ตอนที่ 783 ฮัวหยูตง
ตอนที่ 783 ฮัวหยูตง
หลังจากออกมาจากบ้านของวูด เซี่ยเฟยก็ได้ไปพบกับหลางซุนเย่ที่สมาคมผู้คุมกฎ ซึ่งชายหนุ่มคนนี้ดูคล้ายจะยังไม่ตื่นนอนดี แม้ว่าเวลาจะได้ผ่านพ้นมาจนถึงตอนเที่ยงแล้วก็ตาม พวกเขาจึงชวนกันไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งก่อนที่จะสั่งอาหารเครื่องดื่มมาเต็มโต๊ะ
“เฮ้อ! คราวนี้เผ่ามนุษย์ของพวกเราในกลุ่มมังกรฟ้าก็พ่ายแพ้อย่างน่าสมเพชอีกแล้ว น่าเสียดายที่นายไม่ได้มาเข้าร่วมทีมในฝั่งเรา ไม่อย่างนั้นสถานการณ์คงพลิกผันไปจากเดิม” หลางซุนเย่กล่าวพร้อมกับยกเครื่องดื่มจนหมดแก้ว
“แค่มีฉันคนเดียวมันจะไปมีประโยชน์อะไร ฉันไม่ได้เก่งมากพอที่จะพลิกสถานการณ์ของการประลองได้หรอกนะ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยักไหล่
“อย่างน้อยถ้านายชนะ ทางฝั่งมนุษย์ก็คงจะไม่อับอายมากเกินไป นอกจากนี้พวกนักรบเผ่าซุนนียังทำตัวอวดดีมาก พวกมันบอกว่านายขี้ขลาดมากเกินไป ตระกูลดาบคลั่งอะไรนั่นท้ายที่สุดมันก็เป็นเพียงแค่ดาบหัก” หลางซุนเย่กล่าวขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“ฉันไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนั้นหรอก แม้ว่าการเข้าร่วมกับกลุ่มมังกรฟ้าจะเป็นโอกาสที่ดีแต่ฉันก็ไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น ว่าแต่ฉันขอถามหน่อยได้ไหมว่าห่านป่ามันคืออะไรงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
“ห่านป่าก็เป็นชื่อกลุ่มดาวของพวกชาวซุนนีเหมือนกับกลุ่มดาวม้าขาวที่เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์เราเนี่ยแหละ ไหนนายบอกว่านายไม่สนใจพวกมันแล้ว นายจะถามถึงถิ่นที่อยู่ของพวกมันไปทำไม หรือว่านายจะเดินทางออกไปแก้แค้นแค่คนเดียว?” หลางซุนเย่กล่าวหลังจากชะงักไปเล็กน้อย
“นายพูดเพ้อเจ้ออะไร? ถ้าฉันมีความแค้นกับพวกเขา ฉันก็คงจะไปจัดการกับพวกเขาตั้งนานแล้ว ไม่มานั่งคุยเล่นกับนายอยู่แบบนี้หรอก” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกไปตบไหล่หลางซุนเย่เบา ๆ
“ไอ้ฉันก็คิดว่าตระกูลสกายวิงคิดจะสั่งสอนบทเรียนให้กับพวกซุนนีซะอีก ตระกูลชั้นยอดทุกตระกูลในกลุ่มดาวม้าขาวต่างก็ให้ความสำคัญกับการศึกในครั้งนี้ดีมาก แต่ตระกูลของนายกลับไม่ให้ความสนใจการแข่งขันระหว่างพวกเรากับพวกซุนนีเลย”
“ฉันอยากจะรู้จริง ๆ ว่าทำไมตระกูลของนายถึงแปลกประหลาดขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่สมาชิกทุกคนในตระกูลพร้อมที่จะประกาศสงครามถ้าหากสมาชิกคนไหนได้รับอันตราย แต่พอมันเป็นเรื่องชื่อเสียงของตระกูลมนุษย์ทั้งหมด สกายวิงกลับไม่เคยให้ความสนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว”
คำถามของหลางซุนเย่ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออก เนื่องจากในปัจจุบันมันแทบจะไม่มีใครอยู่ในสวนสายลมเลย เพราะทุกคนต่างก็ออกเดินทางไปจัดการเรื่องราวในชีวิตของตัวเอง สกายวิงจึงเป็นตระกูลที่ไม่มีกฎเกณฑ์เหมือนกับตระกูลขนาดใหญ่ตระกูลอื่นในกลุ่มดาวม้าขาวเลย
“อีกครึ่งเดือนมันจะมีงานชุมนุมที่กลุ่มดาวห่านป่างั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามเปลี่ยนเรื่อง
“ใช่ มันเป็นวันแลกเปลี่ยนสินค้าครั้งใหญ่ของพวกซุนนี กลุ่มดาวม้าขาวของเราก็มีวันแลกเปลี่ยนสินค้าครั้งใหญ่แบบนั้นด้วยเหมือนกัน ในวันนั้นทั้งกลุ่มดาวจะมีการเปิดการค้าแบบเสรีทำให้ทุกเผ่าพันธุ์ของทางฝั่งเทพต่างก็เดินทางมาค้าขายกันเป็นจำนวนมาก”
“แต่คราวนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราเพิ่งจะพ่ายแพ้ในการประลอง ฉันคิดว่ามันคงจะไม่มีมนุษย์เดินทางไปเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนสินค้าในกลุ่มดาวห่านป่ามากนักหรอก” หลางซุนเย่กล่าวพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างน่าเกลียด
แน่นอนว่าเซี่ยเฟยย่อมไม่ได้รู้สึกอับอายหลังจากที่ทางฝั่งมนุษย์พ่ายแพ้ให้กับชาวซุนนีเลยแม้แต่น้อย แต่สำหรับเขาการเดินทางครั้งนี้คือโอกาสที่ดีที่เขาจะได้พบปะกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ที่อยู่ในฝั่งของเผ่าเทพด้วยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถตรวจสอบเรื่องกฎแห่งเวลาได้ ความพ่ายแพ้ของทางฝั่งมนุษย์จึงไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“วันแลกเปลี่ยนสินค้างั้นเหรอ? น่าสนใจดีจริง ๆ ว่าแต่ฉันจะไปกลุ่มดาวห่านป่าได้ยังไง?” เซี่ยเฟยถาม
“เฮ้พี่ชาย! นายเป็นราชากฎของตระกูลสกายวิงไม่ใช่เหรอ? แล้วนายกำลังมาถามฉันเนี่ยนะว่านายจะไปกลุ่มดาวห่านป่าได้ยังไง?” หลางซุนเย่กล่าวพร้อมกับมองไปทางเซี่ยเฟยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างจริงจัง เพราะเขาไม่รู้วิธีเดินทางไปยังกลุ่มดาวห่านป่าจริง ๆ
“เฮ้อ! ฉันจะบอกนายให้ก็ได้ ด้วยตัวตนของนายแล้วนายไม่เพียงแต่จะไปงานแลกเปลี่ยนสินค้าครั้งนี้ได้เท่านั้น แต่นายยังถือเป็นแขกวีไอพีของงานอีกด้วย ถ้าหากฉันเดาไม่ผิดตระกูลสกายวิงของนายก็น่าจะได้รับคำเชิญด้วยเหมือนกัน นายลองกลับไปที่บ้านแล้วถามหาบัตรเชิญจากผู้อาวุโสเซี่ยอู๋เย่ดูซะ” หลางซุนเย่กล่าวตอบอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้เห็นท่าทางซื่อบื้ออย่างจริงจังของสหาย
—
แม้ว่าสถานะจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญสำหรับเซี่ยเฟยมากนัก แต่ในบางครั้งสถานะทางสังคมมันก็ช่วยลดความยุ่งยากบางอย่างได้
ตอนแรกเซี่ยเฟยคิดว่าเขาจำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างยุ่งยาก เพื่อเดินทางไปยังงานแลกเปลี่ยนสินค้าภายในกลุ่มดาวห่านป่า แต่ใครจะไปรู้ว่าความจริงบัตรเชิญถูกส่งมายังสวนสายลมตั้งนานแล้ว
ชายหนุ่มทำได้เพียงแต่เผยรอยยิ้มออกมาอย่างขมขื่นกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และมันก็ดูเหมือนกับว่าเขาต้องใช้เวลาอีกมากพอสมควรถึงจะปรับตัวเข้ากับสถานะสมาชิกของสกายวิงได้
หลางซุนเย่ต้องกลับไปทำงานในสมาคมตลอดทั้งช่วงบ่าย เขาจึงเอ่ยคำร่ำลากับเซี่ยเฟยสั้น ๆ ก่อนที่ทั้งสองจะแยกจากกันไปทำธุระของตัวเอง
ระหว่างนี้ชายหนุ่มก็ได้หยิบกระดาษที่เทพขาวและเทพดำมอบให้กับเขาออกมาจากแหวนมิติ เพื่อมองหาตำแหน่งของนักประดิษฐ์ชั้นยอดที่เทพทั้งสองแนะนำเขามา
ฟุบ!
ทันทีที่ชายหนุ่มระบุตำแหน่งลงในเข็มทิศมิติ เขาก็เคลื่อนที่ตรงมายังดาวเคราะห์ทุรกันดารแห่งหนึ่ง
ภูเขาที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเขาคือภูเขาที่สูงมาก โดยภูเขาครึ่งลูกตั้งตระหง่านให้เห็นกลางอากาศ ขณะที่ภูเขาอีกครึ่งลูกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกบนฟากฟ้า
ทางขึ้นภูเขาเป็นบันไดที่ถูกปูด้วยหินสีฟ้าทอดยาวออกไปไกล และเนื่องมาจากว่าเทพขาวกับเทพดำแนะนำให้เซี่ยเฟยค่อย ๆ เดินตามบันไดโดยห้ามใช้พลังความเร็ว ชายหนุ่มจึงจำเป็นจะต้องค่อย ๆ ก้าวเดินออกไปอย่างช้า ๆ เพราะท้ายที่สุดปรมาจารย์ชั้นยอดแต่ละคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีนิสัยอันแปลกประหลาด ถ้าหากว่าเขาพลาดทำอะไรให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจขึ้นมา มันคงจะไม่เป็นผลดีสำหรับเขาด้วยเช่นกัน
หลังจากเวลาผ่านไปเซี่ยเฟยก็ปรากฏตัวขึ้นบริเวณภูเขาในส่วนที่ตัดกับก้อนเมฆแล้ว และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้พลังความเร็วออกมา แต่การเดินเพียงเท่านี้ก็ยังคงเป็นเพียงแค่เรื่องง่าย ๆ สำหรับเขาอยู่ดี
แต่ในทันใดนั่นเองเซี่ยเฟยก็ได้พบกับชายชราร่างเล็กที่กำลังนั่งยอง ๆ อยู่ริมถนนมองมาทางเขาด้วยใบหน้าอันแดงก่ำ โดยทั่วทั้งตัวของเขานั้นให้ความรู้สึกได้ถึงพลังที่เต็มเปี่ยม
การที่อีกฝ่ายสามารถเข้ามาใกล้เซี่ยเฟยได้อย่างเงียบ ๆ มันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าชายคนนี้มีฝีมือที่ไม่ธรรมดา เซี่ยเฟยจึงเริ่มทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับผู้อาวุโสฮัวหยูตง”
“นายเป็นใคร? ทำไมถึงรู้จักชื่อของฉัน?” ชายชรากล่าวถามด้วยความสับสน
แน่นอนว่าเซี่ยเฟยย่อมไม่เคยรู้จักชายชราตรงหน้ามาก่อน และสิ่งที่เขาพูดไปมันก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น ซึ่งอย่างมากที่สุดถ้าหากเขาทักทายอีกฝ่ายผิดไป เขาก็แค่ต้องกล่าวขอโทษอีกฝ่ายก็เท่านั้นเอง แต่ถ้าหากว่าเขาคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายถูก มันก็จะทำให้เขามีความได้เปรียบในบทสนทนาที่จะพูดคุยกันต่อไป
“ผมแค่สังเกตเห็นว่าออร่าของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยพลัง แสดงว่าคุณสมควรจะต้องเป็นปรมาจารย์ชั้นยอดอย่างแน่นอน ดังนั้นผมจึงพยายามรวบรวมความกล้าคาดเดาตัวตนของคุณไป แต่ผมก็ไม่เคยคิดเลยว่าผมจะเดาถูก”
พฤติกรรมของเซี่ยเฟยทำให้คิ้วของโอโร่กระตุกขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะในตอนที่ชายหนุ่มพบกับเขาเป็นครั้งแรกอีกฝ่ายก็พูดจายกยอเขาเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน ย้อนกลับไปในตอนนั้นเขาก็ค่อนข้างที่จะรู้สึกดีกับคำพูดของชายหนุ่มคนนี้มาก แต่หลังจากที่เขาได้อยู่กับเซี่ยเฟยมาเป็นเวลานานเขาก็ได้รู้แล้วว่าเซี่ยเฟยมันเป็นพวกชอบประจบสอพลอ
ก่อนที่ฮัวหยูตงจะทันตั้งสติได้ เซี่ยเฟยก็ได้ใช้กลยุทธ์มอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ออกไปอีกครั้งและมันก็ทำให้โอโร่คิ้วกระตุกขึ้นมามากขึ้นกว่าเดิม
“นายนี่เป็นพวกตาถึงจริง ๆ ใช่แล้ว ฉันชื่อฮัวหยูตง แล้วนายล่ะชื่ออะไร?” ฮัวหยูตงกล่าวขึ้นมาอย่างยิ้มแย้มเมื่อถูกเด็กรุ่นใหม่พูดจาชื่นชมอย่างไม่หยุดหย่อน
“ผมชื่อเซี่ยเฟยครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับด้วยความเคารพ
“เซี่ยเฟย? เซี่ยเฟยจากตระกูลสกายวิงน่ะเหรอ?” ฮัวหยูตงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ผู้อาวุโสรู้จักผมด้วยเหรอครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“รู้จักสิ รู้จักดีเลยล่ะ เพราะเซี่ยเหล่าสือที่อยู่ในศูนย์ฝึกสายลมเป็นศิษย์พี่ของฉันเอง” ฮัวหยูตงกล่าวพร้อมกับตบไหล่เซี่ยเฟยเบา ๆ
คำตอบของชายชราทำให้เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเซี่ยเหล่าสือไม่ได้ดีมากนัก และด้วยความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงอย่างนี้มันก็อาจจะทำให้เรื่องราวยากลำบากกว่าเดิมไปก็ได้
“ฉันเพิ่งได้ยินมาว่าเซี่ยเหล่าสือถูกนายใช้คริสตัลต้นกำเนิดระดับสูงที่เขาเก็บสะสมมาไปจนหมดเลย สิ่งที่นายทำทำให้ฉันรู้สึกสะใจจริง ๆ ในที่สุดมันก็มีคนมางัดข้อกับศิษย์พี่ของฉันได้” ฮัวหยูตงกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะและท่าทางของเขาก็ยิ่งคล้ายจะเอ็นดูเซี่ยเฟยมากกว่าเดิม
คำตอบนี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออก เพราะอีกฝ่ายบอกมาเองว่าเขากับเซี่ยเหล่าสือเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ก็ไม่ค่อยดีเช่นเดียวกัน ข่าวเรื่องที่เซี่ยเหล่าสือถูกเขาโกงจึงกลายเป็นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกยินดีแทนที่จะโกรธเกลียดเขา
—
แม้ว่าฮัวหยูตงจะเป็นนักประดิษฐ์ชั้นยอด แต่เขาก็อาศัยอยู่บนภูเขาอย่างเรียบง่าย บ้านของเขาเป็นเพียงแค่บ้านไม้ 3 ชั้นหลังเล็ก ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นภายในป่า แม้กระทั่งชุดน้ำชาที่ชายชราเอาออกมารับแขกก็เป็นชุดน้ำชาที่สร้างขึ้นมาจากไม้คล้ายกับว่าเขาจะเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง
“ฉันไม่ได้ชอบเงินเหมือนกับตาเฒ่าเซี่ยเหล่าสือหรอกนะ รีบ ๆ กินไปเถอะ ฉันไม่คิดเงินนายกับเรื่องแค่นี้หรอก” ฮัวหยูตงกล่าวเมื่อได้เห็นท่าทางสับสนของเซี่ยเฟย
ชายหนุ่มพยักหน้าซ้ำ ๆ ก่อนที่จะรีบยกย่องฮัวหยูตงว่าเป็นปรมาจารย์ผู้มีศีลธรรมอันสูงส่ง ไม่เหมือนกับใครบางคนที่พยายามจะหลอกเอาเงินจากเขาตลอดเวลา
“ฉันไม่เชื่อ! เงินในดินแดนกฎมันก็คือแหล่งพลังงานบริสุทธิ์นั่นแหละ มันไม่มีใครไม่ชอบการได้ถือครองพลังงานปริมาณมหาศาลหรอก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นนักธุรกิจที่จำเป็นจะต้องใช้คริสตัลต้นกำเนิดอยู่ทุกวัน แล้วเขาจะมาบอกว่าตัวเองไม่ชอบเงินได้ยังไง?” โอโร่กล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ถึงแม้ว่าเขาจำเป็นจะต้องใช้เงินแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเป็นคนชอบเงินด้วยนะครับ อีกอย่างการที่เขาพูดแบบนี้มันก็เป็นผลดีกับผมแล้ว เพราะมันหมายความว่าผมจะได้ไม่ต้องเสียเงินมากเกินไป ผมจะได้เก็บเงินเอาไปทำเรื่องอย่างอื่น” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
ทั้งคู่เริ่มสนทนาไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่ฮัวหยูตงจะถามเซี่ยเฟยว่าชายหนุ่มเดินทางมาหาเขาที่นี่ได้ยังไง
“คุณฮัวเฮยกับคุณฮัวไป๋เป็นคนแนะนำผมมาครับ” เซี่ยเฟยกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“อะไรนะ?! รีบบอกฉันมาเร็วเข้า ตอนนี้ผู้มีพระคุณทั้งสองเป็นยังไงบ้าง?” ฮัวหยูตงกล่าวถามอย่างเร่งรีบ
“พวกเขาทั้งสองคนสบายดีครับ เพียงแต่ยังจำเป็นจะต้องออกเดินทางอยู่บ่อย ๆ เท่านั้นเอง” เซี่ยเฟยกล่าว
“เฮ้อ!” ฮัวหยูตงถอนหายใจออกมาอย่างหนัก เพราะท้ายที่สุดเขาก็ไม่ควรต่อบทสนทนาเรื่องเทพขาวกับเทพดำให้ยืดยาวไปกว่านี้
“ไหนขอฉันดูลูกแก้วอสูรที่นายว่าหน่อยสิ” ฮัวหยูตงกล่าวด้วยแววตาเป็นประกายพร้อมกับรีบยื่นมือออกไปยังด้านหน้า
***************
จะประหยัดเงินได้แน่เหรอพี่เฟย?


แสดงความคิดเห็น