แม่น้ำที่เป็นทางออกของเมืองลงสู่ทะเล
แม่น้ำที่เป็นทางออกของเมืองลงสู่ทะเล
วันเวลาผ่านไปจากเดือนกลายเป็นปีจากปีกลายเป็นทศวรรษ ฉันที่ตอนนี้กลายเป็นชายวัยกลางคน ความเยาว์วัยแทบจะไม่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าหรือแม้แต่ความรู้สึก ชีวิตที่ผ่านมาฉันไม่รู้ว่าจะให้คำนิยามว่ามันคืออะไรดี ก็คงน่าจะเป็นชีวิตมนุษย์เงินเดือนเต็มรูปแบบล่ะมั้ง ทุกย่างก้าวของชีวิตคือเหตุผล มันต้องมีเหตุผลว่าทำไม ทำแล้วจะได้อะไร การทำตามความรู้สึกกลายเป็นเรื่องที่โง่เขลา ใครกันจะยอมเสียเวลาไปกับสิ่งที่เราไม่มีทางรู้ว่าตอนจบมันจะเป็นอย่างไร
ด้วยเหตุผลเหล่านี้มันทำให้ชีวิตฉันผ่านไปอย่างมั่นคงจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นวัฏจักร ตื่น ไปทำงาน กินข้าว กลับบ้าน นอน วนอยู่อย่างนี้จนฉันเริ่มชินและไม่รู้ว่าถ้ามันไม่เป็นอย่างนี้มันจะเป็นอย่างไรได้อีก เงินเดือนอันน้อยนิดในตอนแรกพอนานวันไปมันก็เติบโตตามเวลาแต่สุดท้ายมันก็แทบไม่เหลือ คงเพราะการที่อยู่เมืองหลวงทุกอย่างคือค่าใช้จ่าย เรากลายเป็นหนูถีบจักรในโลกทุนนิยมอย่างไม่จบสิ้น
ฉันยังคงอยู่ในอพาร์ทเม้นท์เดิมเพราะไม่เห็นถึงความสำคัญว่าสำหรับชายตัวคนเดียวจะต้องการสิ่งใดไปมากกว่านี้ และที่สำคัญที่นี่มันมีความทรงจำมากมายที่ฉันไม่อยากลืมแต่ก็ไม่อยากขุดมันขึ้นมา ปล่อยให้มันเป็นสิ่งคลุมเครืออย่างนี้ต่อไปคงจะดีที่สุด
“แก็ก!...แก็ก!”
ร่มฉันเสียกลางสายฝนในตรอกทางเดินกลับบ้านเส้นเดิมอีกแล้ว ซึ่งมันทำให้ฉันต้องมาอยู่ในร้านกาแฟร้านเดิม สิ่งเหล่านี้กลายเป็นความคุ้นชินแต่ไม่คุ้นเคยที่ฉันได้เจอมาตลอด ถ้าหวังว่านี่จะมีปาฏิหาริย์คุณอาจจะคิดผิด เพราะสิบปีที่ผ่านฉันก็เคยหวังลึกๆในใจว่าอยากให้มันเป็นเช่นนั้น แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่วันซวย ๆ ที่ฉันต้องมาหลบฝนในร้านกาแฟที่ใกล้ที่สุด ที่นี่มันเป็นเพียงร้านกาแฟ และตอนนี้ฉันก็กำลังนั่งกินกาแฟผสมอบเชยรอให้ฝนหยุดตกเหมือนในรอบหลายร้อยครั้งที่ผ่านมา
ลมหนาวหอบใหญ่พัดมากระทบร่าง มันคงจะเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่าวันปีใหม่คงกำลังจะมาถึงอีกไม่ช้า ฉันยังคงยืนอยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์อึมครึมเหมือนเดิม แต่ที่ต่างคือวันนี้เป็นวันศุกร์และพรุ่งนี้ฉันก็ไม่ต้องทำงาน ดังนั้นมันคงจะดีไม่น้อยที่ฉันจะขอออกนอกวัฏจักรมนุษย์เงินเดือนของตัวเองสักพักหนึ่ง ฉันอยากจะลองเดินเล่นและใช้เวลาคิดทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมาเกือบ 40 ปี
ถนนตอนกลางคืนมันเปลี่ยวเหงาสิ้นดี ฉันเดินไปก้มมองเท้าตัวเองไป ทำไมเมืองที่สกปรกขนาดนี้ถึงมีคนมากมายต้องการมาอยู่นะ อาจจะเป็นเพราะเมืองนี้มันพร้อมจะให้โอกาสที่ชนบทให้ไม่ได้ ซึ่งฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่พวกเขาจะรู้ไหนว่าโอกาสนั้นมันมาพร้อมกับข้อแลกเปลี่ยน เมืองนี้สำหรับฉันมันคือสถานที่ดูดกินวิญญาณ จนสุดท้ายคุณก็จะไม่ได้ต่างอะไรไปจากศพเดินได้ที่มีสุสานอันสวยหรู ฉันอยากจะออกไปจากเมืองนี้ แต่ฉันคงจะแก่เกินไปเสียแล้ว ไฟในตัวฉันมันมอดไหม้ไปหมดทุกอย่าง และที่สำคัญฉันกำลังรอในสิ่งที่ฉันไม่ควรรอ
ไฟสีเหลืองทองถูกประดับประดาสายงามบนสะพานข้ามแม่น้ำ ฉันกำลังเดินขึ้นไปเพื่อชมภาพความสวยงามของมัน แต่ฉันก็ต้องหยุดเดินเพราะสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เงาดำของชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนราวสะพาน ฉันค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนชายคนนั้นรู้ตัว
“อย่าเข้ามานะ!” เสียงชายคนนั้นหันมาพูดด้วยน้ำเสียงตวาด
“ใจเย็น ๆ นะคุณ”
“อย่ามายุ่ง!”
ฉันที่ค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ชายคนนั้นจนใกล้มากพอที่จะเห็นรายละเอียดใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน ซึ่งมันทำให้ฉันก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาคือใคร ใครที่ฉันไม่มีวันลืม และภายในใจฉันยังคอยเฝ้าหาอยู่เสมอ
“นพ!”
“กร!”
ใบหน้าที่คุ้นเคยแต่วันนี้กลับมีอะไรมากมายที่เปลี่ยนไป ชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่มีหนวดเคราขึ้นรำไร วันนี้กลับถูกแทนที่รอยเหี่ยวย่น ดวงตากร้านโลก และหนวดเคราที่รกครึ้ม
“กร! คุณจะทำอะไร ลงมาเถอะ!” ในขณะที่ฉันขยับตัวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เท้าของฉันก็ไปเตะโดนกระป๋องเบียร์สามสี่กระป๋องที่วางกระจายอยู่บนพื้นไม่ต่างไปจากความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเขา
“ออกไป!” เสียงอันสั่นเครือและแววตาของความหวาดกลัวปรากฏเป็นปฏิกิริยาตอบสนอง
“กรใจเย็น ๆ”
“อย่ามายุ่งกับผม!”
“ลงมาเถอะ”
“ผมบอกให้ออกไ-”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง ฉันรีบโผเข้าโอบกอดตัวกรดึงเขาลงมาจากด้านหลัง จนตัวพวกเรากระเด็นกลิ้งไปหลายตลบ
ร่างกายของพวกเราแนบชิดกันอยู่บนพื้น จนฉันสามารถได้กลิ่นสุดท้ายที่เราได้อยู่ด้วยกัน กลิ่นเบียร์ที่เจือไปด้วยความโศกเศร้า ฉันแทบจะไม่เชื่อตัวเองว่าตอนนี้คนที่หายไปจากชีวิตและรู้ว่าเขาจะไม่มีวันกลับมาได้อยู่ในอ้อมแขนของฉันแล้ว ฉันอยากจะโอบกอดเขาไว้อย่างนี้ให้ความหิวกระหายในตัวฉันได้ถูกเติมเต็มให้สมกับการที่ฉันใฝ่หามาตลอด แต่ฉันก็ดันถูกสมองสั่งให้ทำในสิ่งตรงกันข้าม ฉันปล่อยกกรให้หลุดจากอ้อมแขนแล้วค่อยๆพยุงตัวเขาลุกขึ้นนั่งพิงกับราวสะพาน
“ทำไมทำอย่างนี้”
“ทำไมไม่ปล่อยให้ผมตาย”
ฉันไม่สนใจในเสียงจากสมองอีกแล้ว ฉันรีบดึงกรเข้ามากอด ฉันรู้ว่าตอนนี้โลกของกรคงกำลังพังทลาย ฉันไม่มีทางรู้เลยว่าชีวิตพาเขาไปเจอกับอะไร รู้เพียงว่า ณ ตอนนี้ฉันอยากจะดูแลเขาเหมือนที่ฉันอยากทำมาตลอด
“ผมคิดถึงคุณ”
“ฉันก็คิดถึงคุณ”
หลังจากที่กรอาการดีขึ้นพวกเราก็พากันไปนั่งในสวนสาธารณะริมแม่น้ำที่อยู่ข้างล่างสะพาน พวกเราต่างเงียบใส่กันอาจเป็นเพราะคงไม่มีใครคาดคิดว่าค่ำคืนแบบนี้จะเกิดขึ้น พวกเราจะได้มาเจอกันอีกครั้ง และการเจอครั้งนี้เกือบเป็นวันสุดท้ายของกร
“วันนั้นเราก็นั่งตรงนี้” กรพูดออกมาในขณะที่เขามองรอบข้าง
ฉันได้แต่ย้อนนึกถึงเรื่องราวตอนที่เราเริ่มคบกันแรก ๆ วันนั้นกรชวนฉันมาสวนสาธารณะแห่งนี้ซึ่งเราก็นั่งอยู่ตรงนี้ กรอยากถ่ายรูปคู่เก็บไว้แต่แถวนั้นแทบไม่มีใครนอกจากกลุ่มป้าๆที่เพิ่งเต้นแอโรบิคเสร็จ กรจึงต้องจำใจขอให้พวกเธอถ่ายให้ แต่กว่าที่ป้า ๆ จะถ่ายได้เป็นที่น่าพอใจก็เล่นเอาเหนื่อยน่าดู และทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเรื่องนี้มักจะขำออกมา ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“ขำอะไร?”
“เปล่า!”
“ยังเก็บรูปเราไว้อยู่ไหม?”
เหมือนกรจะรู้ว่าฉันกำลังคิดถึงเรื่องใด ฉันจึงได้แต่พยักหน้า ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ก็รู้ว่าฉันพูดความจริงไปไม่หมด ฉันยังเก็บรูปไว้เป็นอย่างดีแค่มันไม่ได้อยู่บนฝาผนังแล้ว แต่มันอยู่ในกล่องกระดาษแทน
“คุณเหมือนเดิมเลยนะ”
“ฉันนี่เหรอเหมือนเดิม แก่ลงไปตั้งเยอะ คุณก็-”
ยังไม่ทันพูดจบกรก็แย่งฉันพูดเรียบร้อยแล้ว
“สภาพผมตอนนี้ดูไม่ได้เลย” กรตอบพลางเอามือไปลูบพุงที่ตอนนี้มันค่อนข้างยื่นมากกว่าวันเก่า
แม้ว่ากรจะตอบด้วยสีหน้าชื่นมื่น แต่ฉันรู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาคงน่าจะผ่านอะไรมาไม่น้อย
“แล้วคุณช่วงนี้เป็นไงบ้าง?”
กรไม่ได้ตอบในทันแต่สีหน้าที่ถอดสีก็น่าจะเป็นคำตอบได้ดี
“คุณมีอะไรเล่าให้ฉันฟังได้นะ….เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่หนิ!”
“มันพังไปหมดทุกอย่างเลย...ผมแค่อยากตาย”
ถึงแม้ประโยคเมื่อกี้ที่กรพูดมามันจะทำให้ฉันใจหายแต่ฉันก็ทำได้แค่เอื้อมมือไปแตะไหล่เขาเบา ๆ
“หลังจากที่ผมเลิกกับคุณ ผมก็แต่งงานตามความต้องการของแม่ ตอนแรกผมนึกว่าผมจะค่อย ๆ รักเธอไปเอง เพราะเธอก็เป็นคนดี เป็นคนน่ารัก พวกเรามีลูกกัน 1 คน...เป็นลูกสาว น่ารักมากเลย แล้วผมก็รักเธอมาก” กรหยุดพูดไปและยิ้มออกมาเมื่อเขาเอ่ยถึงลูก “แต่พอเวลาผ่านไปผมรู้ว่าผมไม่สามารถฝืนตัวเองได้ ผมไม่เคยรักภรรยาของผม แล้วผมก็คิดว่าเธอเองก็น่าจะรู้ เมื่ออาทิตย์ก่อนผมจับได้ว่าเธอนอกใจ เธอเลยขอหย่าเพราะอย่างไรผมก็ไม่ได้รักเธออยู่แล้ว แต่ผมที่ผมเจ็บคือเธอจะขอสิทธิ์เป็นคนดูแลลูกฝ่ายเดียว” ตอนนี้กรไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกแล้ว
ไม่รู้ทำไมฉันที่กำลังฟังแม้ว่าเรื่องนี้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวฉันแต่ฉันก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“ชีวิตผมแม่งโคตรตลก! พังทุกอย่าง ชีวิตคู่ ครอบครัว ทำไมผมถึงเลือกอะไรไม่ได้สักอย่างเลย ตอนนี้ผมมันไม่เหลืออะไรแล้ว”
“คุณอย่าพูดแบบนั้นสิ! คุณจะมาตายไม่ได้นะ คุณไม่รู้หรอกว่าที่ผ่านมาฉันตั้งหน้าตั้งตารอคุณทุกวัน แม้มันจะเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่คุณคือสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันอยากอยู่ในเมืองนี้ต่อ ฉันหวังว่าสักวันหนึ่งฉันอาจจะเจอคุณที่ไหนก็ได้….แล้ววันนี้ฉันก็ได้เจอคุณ คุณจะมาตายต่อหน้าต่อตาฉันอีกเหรอ?”
กรดึงฉันเข้าไปกอดแล้วร้องไห้โฮเหมือนเด็ก แขนของเขารัดฉันแน่นไม่ต่างไปจากฉัน เหมือนว่าถ้านี่เป็นความฝันเราก็จะกอดกันไว้อย่างนี้ จะไม่ปล่อยให้ใครหลุดมือไปอีก
“ทำไมพวกเรายังร้องไห้กันเป็นเด็กเลย ผมจะ 40 แล้วนะ”
กรพูดในทำนองตลกซึ่งมันก็ทำให้ฉันขำได้เหมือนเดิม ฉันรู้ว่าพวกเราแก่แต่ข้างในของพวกเราเรายังคงเป็นเด็กอายุ 20 ต้น ๆ ที่เพิ่งเรียนจบและได้มาเจอกันในวันฝนตกในร้านกาแฟแห่งนั้น
เราสองคนเดินท่ามกลางความมืดที่สว่างในเมืองหลวง เงาของเราสองคนทับกันจากไฟสีส้มบนทางเท้า จะว่าไปมันก็เหมือนเราได้ย้อนเวลาเลย วันแรกที่กรเดินไปส่งฉันที่บ้าน สายตาของฉันยังคงจับจ้องอยู่บนฟ้าในณะที่เรากำลังพูดคุยกันเหมือนเด็ก ๆ ถ้าแสงระยิบระยับนั่นเป็นดาวก็คงจะดีสิ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะแสงนั่นเป็นเพียงแสงจากไฟยอดตึก
“อะไรนะ! คุณไม่ได้กลับบ้านมาอาทิตย์หนึ่งแล้วเหรอ?”
“อืม! ผมนอนในที่ทำงานเอา ไม่อยากกลับไปแล้วอยู่คนเดียว”
“แล้วคุณจะเอาอย่างไงต่อ?”
“ผมก็คงจะยอมหย่าแหละ เพราะผมก็ไม่ได้รักเธอตั้งแต่แรก”
“แล้ว...”
“ผมไม่มีทางทิ้งลูกแน่นอน อย่างไงผมก็จะหาทางส่งเสียเลี้ยงดูลูกให้ได้”
“ถ้าลูกคุณได้ยินคงดีใจที่พ่อรักเธอมากขนาดนี้”
ทิวทัศน์ตึกสูงในตอนกลางคืนถูกเปลี่ยนเป็นภาพมุมสูงจากอาคารจอดรถของที่ทำงานของกร ที่เรามาอยู่กันตรงนี้ก็เพราะกรเป็นคนเสนอจะเป็นคนขับรถไปส่งฉันที่บ้าน แต่ใครจะไปคิดว่าอาคารจอดรถมันจะเห็นวิวที่สวยงามเช่นที่อยู่ตรงหน้า แม่น้ำที่ทอดยาวตัดผ่าใจกลางเมืองหลวง ฉันจึงอดใจไม่ได้ที่จะขอยืนดูอยู่ตรงนี้สักพัก
“แล้วคุณละเป็นอย่างไงบ้าง?” กรถามฉันในขณะที่เขานั่งเอาตัวพิงรถเก๋งสีดำ
“ก็เหมือนเดิม”
“เหมือนเดิม?”
“ก็เรื่อย ๆ คุณก็รู้ว่าฉันไม่ได้ชอบเมืองนี้เท่าไร...ฉันแค่ทำงานเก็บเงินไปเรื่อย ๆ”
“แล้วตอนเด็กคุณเคยมีความฝันอะไร?”
ฉันสะดุ้งกับคำถามของกรเล็กน้อยเพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันแทบจะจำมันไม่ได้แล้ว “โห! ใครจะไปจำได้ ผ่านมาจะ 40 ปีแล้วนะ”
“อะไรกัน ผมยังจำได้เลย ตอนเด็กผมอยากเป็นนักบินอวกาศเพราะตอนนั้นผมอยากไปดวงจันทร์”
ฉันขำกับสิ่งที่กรพูด “ฉันไม่แน่ใจ แต่ที่รู้คือมันไม่ใช่อย่างที่ฉันกำลังใช้ชีวิตอยู่ตอนนี้เลย...ฉันชอบต้นไม้ ชอบน้ำ ชอบท้องฟ้า แต่ไม่ได้ชอบตึกสูง” ฉันละสายตาจากภาพตรงหน้ามาหัวเราะกับกร
“งั้นทำไมคุณไม่ทำละ?...เราใช้ชีวิตกันมาเกือบครึ่งชีวิตแล้วนะ”
ความคิดนับล้านในหัวของฉันกำลังเกิดขึ้นจากสิ่งที่กรพูด “คุณรู้ไหมสิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดของเมืองนี้ตั้งแต่ตอนที่คุณไป คือการได้มองแม่น้ำ ฉันก็ไม่รู้ทำไม คงเพราะฉันรู้ว่ามันคือทางออกจากเมืองนี้ที่ไปสู่ทะเล มันทั้งกว้าง ทั้งสงบ…..พอไม่มีคุณฉันแทบไม่อยากจะอยู่ในเมืองนี้ต่อเลย”
กรผละตัวออกจากกระโปรงรถแล้วเดินมาทิ้งตัวอยู่ข้าง ๆ ฉัน “ผมว่าผมจะลาออก”
“ทำไม?”
“ผมผ่านเวลาของความเป็นความตายมาแล้วนะ! พอมาคิด ๆ ดูแล้วผมว่าผมกำลังเสียเวลากับสิ่งที่ผมไม่ควรเสียเวลา ผมไม่เคยอยากทำงานนี้ ผมทำเพียงเพราะมันจะเชิดหน้าชูตาให้ครอบครัว ต่อไปนี้ผมจะไม่ยอมให้ใครมากำหนดชีวิตผมอีกแล้ว….ผมจะมีชีวิตเป็นของผมเอง”
“แล้วที่บ้านคุณละ?”
กรยักไหล่อย่างขี้เล่นเหมือนวันแรกที่เราเจอกัน นานเท่าไรแล้วนะที่ฉันไม่ได้เห็นเขาเป็นแบบนี้ “จะว่าไปเรายังไม่เคยได้ไปทะเลด้วยกันเลยนะ...คุณอยากไปหรือเปล่า?”
ผมแทบอยากจะเข้าไปจูบนพในตอนนี้เลย หลังจากที่เขาตอบตกลงที่จะไปทะเลด้วยกัน ผมไม่รอช้าที่จะสตาร์ทรถพร้อมออกเดินทาง ผมไม่ได้สัมผัสถึงการมีชีวิตแบบนี้มานานแล้ว ทุกอย่างมันช่างเบาสบาย ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง ไม่มีความคาดหวังใดต้องแบกรับ หลังจากนี้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นผมจะเป็นคนเลือกมันเอง ผมยอมให้คนอื่นคอยจำกัดผมให้อยู่ในกรอบนานเกินไปแล้ว
วันนี้พวกเราสองคนได้ย้อนเวลาไปตอนที่พวกเรายังเป็นเด็กเพิ่งเรียนจบ ไม่มีความกลัวใด ๆ และที่สำคัญผมรู้มาตลอดว่าชีวิตผมมันจะดีที่สุดเวลาที่มีนพคอยอยู่เคียงข้าง วันนี้นพได้ช่วยชีวิตผมไว้ และหลังจากนี้ผมให้สัญญากับเขาได้เลยว่าผมจะมีชีวิตต่อไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
ระหว่างทางที่ออกจากเมืองพวกเราต่างพูดคุย หัวเราะร่าเหมือนตอนที่พวกเราเด็ก ๆ เรื่องราวไร้สาระต่าง ๆ ถูกเล่าออกมาทดแทนช่วงชีวิตที่เราทำมันหายไป นพบอกว่าผมเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน ผมเดาว่าเขาคงจะพูดถึงภายนอกซึ่งนั่นผมก็ไม่เถียง แต่ผมอยากให้นพรู้ไว้อย่างหนึ่ง ไม่ว่าอะไรในตัวผมจะเปลี่ยนไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันจะไม่มีวันเปลี่ยน นั่นก็คือ ‘รอยยิ้มของนพ’ ผมชอบเวลาที่นพเล่าเรื่องตัวเองให้ฟัง ชอบเวลาที่เราพูดกันจนจับใจความไม่ได้ว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งใดกันแน่
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงทะเลซึ่งตอนนี้มันก็กำลังจะเช้าแล้ว ดวงอาทิตย์กำลังจะพ้นขอบฟ้า พวกเราต่างรีบพากันวิ่งไปที่ชายหาดอย่างตื่นเต้น พวกเรานั่งลงบนหาดทรายสัมผัสได้ถึงชีวิตใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้น ชีวิตที่เราเลือกเอง ชีวิตที่เป็นของเราอย่างแท้จริง แสงแรกของวันส่งกระทบกับผิวกายของเราทั้งสอง ผมดึงนพเข้ามาจูบอย่างดูดดื่มไม่สนสายตาของใครทั้งนั้น และนี่ก็เป็นจูบแรกของเราที่ทำท่ามกลางดวงอาทิตย์ ไม่ต้องหลบซ่อนภายใต้เงาดวงจันทร์อีกต่อไป
- ยอดวิว 497
แสดงความคิดเห็น