าวอนเหมือนกับวันแรกที่พวกเราเจอกันในร้านกาแฟ ต่างแค่กลิ่นไอของความอบอุ่นจากกาแฟผสมอบเชยกลายเป็นกลิ่นของความเศร้าผสมกับเบียร์ ฉันลุกจากฟูกไปนั่งที่ประตูระเบียงตามที่เขาขอ

              “ทำไมพวกเราถึงมาอยู่จุดนี้กันได้”

              “กร! คุณพูดเรื่องนี้ซ้ำหลายรอบแล้วนะ”

              “ผมแค่อยากให้คุณคุยกับผม เล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังอีก ผมชอบมันนะ”

              “ก็ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วไง” ฉันได้แต่คิดใคร่ครวญถึงเหตุผลร้อยพันที่ทำให้พวกเรามาถึงจุดนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการที่ฉันทิ้งการคิดด้วยสมองแต่กลับมาเดินตามหัวใจตัวเอง

              “ทำไมเรื่องของพวกเรามันต้องจบเศร้าตลอดเลย”

              “.....”

              กรในอาการที่เมาแทบไม่ได้สติดึงฉันเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่น

              “คุณอย่าทำแบบนี้”

              “ผมไม่อยากปล่อยคุณไป”

              “แต่คุณก็ทำมันแล้ว”

              กรเงยหน้าขึ้นดวงตาแดงก่ำและเลือดฝาดที่อยู่ที่แก้ม ฉันไม่รู้ว่านั่นมาจากอาการเมาหรือการร้องไห้ของเขากันแน่ เขากอดรัดตัวฉันแน่นขึ้นเหมือนกับว่านั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาสามารถทำได้

              เอาเข้าจริงที่ฉันไม่ได้โกรธหรือเกลียดกรเพราะฉันเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาทำมันจะทำให้ฉันเสียใจเหมือนตายทั้งเป็นก็ตาม ฉันรู้ว่าตลอด 5 ปีเขาไม่เคยหยุดสู้เพื่อฉัน สู้จนกระทั่งวันนี้เขาต้องเลือกระหว่างฉันกับครอบครัว

              “คุณเล่าเรื่องอะไรก็ได้ให้ผมฟังได้ไหม?”

              ฉันพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมาในขณะที่ฉันอยู่ภายใต้อ้อมแขนอุ่นของเขา “คุณอยากฟังอะไรล่ะ?”

              “ทุกเรื่องที่มันจะทำให้ผมยังไม่ต้องกลับ”

              “ถ้าคุณรู้ว่าเรื่องของเราจะจบแบบนี้คุณยังจะเข้ามาทักฉันไหม?”

              “ไม่มีทางที่ผมจะไม่ทักคุณ” เขาหันมาสบตา “นพ! ไม่มีตอนไหนที่ทำให้ผมรู้สึกเป็นตัวเองได้นอกจากตอนที่ได้อยู่กับคุณ”

              “ฉันก็รู้สึกแบบนั้น เวลาอยู่กับคุณฉันเหมือนได้อยู่ในห้องนี้” ฉันไม่แน่ใจว่ากรจะเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดไหม แต่เขาเหมือนเป็นโลกทั้งใบของฉัน โลกที่เป็นที่ปลอดภัยที่ฉันสามารถเป็นอะไรก็ได้

              กรลูบหัวฉันอย่างแผ่วเบาจนเหมือนแทบจะทำให้ความเจ็บปวดที่เจอมาวันนี้หายเป็นปลิดทิ้ง

              “แต่เราก็ไม่มีทางที่จะอยู่ในห้องนี้ได้ตลอดไป” ฉันหลุดออกจากภวังค์และกลับสู่โลกความจริง

              “แต่ผมก็จะทำให้มันนานที่สุด”

              “แล้วคุณล่ะมีเรื่องอะไรอยากจะเล่าไหม?”

              กรหยุดนึกเหมือนกับเขากำลังหลุดเข้าไปในส่วนลึกสุดของจิตใจ แต่อ้อมกอดของเขายังคงแน่นเหมือนเดิม “คุณว่าคำว่าปกติมันคืออะไร”

              “อะไรอย่างที่คนทั่วไปทำมั้ง”

              “แล้วคุณว่ามันสำคัญไหม?”

              ฉันไม่รู้จะตอบว่าอะไรในเมื่อคำตอบที่มาจากความรู้สึกจริง ๆ มันดันขัดกับความถูกต้องตามที่สังคมกำหนดไว้

              “ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมพ่อแม่ผมบูชาคำนั้นหนักหนา...ตั้งแต่เด็กผมคอยถูกจับยัดใส่คำว่าปกติ จนกระทั่งผมคิดว่านั่นคือปกติของผมจริงๆ จนผมมาเจอคุณ คุณทำให้ผมรู้ว่าปกติจริง ๆ ของผมคืออะไร” ท้ายประโยคน้ำเสียงของกรก็ดูสั่นจนกลายเป็นเสียงสะอื้น เขาสูดหายใจแรงก่อนที่จะพูดต่อ “แต่สุดท้ายผมก็ทำอะไรไม่ได้….สังคมบอกให้ผมต้องเป็นลูกกตัญญูนี่เนอะ”

              คราวนี้ถึงตาของฉันที่โอบกอดเขาบ้าง ฉันพยายามโอบกอดพลางลูบไหล่เบาๆเขาไปด้วย ฉันเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดทั้งหมด คงเป็นเพราะคนอย่างพวกเรามันคงต้องเจอสิ่งที่คล้ายๆกัน “ฉันไม่โกรธคุณเลยนะ”

              “ขอบคุณนะ!”

              พวกเรานั่งโอบกอดกันในความมืดแม้จะรู้ว่านี่จะเป็นคืนสุดท้ายที่พวกเราจะทำด้วยกันได้ กรยังคงดื่มเบียร์ไปอีกหลายกระป๋อง ส่วนฉันยังคงหลอกตัวเองว่านี่มันคือวิธีที่ดีที่สุดที่พวกเราจะหายตัวไปด้วยกันจากโลกความจริงที่โหดร้าย พวกเราพยายามใช้วลาที่มีอยู่ให้คุ้มที่สุด ไม่มีใครที่จะยอมแพ้ให้กับความอ่อนล้าของร่างกาย พวกเราพยายามฝืนลืมตากันไว้เหมือนว่าถ้ามีใครคนหนึ่งเผลอหลับตาไปก่อน ยามนิทราจะพรากพวกเราจากกันไปตลอดกาล

              “คืนนี้ผมขอค้างกับคุณนะ” กรหันมาพูดกับฉันด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและดวงตาที่กำลังจะปิดลงด้วยความอ่อนล้า

              “แต่คุณต้องสัญญาว่าพรุ่งนี้คุณจะไป”

              กรชักสีหน้าไม่สบอารมณ์คงเป็นเพราะว่าสิ่งที่ฉันพูดนั้นทำให้เขาหลุดออกจากความเพ้อฝัน ฉันจึงเอื้อมมือไปกุมมือเขาไว้ มันทำให้กรได้สติ แม้ว่ากรจะไม่ได้ชอบในสิ่งที่ฉันทำแต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้ เขาได้แต่ก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น

              อีกไม่กี่นาทีก็จะตีสามแล้ว ฉันรู้ว่าเราคงสามารถฝืนร่างกายของพวกเราต่อไปไม่ไหว คอของกรตกมาแอบอิงอยู่ที่ไหล่ของฉัน ฉันจึงปลุกเขาเพื่อจะพาเขาไปนอนแต่ก็เหมือนว่าเขาไม่มีแรงมากพอที่จะพยุงตัวเองได้ ฉันจึงรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีค่อยๆเอาแขนของเขาคล้องคอและพาเขาไปที่ฟูก ร่างของเขานอนทอดยาวลงบนที่นอนอย่างไร้สติ ฉันคิดว่าเขาคงน่าจะนอนสบายมากกว่านี้ถ้าได้เช็ดตัว ฉันหันหลังกำลังจะไปเตรียมผ้าชุบน้ำมาให้ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือหนาดึงมือฉันไว้ ฉันค่อยๆย่อตัวลงตามน้ำหนักมือนั้น

              “กอดผมเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม?” กรพูดออกมาแม้ว่าดวงตาของเขายังคงปิดสนิทอยู่

              หัวใจเต้นรัว น้ำตาในดวงตาค่อยๆล้นเอ่อ ฉันล้มตัวลงนอนข้างๆเขา ก่อนที่จะกอดเขาไว้จากทางด้านหลัง นี่คงจะเป็นกอดสุดท้ายที่ฉันจะกอดเขามากกว่าฐานะเพื่อน ความอบอุ่นของร่างกายทั้งสองเมื่อสัมผัสกันมันมีค่ามากกว่าสิ่งใดที่กำลังจะเกิดขึ้น ตอนนี้ฉันไม่กลัวสิ่งใดแล้ว ฉันรู้ว่าฉันได้ทำดีที่สุดกับทางที่เลือก ทางที่ใช้หัวใจ และรู้ว่ากรจะเป็นคนสุดท้ายที่ฉันจะใช้เส้นทางนี้ด้วย หลังจากนี้ฉันคงต้องกลับไปเลือกที่ใช้สมองเหมือนเดิม เพราะฉันรู้ว่าเส้นทางนั้นมันคงจะเป็นประโยชน์มากที่สุด โดยเฉพาะกับกร

 

              ท้องฟ้าครามสดใสไร้เมฆก้อนหนาใดๆ แสงแดดส่องสะท้อนกับพื้นหญ้าที่ถูกปกคลุมได้ด้วยดอกไม้ เสียงเด็กวิ่งเล่นกันเจื้อยแจ้วเหมือนเสียงนกที่จับกลุ่มเกาะอยู่บนกิ่งไม้ร้องดังประสาน ไอของความรักทุกประเภทเกิดขึ้นที่นี่ จากเด็กตัวเล็กที่อยู่ในรถเข็นร้องขอความรักจากแม่ที่กำลังเตรียมขวดนมให้ เด็กโตที่กำลังเล่นซ่อนหาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ โดยที่ใต้ต้นไม้นั้นมีชิงช้าซึ่งคู่รักวัยรุ่นกำลังพลอดรักกันเหมือนดอกไม้แรกแย้มที่เกาะกุมไปด้วยหยดน้ำค้าง ไกลออกไปอีกหน่อยมีคู่ตายายกำลังนั่งอยู่บนพื้นหญ้าที่ปูด้วยผ้าถักมือ ความรักที่ทั้งคู่มีให้กันช่างดูสงบและเยือกเย็นเหมือนกลิ่นดอกไม้ที่อยู่ข้างๆพวกเขา

              เงาร่างกายคนสองคนนั่งอิงแอบบนม้านั่ง พวกเขาต่างสวยงามและสุกสกาวจนไม่มีสิ่งใดมาตีค่าพวกเขาได้ ความอบอุ่นสีทองแผ่ซ่านออกมาจากเงาร่างนั้นทำให้แม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าและทุ่งหญ้าที่อยู่ด้านหลังถูกฉาบไปด้วยสีทองจนเหมือนที่แห่งนี้ไม่มีอยู่จริง นิ้วทุกนิ้วสัมผัสกันด้วยความอ่อนโยนและบริสุทธิ์ดุจดั่งเมฆขาวในวันแดดจ้า ทุกคำเอื้อนเอ่ยหอมหวานเหมือนรสชาติขนมสายไหมที่โรยด้วยสายรุ้ง แต่ไม่ทันใดลมอ่อนก็พัดมา มันค่อยๆแรงขึ้นและแรงขึ้นจนกลายเป็นพายุ

              สายฝนกาแฟกลิ่นอบเชยร่วงหล่นใส่ร่างของพวกเขาทั้งสอง ไม่มีแสงแดดจ้า หรือคำอ่อนหวานอีกแล้ว ขนมสายไหมค่อยๆละลายผสมกับน้ำฝนไหลลงแม่น้ำที่ตอนนี้กลายเป็นแม่น้ำเบียร์ไปเรียบร้อยแล้ว น้ำตาของพวกเขาหลั่งรินจนมันรวมกันกลายเป็นคลื่นยักษ์ที่ซัดเอาร่างของคนที่อยู่ซ้ายมือแยกออกไป  ร่างคนขวามือทำได้เพียงพยายามคว้าอย่างสุดแรงแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คลื่นน้ำตาปราณีพวกเขาแต่อย่างใด

              ไม่นานทุกอย่างก็หยุดกลายเป็นปกติ ฝนหยุดตกแล้วแต่ก็ไม่ได้มีท้องฟ้าสดใสเหมือนอย่างเคย ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอบเชยที่คละคลุ้งไปทั่ว แม่น้ำที่ตอนนี้กลายเป็นแม่น้ำน้ำตานิ่งสงัดจนน่าใจหาย ร่างขวาทำได้เพียงนั่งอยู่บนม้านั่งนั้น เฝ้ารอให้ส่วนที่หายไปของเขากลับมา วันคือผ่านไป เขาบอกตัวเองว่าพรุ่งนี้ร่างซ้ายมือที่หายไปจะกลับมา แต่ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้มันไม่เคยมาถึงสักที

 

              ฉันสะดุ้งตื่นจากความฝันประหลาดที่ทำให้ใจหาย พร้อมกับความโดดเดี่ยวที่คนข้างๆซึ่งตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.