ตอนที่ 33 พลังแห่งจิตใจ – ล่วงรู้อนาคต

สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)

-A A +A

ตอนที่ 33 พลังแห่งจิตใจ – ล่วงรู้อนาคต

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 33 พลังแห่งจิตใจ – ล่วงรู้อนาคต

 

“เฉินเอ๋อร์นี่คือลานเล็กของบ้านที่เจ้าเคยอยู่ ต่อจากนี้เจ้ากับหนิงเสวี่ยจะอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยกัน”

 

เป็นลานกว้างที่มีห้องขนาดใหญ่กว่าสิบห้อง และยังมีศาลาทอดยาว , บ่อน้ำ, สวนน้อย, ต้นไม้ผล และรางองุ่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาต้องการมีอยู่ที่นี่ เป็นเรื่องยากมากสำหรับครอบครัวทั่วไปที่จะมีบ้านแบบนี้ได้ แต่นี่เป็นหนึ่งในสวนเล็กๆของคฤหาสน์ตระกูลเย่เท่านั้น

 

“แม้ว่าเจ้าจะไม่อยู่เป็นปี แต่แม่ก็มาที่นี่และทำความสะอาดทุกๆสองสามวัน” หวังเวิ่นชูสีหน้ามีความสุข สำหรับนางแล้วการทำความสะอาดห้องเป็นหนึ่งในความสุขของนาง

 

“เฉินเอ๋อร์ นี่คือห้องนอนของเจ้า ห้องนอนกับห้องเรียนอยู่ติดกัน แต่ก่อนนี้เจ้าไม่ค่อยเข้าไปในห้องสมุดสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม แม่รู้ว่าเป็นเพียงเพราะว่าตอนนั้นร่างกายของเจ้าอ่อนแอ”

 

หลังจากเปิดประตู เย่หวูเฉินค่อนข้างแปลกใจ ลานบ้านอาจจะดูตกแต่งเพียงธรรมดา แต่ภายในห้องหรูหราอย่างยิ่ง กระทั่งกระดิ่งลมที่ห้อยแขวนไว้ยังไม่ธรรมดา เป็นครั้งแรกที่เย่หวูเฉินเห็นการตกแต่งแนวโบราณ แม้แต่หนิงเสวี่ยยังจ้องตาโต แววตานางเปล่งประกายแวววาว

 

“หนิงเสวี่ยจะนอนอยู่ที่ห้องข้างๆ ตกลงมั้ย? ข้าจะไปเรียกคนใช้ให้มาทำความสะอาดอีกครั้ง” หวังเวิ่นชูก้มลงถาม นางรู้ว่าสาวน้อยคนนี้ดูแลลูกชายของนาง และกระทั่งยังเคยช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ ดังนั้นนางย่อมรักใคร่สาวน้อยคนนี้ และกระทั่งอยากรับนางมาเป็นลูกสาวของตนเอง

 

“ไม่จำเป็น ข้าและหนิงเสวี่ยจะนอนเตียงเดียวกัน” เย่หวูเฉินกล่าว

 

“เอ..... เอ๋? เตียงเดียวกัน?” หวังเวิ่นชูลังเลคราหนึ่ง แต่ก็กล่าวติดๆขัดๆออกมา “เฉินเอ๋อร์ เจ้า..... เจ้าไม่ใช่ว่ามีงานอดิเรกแบบนั้นใช่มั้ย?....นี่มัน.....”

 

“การชื่นชอบเรือนร่างของสตรีไม่ใช่เรื่องแปลก บุรุษคนใดบ้างไม่สเน่หา?.....แต่ว่า หนิงเสวี่ยนางยังเด็กเกินไป วัยของนางยังแค่ประมาณ 10 ปี.... เรื่องนี้มันผิดศีลธรรม!” หวังเวิ่นชูเหงื่อไหลโชก นางหันไปมองหนิงเสวี่ยอย่างไม่รู้ตัว เวลานี้เอง แววตาไร้เดียงสาของหนิงเสวี่ยมองใบหน้าแตกตื่นของนางอย่างสงสัย และนางพบว่าบนร่างของหนิงเสวี่ยไม่มีร่องรอยของมลทินใดๆ

 

หวังเวิ่นชูแอบลอบโล่งใจ ที่เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดของนาง พวกเขาคงแค่ไม่มีบ้านมาก่อน และพวกเขาคงได้แต่นอนอยู่ข้างนอกนั่น พวกเขาจึงคุ้นเคยการอิงแอบแนบชิดกันและกัน..... เด็กน้อยที่น่าสงสาร เมื่อคิดเช่นนั้นนางจึงไม่อาจห้ามความรู้สึกเจ็บปวดในใจ สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปและกล่าว “ได้สิ หนิงเสวี่ยกับเฉินเอ๋อร์สามารถนอนด้วยกันในห้องนี้ได้”

 

เย่หวูเฉินลอบปาดเหงื่อเย็น เขาสามารถเห็นจากสีหน้าของนาง ว่านางได้ลบความคิดแรกออกไปจากสมองแล้ว

 

“ถ้าเช่นนั้น เฉินเอ๋อร์รอครู่หนึ่งก่อน ให้แม่ได้ทำความสะอาดห้องให้เจ้า แล้วเจ้ากับหนิงเสวี่ยจะได้นอนพักกันสบายๆเป็นหนแรก เป็นเวลานานแล้วที่เจ้ากับหนิงเสวี่ยต้องพักและกินอย่าง....โอ้ ข้าเพิ่งนึกได้ เดี๋ยวแม่ไปเอาขนมมาให้พวกเจ้าก่อน”

 

“ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ” เย่หวูเฉินเรียกนางและถาม “ข้าได้ยินว่า ข้ายังมีพี่สาวอยู่อีกคน?”

 

หวังเวิ่นชูพยักหน้าแล้วทำเสียงดุ “ใช่ สวนของนางอยู่ถัดจากเจ้า แต่ปกตินางจะทำตัวเย็นชา นางรู้ว่าเฉินเอ๋อร์กลับมาแล้วแต่นางกลับยังไม่ออกมาพบหน้า เฮ้อ เด็กคนนี้ เจ้าอยากให้แม่พาเจ้าไปพบพี่สาวไหม?”

 

แม้น้ำเสียงนางจะต่อว่า แต่ใบหน้านางก็ไม่ได้แสดงออกมากแต่อย่างใด ราวกับนางคุ้นเคยกับเรื่องนี้แล้ว แม้ว่าหลงเจิ้งหยางจะเคยบอกกับเย่หวูเฉินว่า ธิดาคนเดียวของตระกูลเย่ เย่ฉุ่ยเหยา มีนิสัยเย็นชา แต่นางกลับไม่ยอมแม้แต่ออกมาพบหน้าน้องชายที่หายตัวไปเป็นปี ดูเหมือนว่าความเย็นชาของนางจะมากเกินไปสักหน่อย

 

“ไม่จำเป็น หนิงเสวี่ยกับข้าจะไปด้วยกันเอง”

 

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แม่จะไปเตรียมเครื่องดื่มก่อน แล้วเดี๋ยวจะให้คนนำมาส่งให้อีกที” หวังเวิ่นชูพูดจบก็รีบออกไป

 

“ไปกันเถอะเสวี่ยเอ๋อร์ พวกเราจะไปดูพี่สาวแสนสวยกัน”

 

หนิงเสวี่ยรับว่า “อื้ม” เบาๆ นางก้มศีรษะลงเล็กน้อยและปล่อยให้เขาจูงมือน้อยๆไป

 

“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ? หรือว่าพี่ชายเจ้าพูดอะไรไม่ดีไป?” เย่หวูเฉินเดินไปพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“ข้า.... ท่านพี่ ข้าได้แต่ก่อปัญหาให้ท่านพี่ ข้ามีแต่ทำให้ท่านพี่ต้องลำบาก” เย่หนิงเสวี่ยก้มศีรษะลงอย่างละอาย ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขัดแย้งกับองค์หญิง หรือขัดแย้งกับเย่หวูหยุน นางรู้ดีว่าทั้งหมดล้วนเป็นเพราะตัวนาง แม้ว่านางดูเหมือนแค่เด็กหญิงธรรมดา แต่จิตใจนางเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน

 

“ไร้สาระน่า! จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง หนิงเสวี่ยเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตข้า ดังนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าจะเป็นภาระ? ถ้าเจ้าพูดแบบนี้อีกข้าจะเสียใจมาก”

 

เขารู้ว่าถ้าหากเขาพาหนิงเสวี่ยมาไว้ข้างกาย ด้วยสีผมและใบหน้าของนางย่อมนำมาสู่ปัญหามากมาย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตอนแรกเขาทิ้งนางไว้ แต่ตอนนี้ เขาไม่มีความคิดแยกจากกับนางชั่วคราวอีกเลย เขายอมให้นางอยู่ข้างกายและเลือกจะปกป้องนางจากเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะด้วยวิธีจำเป็นใดๆก็ตาม

 

“แต่ เพราะว่าข้า ท่านพี่ถึงต้องตีพี่ชายของตัวเอง ทั้งหมดเป็นเพราะข้า....”

 

เย่หวูเฉินหยุดเดิน เขาย่อตัวลงแล้วจับหน้านางก่อนกระซิบ “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนที่สนิทที่สุดของข้า คนๆนั้นจะเป็นพี่ชายข้าได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้น....” หวูเฉินแค่นเสียงเย็นชาก่อนจะกล่าวต่อ “ที่จริงเขาต้องการล่อให้ข้าทุบตีเขาด้วยจุดประสงค์แอบแฝง เพราะว่าเขาค่อนข้างหลักแหลม เขาเห็นว่าเสวี่ยเอ๋อร์สำคัญต่อข้า และเขาคิดว่าสามารถยั่วโทสะข้าให้ทุบตีเขาได้ ดังนั้นข้าจึงมอบรางวัลให้เขาบนใบหน้า”

 

“ไม่ใช่พี่ชายของ....ท่านพี่? แต่ว่า....?”

 

“ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนไม่ใช่ครอบครัวข้า เจ้ายังจำที่ปู่ฉู่พูดได้ไหม? ข้าหมดสติไปตั้งแต่ 10 ปีก่อน แต่นายน้อยของตระกูลเย่หายตัวไปเพียงแค่ 1 ปีก่อนเท่านั้น แล้วข้าจะเป็นคนในครอบครัวของพวกเขาได้อย่างไร?” เย่หวูเฉินค่อยๆอธิบายให้หนิงเสวี่ยฟัง เขาไม่ต้องการและไม่จำเป็นต้องปกปิดสิ่งใดจากหนิงเสวี่ย

 

“อย่างนั้น....ท่านพี่ก็กำลังโกหกพวกเขา?” หนิงเสวี่ยกระซิบถาม

 

เย่หวูเฉินยิ้มและกล่าว “ถูกต้อง ข้าโกหกพวกเขา เพราะว่าเสวี่ยเอ๋อร์และข้าจำเป็นต้องมีบ้านและสถานะ ซึ่งนี่เป็นทางเดียวที่ข้าจะสามารถดูแลเสวี่ยเอ๋อร์พร้อมกับตามหาอดีตของตัวเองได้ แม้ว่าชะตาฟ้าจะมอบสถานะของตระกูลเย่ให้กับข้า หากแต่ข้าก็ยังต้องทำสิ่งเล็กๆน้อยๆเพื่อตระกูลเย่ เพราะว่าดูเหมือนจากนี้ไป ตระกูลเย่กำลังจะพบกับหายนะครั้งใหญ่”

 

“อดีตของพี่ชาย? ท่านพี่จะตามหาอดีตของท่านอย่างไรหรือ?”

 

คิ้วของเย่หวูเฉินมุ่นเล็กน้อย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเชื่อเรื่องการล่วงรู้อนาคตหรือไม่?”

 

หนิงเสวี่ยกระพริบตาปริบ ไม่ทราบว่าสมควรตอบเช่นไร

 

“เมื่อ 1 เดือนก่อน ในครั้งแรกที่ข้าเห็นเสวี่ยเอ๋อร์ ในครั้งนั้นข้าเกิดความรู้สึกแปลกๆ ว่าถ้าข้าไม่ตามหาเจ้าและพาเจ้ากลับมา ข้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ครึ่งเดือนต่อมา ข้ามีความรู้สึกว่ากำลังจะเจอหายนะครั้งร้ายแรง และถัดจากนั้น ข้าก็เกือบจะตายจริงๆ ในตอนนั้นที่หลงเจิ้งหยางกับข้า.... เอ่อ พี่หลงของเจ้ากับข้ากำลังคุยกันเกี่ยวกับเรื่องตระกูลเย่ ขณะนั้นข้าเกิดความรู้สึกแปลกๆว่าจะสามารถใช้วิธีการพิเศษบางอย่างเข้าร่วมตระกูลเย่ได้ ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องจริง.... และเมื่อใดก็ตามที่ข้าพยายามอย่างหนักเพื่อนึกถึงอดีต จะมีเสียงบอกข้าว่าถ้าหากข้าสามารถจัดการกับพลังที่อยู่ในร่างที่เรียกว่า ‘มนต์หวูเฉิน’ และหากข้าสามารถฝึกจนถึงระดับสูงสุด ข้าจะสามารถค้นหาอดีตและกลับไปสู่ครอบครัวเดิมของข้าได้ ความรู้สึกประหลาดเหล่านี้บางครั้งก็เกิดขึ้นแต่บางครั้งก็ไม่ มันเลือนลางและดูเหมือนออกมาจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณข้า ข้าไม่ได้สูญเสียความทรงจำตรงส่วนนี้ไป มันเป็นพลังที่เรียกว่า ‘พลังจิต’ ข้าสามารถใช้พลังนี้กับตัวเอง หรือกระทั่งกับจิตใจของผู้อื่น และแม้กระทั่งแอบดูหรือแก้ไขความทรงจำของพวกมัน บางทีการล่วงรู้อนาคตอาจเป็นหนึ่งในรูปแบบของพลังจิตก็ได้

 

หนิงเสวี่ยกระพริบตา นางไม่อาจเข้าใจสิ่งใดได้จริงๆ แต่ความรู้สึกผิดและความกังวลได้หายไปจากใบหน้าของนางแล้ว เย่หวูเฉินกล่าวอย่างอ่อนโยน “เสวี่ยเอ๋อร์ เรื่องของพี่ชาย เจ้าต้องเก็บไว้เป็นความลับ ตกลงมั้ย?”

 

“อื้ม!” หนิงเสวี่ยพยักหน้า “ข้าจะต้องเก็บรักษาความลับของท่านพี่ และข้าจะไม่ยอมบอกกับผู้ใดอย่างแน่นอน”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.