ปาฏิหาริย์ซาตาน 12: เมืองสถิตของขุมพลังทั้งสิบ (Rewrite)

ปาฏิหาริย์ซาตาน

-A A +A

ปาฏิหาริย์ซาตาน 12: เมืองสถิตของขุมพลังทั้งสิบ (Rewrite)

            เดินทางทั้งคืนจวบจนบ่ายวันใหม่ของอีกวัน ในที่สุดห้าสาวห้าหนุ่มก็มาถึงเมืองที่มีชื่อว่า แฟทาซ่า สถานที่ซึ่งพวกเขาได้ข้อมูลมาจากในฝันเมื่อเย็นวาน ว่าจะต้องมาเป็นที่แรกเพื่อเก็บพลังเวทไว้ใช้ทำภารกิจ  หัวหน้าจอมโจรทะเลทรายทิศใต้สั่งให้ลูกสมุนทั้งหมดหาที่พักคอยอยู่ชานเมือง โดยพวกเขาและห้าสาว            จะเข้าไปดูลาดเลาในตัวเมืองกันตามลำพัง

            “ขอโทษลุงท่าน ในเมืองพอจะมีที่พักสำหรับสิบคนหรือเปล่า” พิราเต้เดินเข้าไปถามชายมีอายุ               คนหนึ่งที่กำลังเลือกซื้อสมุนไพรอยู่

            “ที่พักสำหรับสิบคนรึ” ชายแก่ท่าทางมีเมตตาหันมาถามทวนคำ ก่อนเหลือบมองไปด้านหลังชายหนุ่ม ซึ่งมีอีกเก้าคนที่เหลือยืนอยู่ อย่างพิจารณา

            “ครับ” พิราเต้ตอบ สายตาก็ลอบสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายไปด้วย

            “คนต่างเมืองหรือ” ชายวัยกลางคนถามต่อ สีหน้าของเขาไม่แสดงอาการแปลกใจการมาเยือน              ของทั้งสิบเท่าไรนัก

            “พวกข้ามาจากแถบทะเลทรายด้านนอก เดินทางมาที่นี่เพื่อเข้าแข่งการประลองของกษัตริย์                  แฟทาซ่าทั้งสิบพระองค์” เดโวโล่อธิบายให้ชายมีอายุทราบ

            “อ่อ...” ชายแก่ลูบเคราตัวเองพรางพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

            “ถ้าพวกเจ้าไม่ติดขัดอันใดจะพักที่บ้านข้าก็ได้ บ้านข้าเปิดเป็นโรงหมออยู่ ห้องหับมีพอสมควร”

            “ท่านลุงเป็นหมอหรือคะ” อินแชนดี้ถามขึ้นด้วยความสนใจ

            “ใช่ ทำไมเรอะ”

            “ข้าและเพื่อนๆต้องเดินทางในทะเลทรายอีกระยะหนึ่ง คิดว่าถ้ารู้จักการแพทย์ไว้บ้างอาจช่วยอะไรได้มากน่ะค่ะ พอรู้ว่าท่านลุงเป็นหมอจึงสนใจ” เธอตอบ

            “อ่อ...ถ้าพวกเจ้าไม่ติดขัดอันใดก็ตามข้ามาได้ เดี๋ยวจะพาไปพัก แล้วถ้าเจ้าต้องการรู้อะไรข้าจะเล่าให้ฟัง”

            ได้ยินอย่างนั้นอินแชนดี้ก็หันมองหน้าทุกคนอย่างขอความเห็น ก่อนอาสตาร์จะเป็นคนตัดสินใจ

            “ตกลงครับ”

            ทั้งหมดเดินตามหมอแก่ใจดีไปที่บ้านของเขา บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านไม้สองชั้นหลังค่อนข้างใหญ่ ด้านหน้าเปิดเป็นโรงหมอให้พวกชาวบ้านมาใช้บริการ หมอแก่พาทุกคนเดินผ่านส่วนหน้าเข้าไปในบ้านก่อนจะสั่งหลานสาวไปจัดที่พักให้

            “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าก็พักผ่อนกันตามสบาย เดี๋ยวข้าขอนำสมุนไพรเข้าไปเก็บในห้องยาก่อน”

            “ขอบคุณค่ะท่านลุงหมอ / ขอบคุณท่านหมอ / ขอบคุณท่านลุง” ห้าสาวห้าหนุ่มกล่าวขึ้นแทบ                จะพร้อมเพรียงกัน

            “เอาไงต่อล่ะคราวนี้” พอคล้อยหลังเจ้าของบ้าน ดิโมล่าก็หันไปถามพวกหนุ่มๆทันที

            “เก็บของ อาบน้ำเรียบร้อยแล้วค่อยว่ากันเถอะ” โลกูลิสออกความเห็น ทุกคนเห็นตามนั้น เมื่อไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายเข้าห้องของใครของมันไป

 

            “เฮ้อ ในที่สุดก็ได้พักใต้ชายคาบ้านท่ามกลางต้นไม้ร่มรื่นสักที” หลังจากพวกเธอเข้ามาในห้องพักกันแล้วฟาร์เน่ก็เอ่ยขึ้นก่อนใคร

            “เพิ่งเห็นค่าของต้นไม้ใบหญ้าจริงจังก็คราวนี้แหละ” แวมไพร์พูดขึ้นขณะเดินไปทิ้งตัวบนฟูก                         ที่มุมหนึ่งของห้อง

            “เมื่อกี้ฉันเห็นด้านนอกมีของขายเยอะไปหมด หลังพักผ่อนกันเสร็จ ถ้าไม่มีอะไรพวกเราไปเดินเที่ยวกันไหม” ดิโมล่ามองเพื่อนๆที่ต่างเอนหลังบนฟูกด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนพลางถาม

            “ก็ไม่เลวนะ” แวมไพร์เห็นด้วย

            “งั้นเอาเป็นว่าถ้าไม่มีอะไรพวกเราก็ไปเที่ยวกัน ถือโอกาสเปิดหูเปิดตาหลังจากไม่ได้เห็นแสงสี                มานานด้วย” อินแชนดี้สรุป

            ฟาร์เน่ แวมไพร์ อินแชนดี้ เอลลิก้า และดิโมล่านอนพักสักครู่ก็ทยอยกันอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ เตรียมตัวประชุมกับห้าหนุ่มอีกครั้ง ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีใครโผล่มา ด้วยความเพลียพวกเธอจึงผล็อยหลับไป ตื่นมาอีกทีตอนที่หลานสาวหมอแก่มาเรียกให้ไปกินข้าวเย็น

 

            “ชักช้ากันจริงๆ ปล่อยให้คนอื่นรอได้ยังไง” ปาปา หลานสาวเจ้าของบ้านบ่นขึ้นหลังจากกลับมา              นั่งรอที่โต๊ะอาหารได้เพียงไม่กี่นาทีด้วยความใจร้อน

            “ใจเย็นๆปาปา เจ้าเพิ่งขึ้นไปเรียกพวกนางได้ไม่กี่นาทีนะ” หมอแก่หันมาพูดกับหลานสาวอย่าง               ใจเย็น...รออีกไม่นานนัก คนที่โต๊ะอาหารจึงเห็นห้าสาวพากันเดินลงมาจากบันได

            “รีบมานั่งที่กันได้แล้ว ข้ากับลุงไส้จะขาดอยู่แล้วนะ มาพักอยู่บ้านผู้อื่น ทำไมให้เขาต้องรอ!”                   ปาปาเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ทันไรก็แหวขึ้นทันที

            พวกอินแชนดี้หันมามองหน้าเธอด้วยความรู้สึกแตกต่างกันไป แต่ก็ยังไม่มีใครปริปากอะไร จนกระทั่งเดินกันมาถึงยังโต๊ะแล้วอินแชนดี้จึงเอ่ย

            “พวกข้าต้องขอโทษท่านหมอด้วยค่ะ” เธอกล่าวอย่างมีมารยาท ทั้งที่ในใจของอีกสามสาว                       ฟาร์เน่ แวมไพร์ และดิโมล่าไม่ค่อยอยากจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนพูดออกไปสักเท่าไหร่ เพราะต่างเห็นว่า  มันเพิ่งผ่านมาไม่กี่นาที และพวกเธอก็ไม่ได้อืดอาดอะไรด้วย แต่เกรงใจหมอแก่เจ้าของบ้านหรอกจึง               ยอมสงบใจไว้

            “ไม่เป็นไรดอก หลานข้ากล่าวเกินจริงไปงั้นเอง อย่าถือสานางเลย”

            “ท่านลุง!” ปาปาหันไปส่งเสียงท้วงลุงของตน

            “เอาล่ะ เริ่มกินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน” หมอแก่ไม่สนใจปฏิกิริยาของคนเป็นหลาน พูดจบก็หยิบช้อนตักอาหารใส่จานตนเองก่อนใคร

            “พวกท่านทั้งห้าเพิ่งเคยมาเมืองนี้หรือเปล่า หลังกินมื้อเย็นเสร็จ ถ้าอยากเที่ยวชมเมืองข้าจะพาไป”กินข้าวเข้าไปได้สองสามคำ ปาปาก็ชวนพวกอาสตาร์คุยกลางวงอาหาร สีหน้าน้ำเสียงขณะพูดกับเหล่าชายหนุ่มต่างกันกับก่อนหน้าราวเป็นคนละคน

            “พวกเจ้าอยากไปเที่ยวหรือเปล่า” พิราเต้หันไปถามห้าสาว

            “พาพวกนางไปด้วยรึ!” ปาปาเห็นอย่างนั้นก็ถามขึ้นเสียงสูง

            “พวกข้าจะรอหารือกับพวกท่านก่อน แต่ถ้าไม่มีอะไร ก็คุยกันไว้ว่าจะออกไปเดินดูนั่นนี่สักหน่อย”อินแชนดี้ตอบแทนเพื่อนๆเหมือนเคย

            “ถ้าอยากเที่ยวก็เที่ยวกันก่อนได้ เรื่องหารือตอนกลางคืนค่อยคุยกันก็ไม่เป็นไร อีกอย่างจะได้ออกไปหาข่าวการแข่งประลองด้วย” อาสตาร์พูด

“แต่พวกข้าคงไม่ไปเดินเที่ยวพร้อมพวกเจ้าหรอก ไปกันเองน่าจะดีกว่า” ดิโมล่าพูดขึ้นบ้าง                            ความจริงเธออยากจะพูดอะไรมากกว่านี้อีกสักหน่อย หากก็ยังนึกเคารพเจ้าของบ้านท่าทางใจดีอยู่

 

            เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง พวกสาวๆก็รับประทานอาหารเสร็จ ก่อนจะขอตัวออกไปข้างนอกโดย                 ไม่คิดจะคอยพวกหนุ่มๆเลยสักนิด ไม่รู้ว่าพวกเธอกับหลานสาวเจ้าของบ้านเป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน                 มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เจอกันไม่นานก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบหน้า ดังนั้นการอยู่ห่างๆไว้คงจะดีที่สุด                        อย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัยของอีกฝ่าย

 

            “ของที่นี่ลักษณะคล้ายของที่โลกของเราเลย แต่ดูสวยลึกลับน่าหลงใหลกว่าที่นั่นมากนะ”                เอลลิก้าที่เดินอยู่ข้างแวมไพร์มองข้าวของตามรายทางที่พ่อค้าแม่ค้าเอามาขายอย่างพิจารณา

            “จะคล้ายก็คล้ายจริงๆแหละ แต่ก็แปลกตาอยู่ดี” ดิโมล่าวิจารณ์บ้าง

            “ดูชุดร้านนั้นสิ สวยมากอ่ะ เราไปดูกันไหม ฉันอยากได้” ฟาร์เน่ชี้นิ้วไปยังร้านร้านหนึ่ง                           ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่มากด้วยท่าทางกระตือรือร้น

            “งั้นฉันไปดูทางนั้นนะ เห็นอาวุธประหลาดๆเพียบ น่าสนใจดี” แวมไพร์บอกทุกคน

            “ตามใจแกแล้วกัน จะเดินไปไหนก็ดูทางให้ดีๆล่ะ ระวังหลง” อินแชนดี้เตือนด้วยความเป็นห่วง

 

            เด็กสาวผมซอยสั้นเดินแยกมายังฝั่งขายอาวุธตามลำพัง ขณะที่เพื่อนอีกสี่คนเลือกจะไป                           ดูของสวยๆงามๆให้เจริญตาเจริญใจมากกว่า สองขาพาร่างสมส่วนมาหยุดที่หน้าร้านตีเหล็กร้านหนึ่ง ดวงตาเรียวงามกวาดมองเครื่องเหล็กหลายหลากด้วยความสนใจ เสียงคนตีเหล็กโครมครามอยู่หลังร้าน              ยังแว่วมาให้ได้ยิน แม้มันดังจนคนทั่วไปนึกรำคาญหู ทว่าเธอกลับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้นเพราะกำลังจดจ่อกับอย่างอื่นมากกว่า

            “สนใจอาวุธพวกนี้หรืออีหนู” แล้วเสียงแหบห้าวของใครคนหนึ่งก็ทักมาจากด้านในร้าน แรกทีเดียวแวมไพร์ไม่ได้ยิน จนกระทั่งชายแก่ผมยาวยุ่งเหยิงที่มัดรวบไว้ลวกๆเคาะท่อนเหล็กแข็งแรงกับโต๊ะไม้เสียงดังตึงตังสองสามหนนั่นแหละ

            “สนใจอาวุธพวกนี้มากงั้นเรอะ” ชายชราหนวดเคราสีดำๆขาวๆบ่งบอกถึงความใกล้ฝั่งเข้าไปทุกทีถามด้วยแววตามีรอยยิ้ม

            “ใช่...ตาเป็นเจ้าของร้านหรือเปล่า ฉัน..เออะ ข้าจะขอเข้าไปดูอาวุธในร้านหน่อยได้ไหม”

            “ข้าไม่ติดขัดอันใดดอก แต่สินค้าของข้ามักมีคนปรารถนาเป็นเจ้าของมากมาย ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าจะไม่ขโมยสินค้าเหล่านี้ ก็จงวางหลักประกันที่มีค่าที่สุดของเจ้ามาสักอย่างสองอย่างเถิด ไม่ซื้อ                ไม่เป็นไร เมื่อดูเสร็จแล้วข้าจะคืนให้”

            ของมีค่างั้นหรือ? แวมไพร์คิดอยู่ในใจ เมื่อคิดถึงตรงนี้เธอจึงเริ่มสำรวจตนเองว่าพอจะมีของมีค่าอะไรติดตัวมาบ้าง...แต่ก็ไม่พบสักอย่าง นอกจากมีดเหน็บเอวชิ้นเดียวเท่านั้น แม้แต่เงินสลึงหนึ่งก็ไม่มีเลย

            “ทั้งตัวตอนนี้มีแค่มีดเล่มเดียวเท่านั้น พอจะเป็นหลักประกันได้ไหม” ถามออกไปทั้งๆที่รู้ดีว่ามีดดังกล่าวออกจะไร้ราคามากทีเดียว แต่ยังไม่ทันที่ชายมีอายุเจ้าของร้านจะพูดอะไร เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นก่อน

            “ลืมไปเลยว่าพวกเราไม่มีเงินติดตัวสักบาท” เสียงใสๆของฟาร์เน่ดังมาจากทางหนึ่ง

            “ยัยไพร์ แกคงยังไม่ได้ตกลงจะซื้ออะไรใช่ไหม” ดิโมล่าส่งเสียงตามมา

            “มาเที่ยวทั้งทีไม่มีเงินแบบนี้ก็หมดกันเลย” ฟาร์เน่บ่นต่อ

            “ทำอะไรกันอยู่หรือครับสาวๆ” เสียงทุ้มเท่คุ้นหูทักทายขึ้น ก่อนห้าสาวจะพากันหันไปมอง                   ตามทิศทางที่ได้ยิน

            “เห็นว่าต้องการใช้เงินกันหรือ” เป็นเดโวโล่ที่เดินส่งยิ้มพราวเสน่ห์เข้ามาหาพร้อมกับโลกูลิส                 และ             พิราเต้ ส่วนอีกสองหนุ่ม อาสตาร์ ฮันเตอร์เดินอยู่ด้านหลัง โดยมีปาปาคอยเกาะแขน                     อาสตาร์อยู่อย่างสนิทสนม

            “ยัยไพร์มันมาดูอาวุธน่ะ” ดิโมล่าเป็นคนตอบแทนทุกคน แต่ก็เลือกที่จะตอบเพียงคำถามแรกก่อน

            “จะซื้ออาวุธกันหรือ” พิราเต้ถามขึ้นบ้าง ได้ยินแว่วๆเหมือนกันว่าพวกสาวๆบ่นไม่มีเงินติดตัว

            “ฉลาดดี ที่เลือกจะซื้ออาวุธมากกว่าเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับพวกนั้น” แล้วโลกูลิสก็โพล่งขึ้น                    ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คำพูดของเขาทำเอาอีกสี่สาวที่เหลือรู้สึกเหมือนถูกด่าว่าโง่อย่างไรพิกล

            “ถ้าผู้หญิงจะอยากซื้อของพวกนั้นบ้างก็ไม่เห็นผิดตรงไหนหนิ” เป็นดิโมล่าที่เถียงกลับทันที                   ด้วยความระคายหู

            “ไร้สาระ” อีกฝ่ายก็สวนกลับมาสั้นๆอย่างไร้มารยาท

            “อะไรนะ! มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้หญิงต่างหาก กล้าว่าความสุขเล็กๆน้อยๆของผู้หญิง                เป็นเรื่องไร้สาระงั้นหรือ!” เธอโต้กลับอย่างเอาเรื่อง

            “เอาเถอะ เอาเถอะครับ อย่าไปถือสาไอ้ลิสเลย ปากมันก็อย่างนี้แหละ ว่าแต่อยากได้อะไรกันหรือ เดี๋ยวพวกเราออกให้ครับ” เดโวโล่รีบเข้ามาห้ามมวยของคนทั้งคู่ ที่เจอกันทีไรเป็นต้องทะเลาะกันทุกครั้ง

            “ใครบอกว่าจะจ่ายให้” โลกูลิสพูดออกมาทันที

            “นี่พวกเจ้าไปดูประกาศการแข่งขันที่จะจัดขึ้นหรือยัง” พิราเต้ชวนเปลี่ยนเรื่องคุยบ้าง

            “คงได้ดูหรอกมั้ง ก็มัวแต่เดินเที่ยวแบบนี้ไง” หนุ่มปากกรรไกรยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ

            “พวกข้ารู้หรอกว่าต้องทำอะไรก่อนหลังน่ะ หัดให้เกียรติกันซะบ้าง!” ดิโมล่าอดไม่ได้ก็แหวใส่อีกครั้ง

            “พวกเราไปดูมาแล้วล่ะ ดูเสร็จถึงค่อยมาเดินเที่ยว ส่วนเรื่องของที่อยากได้ พวกเจ้าไม่ต้องออก                 ให้หรอก แค่เอาเงินพวกเราที่อยู่กับพวกเจ้ามาให้ก็พอแล้ว” อินแชนดี้อธิบายด้วยน้ำเสียงปกติ เธอจำได้แม่นว่าตอนโดนจับตัวมาที่ค่าย พวกจอมโจรทะเลทรายทิศใต้ยึดข้าวของอะไรไปบ้าง

            “เงินของพวกเจ้าหรือ?” เดโวโล่นึกไม่ออก เพราะเรื่องมันก็นานมาพอสมควรแล้ว

            แต่ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีมรกตกลับก้าวขึ้นมาข้างหน้า พร้อมล้วงถุงเงินในเสื้อส่งให้เด็กสาว

            “ขอบใจ” อินแชนดี้กล่าวตามมารยาท

            “แต่เงินแค่นั้นคงใช้ได้จำกัด ถ้าอยากได้อะไรให้พวกข้าออกแทนเถอะ แล้วเก็บเงินนั้นไว้ใช้ใน                  ยามจำเป็นจะดีกว่า” อาสตาร์ออกความเห็น

            ฝ่ายอินแชนดี้ยังไม่ตอบอะไร ในใจรู้สึกไม่อยากรบกวนพวกหนุ่มๆเกินความจำเป็น แต่ก็แย้งไม่ได้กับเหตุผลของอีกฝ่าย

            “ก็ดีเหมือนกันนะ ข้าว่าเก็บเงินนั้นไว้ในกรณีฉุกเฉินจะดีกว่า” แล้วแวมไพร์ที่ยืนเงียบอยู่ครู่ก็เอ่ยขึ้น

            “เอลเห็นด้วยกับไพร์นะ” เอลลิก้าที่ไม่ค่อยพูดหากอยู่ต่อหน้าคนอื่นเอ่ยสมทบ เพราะมองออกว่า  อินแชนดี้กำลังคิดอะไรอยู่

            “จริง จริง ข้าก็เห็นด้วยนะ” ฟาร์เน่เสริมอีกคน

            “เอางั้นก็ได้ ถ้าพวกเจ้าไม่ขัดข้องอะไร” อินแชนดี้กล่าว

            “ข้าก็อยากได้เจ้าค่ะท่านอาสตาร์ ซื้อให้ข้าบ้างสิเจ้าคะ” ปาปาที่ยืนฟังอยู่นานในที่สุดก็อดแย่งซีน พวกสาวๆที่เหลือไม่ได้ รีบทำเสียงอ่อนเสียงหวานใส่ชายหนุ่มทันทีเมื่อได้โอกาส

            “สตอเบอแหล” แวมไพร์เห็นท่าทีอย่างนั้นของปาปาจึงว่าให้ด้วยความหมั่นไส้

            “อะไรนะ” คนถูกว่าได้ยินทว่าไม่รู้ความหมายก็หันมาถาม

            “ไม่รู้จักหรือ สตอเบอแหล น่ะ เหมาะกับเจ้าที่สุดเลยนะ” แวมไพร์ลองถามดู หากอีกฝ่ายไม่รู้จริงๆจะได้หลอกด่าถนัดๆหน่อย คงสนุกดีพิลึก

            “ข้าไม่เคยได้ยิน เจ้าแอบว่าอะไรข้าหรือเปล่า” ปาปาไม่ไว้วางใจ

            “ฮ่ะๆๆ” ฟาร์เน่หัวเราะ เหลือบมองเพื่อนอย่างรู้ทัน

            “เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำเรียกผลไม้รสอร่อยที่บ้านของพวกข้าชอบกินกันน่ะ พวกผู้หญิงที่นั่นนิยมมากเลยนะ” ดิโมล่าอธิบายให้ฟัง นัยน์ตาระยิบระยับซ่อนรอยขบขันไว้แทบไม่มิด

            หลานสาวลุงหมอใจดีมองห้าสาวตรงหน้าอย่างไม่ไว้วางใจ ก่อนจะหันไปถามห้าหนุ่มที่เหลือดู

            “จริงหรือเจ้าคะพวกท่าน”

            “ก็ไม่ได้พูดผิดหรอก” โลกูลิสช่วยยืนยันตบท้าย

  “เอลไม่อยากได้อะไรเหมือนคนอื่นบ้างหรือ”พิราเต้ถาม

  “ไม่เป็นไรค่ะคุณเต้”เอลลิก้าปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ก่อนจะเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาหา

  “มาทางนี้ดีกว่า ฉันอยากซื้อให้”เขายิ้มกว้าง พลางคว้าข้อมืออีกฝ่ายเดินออกมาจากวงอย่างถือวิสาสะ ท่ามกลางสายตาหลายคู่ของอีกเก้าคนที่เหลือ

  “ท่านฮันเตอร์ งั้นเราก็ไปบ้างเถอะ ทางนั้นมีอะไรเยอะแยะเลย” จู่ๆ แวมไพร์ก็นึกอุตริอะไรขึ้นมาไม่ทราบ เข้าไปกอดแขนเจ้าของใบหน้าเฉยเมยอย่างสนิทสนม แล้วกึ่งลากให้เดินไปยังทิศทางที่ตนชี้บอกด้วยใบหน้ายิ้มร่า

  “คุณล่ะครับ อยากได้อะไรไหม”เดโวโล่หันไปถามฟารร์เน่บ้าง

  “ขอเดินดูอีกทีก่อนแล้วกันค่ะ”

  “ได้ครับ งั้นผมเดินไปด้วยแล้วกัน คุณอยากได้อะไรจะได้ไม่ต้องเดินย้อนมาหาผม”เขาบอกอย่างใจดี

            หลังจากอีกคู่พากันแยกวงไป โลกูลิสก็ควักถุงเงินจากอกเสื้อยื่นมาตรงหน้าดิโมล่าด้วยสีหน้า                  ไม่ค่อยเต็มใจนัก

สารบัญ / นำทาง

ความคิดเห็น

รูปภาพของ พิทักษ์ภัยภูมิ

เปิดขายราคาถูกไปครับไรต์

ขายแพงอีกหน่อยก็ได้คร้าบ

รูปภาพของ Khrongjai-mettpiroon

ความเห็นน่าร้ากมากค่ะ 55 แต่ด้วยความที่ส่วนตัวเห็นว่าตอนนี้ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ ประกอบกับอยู่ในช่วงแต่งใหม่ๆ จึงยังไม่ได้รีไรท์สมบูรณ์นัก ก็เลยลดราคาให้รีดนิดหนึ่ง พอรีไรท์เรียบร้อยก็จะตั้งในราคาปกติแล้วค่ะ แต่คนที่ซื้อช่วงนี้ก็ไม่ต้องซื้อใหม่แล้วแหละ ถ้าอยากสนับสนุนกันเพิ่มเติมสามารถตามไปโดเนทตอนลงในRawได้นะคะ แฮ่ <3<3
#ขอบคุณคอมเม้นท์ดีๆที่ทำให้ใจฟูค่า :D

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.