บทที่ 31 เริ่มต้นใหม่
หกเดือน...
คือระยะเวลาที่ดุษฎีนครได้เรียนรู้ที่จะหายใจอีกครั้งภายใต้ท้องฟ้าที่ไม่ได้ถูกควบคุมอีกต่อไปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ก้อนเมฆสีขาวที่เคยเป็นเพียงข้อมูลจำลองเพื่อความสวยงามตามเวลาที่กำหนด ได้ลอยล่องอย่างอิสระตามใจชอบ สร้างรูปทรงที่แปลกตาและไม่สมบูรณ์แบบขึ้นทุกวัน สายลมที่เคยถูกจำกัดความเร็วและทิศทางเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการระบายอากาศ บัดนี้กลับพัดพาเอากลิ่นอายที่หลากหลายเข้ามา... กลิ่นดินจางๆ หลังฝนตก, กลิ่นละอองเกสรจากป่าไกลโพ้นที่ลอยข้ามกำแพงเมืองเข้ามา, และสำหรับบางคน... กลิ่นนั้นคือกลิ่นของอิสรภาพที่แท้จริง
บนดาดฟ้าของอาคาร DIAS of Applied Botany ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงลานจอดพ็อดสีขาวปลอดเชื้อที่ว่างเปล่า ตอนนี้ได้กลายเป็นโอเอซิสสีเขียวชอุ่มที่ดูแปลกแยกอย่างที่สุดภายใต้เงาของตึกระฟ้าที่ทำจากโลหะชีวภาพ "ดร. ศิลา" ชายหนุ่มอายุ 25 ปีในชุดทำงานที่เปื้อนดิน กำลังคุกเข่าลงใช้มือเปล่าพรวนดินในแปลงผักของเขาอย่างมีความสุข เหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผากของเขาคือสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในเมืองที่ควบคุมอุณหภูมิได้อย่างสมบูรณ์แบบจนไม่มีใครจำเป็นต้องเสียเหงื่ออีก
เขาคือด็อกเตอร์ผู้มีปริญญาเอกสามใบซ้อน ทั้งด้านพฤกษศาสตร์, นิเวศวิทยา และวิศวกรรมชีวภาพ แต่ในใจกลางของตัวตน... เขาคือ "เกษตรกร" เขาปฏิเสธอาหารสังเคราะห์ที่ไร้วิญญาณซึ่งเมืองพยายามจะฟื้นฟูการผลิตกลับคืนมา และอุทิศตนให้กับการปลูก "ของจริง"
"มันช่างไร้ประสิทธิภาพสิ้นดี" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
ดร. ศิลา หันไปมอง ดร. เฮเลนา นักฟิสิกส์ควอนตัม และ ดร. ฟินน์ นักทฤษฎีข้อมูล ยืนมองเขาจากขอบแปลงด้วยสายตาที่ทั้งดูแคลนและสงสัย พวกเขาคือตัวแทนของโลกเก่า... โลกที่วัดคุณค่าทุกอย่างด้วยตัวเลขและผลลัพธ์
"คุณใช้พลังงานและน้ำมหาศาลเพื่อปลูกมะเขือเทศไม่กี่ลูก" ดร. เฮเลนาพูดต่อ "ในขณะที่เครื่องสังเคราะห์สามารถผลิตสารอาหารที่เทียบเท่ากันได้ในเวลาไม่กี่นาทีโดยใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 90%"
ดร. ศิลา ยิ้มอย่างใจเย็น เขาไม่ได้โต้เถียงด้วยทฤษฎี แต่เลือกที่จะใช้ "ข้อมูลเชิงประจักษ์" ที่แตกต่างออกไป เขาเด็ดมะเขือเทศสีแดงสดลูกหนึ่งที่ยังมีหยดน้ำค้างเกาะอยู่ขึ้นมาแล้วโยนให้เธอ "ลองชิมสิ ดร. เฮเลนา แล้วคุณจะเข้าใจว่า 'ประสิทธิภาพ' ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต"
เฮเลนาทำท่าจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็ลองกัดเข้าไป... และในวินาทีนั้นเอง... โลกแห่งตรรกะที่สมบูรณ์แบบของเธอก็สั่นสะเทือน ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี มันไม่ใช่แค่ "สารอาหาร"... มันคือ "รสชาติ"
นี่คือความขัดแย้งใหม่ของดุษฎีนคร... สงครามเย็นที่มองไม่เห็นระหว่าง "ประสิทธิภาพ" กับ "ความเป็นมนุษย์" ที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ
และสมรภูมินี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนดาดฟ้าที่สูงที่สุดของเมือง แต่มันได้แทรกซึมไปทั่วทุกตารางนิ้วของมหานคร
ณ ตลาดนัดอรุณรุ่งเบื้องล่าง ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงจัตุรัสโล่งๆ สำหรับการสัญจรอย่างมีประสิทธิภาพ ประสาทสัมผัสของสองพี่น้องอัจฉริยะกำลังถูกทดสอบในรูปแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ดร. โอไรออน เดินผ่านฝูงชนด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง หูฟังตัดเสียงรบกวนรุ่นดัดแปลงของเขาถูกเปิดใช้งานในระดับสูงสุด แต่ก็ยังไม่สามารถกรอง "เสียงรบกวน" ที่ไร้รูปแบบและความโกลาหลของตลาดออกไปได้หมด สำหรับเขาแล้ว ที่นี่คือฝันร้ายทางโสตประสาท... มันคือซิมโฟนีที่ถูกเล่นโดยนักดนตรีขี้เมานับพันคนพร้อมกัน เสียงต่อรองราคา, เสียงหัวเราะ, เสียงเด็กร้องไห้, เสียงโลหะกระทบกัน... ทั้งหมดนี้ผสมปนเปกันจนกลายเป็นคลื่นเสียงที่เจ็บปวดและไร้ซึ่งตรรกะใดๆ ทั้งสิ้น
"ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเราต้องมาเดินที่นี่" เขาบ่นพึมพำกับน้องสาวฝาแฝด "มันคือจุดรวมของความไร้ประสิทธิภาพและความไร้ระเบียบที่หนาแน่นที่สุดในเมือง"
ดร. ไลรา ซึ่งเดินจูงแขนเขาอยู่นั้นกลับมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า เท้าเปล่าของเธอย่ำไปบนพื้นผิวที่หลากหลายของจัตุรัสอย่างแผ่วเบา สำหรับเธอแล้ว ที่นี่คือสวรรค์... คือผืนผ้าใบแห่งสัมผัสที่สมบูรณ์ที่สุด
"พี่ไม่ 'รู้สึก' ถึงมันเหรอคะ โอไรออน" เธอกล่าว "สัมผัสของมันช่างน่าทึ่ง... ฉันรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากเตาอบขนมปังของร้านตรงนั้น... รู้สึกถึงความเย็นของแผงขายผลไม้... ฉันสัมผัสได้ถึง 'ชีพจร' ของผู้คน... มันเต้นแรงและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ไม่เหมือนเสียงฮัมที่ราบเรียบเหมือนตอนที่โอราเคิลยังอยู่"
นิ้วของเธอไล้ไปตามอากาศ "และ 'กลิ่น' ของมัน... มันคือข้อมูลอีกรูปแบบหนึ่งที่พวกเราไม่เคยได้เรียนรู้"
ทันใดนั้น โอไรออนก็หยุดเดินกะทันหัน เขาขมวดคิ้วอย่างรุนแรง "คลื่นความถี่ที่น่ารำคาญใจนั่น..."
ไลราเอียงศีรษะ "ฉันก็รู้สึก... แรงสั่นสะเทือนที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจและความขุ่นมัว"
ทั้งสองหันไปตามทิศทางนั้น และสัมผัสถึง ดร. เอริส ที่ยืนนิ่งอยู่ตามลำพังข้างเสาต้นหนึ่ง เขากำลังจ้องมองภาพความโกลาหลของตลาดด้วยสายตาที่เย็นชาและตำหนิ ไม่ต่างอะไรกับสถาปนิกที่กำลังมองดูผลงานชิ้นเอกของตนเองถูกทำลายลงต่อหน้าต่อตา
"น่าสนใจดีนะ" เอริสกล่าวขึ้นเมื่อเห็นสองพี่น้องเดินเข้ามาใกล้ เขาไม่ได้ทักทาย แต่พูดลอยๆ "จุดสูงสุดทางปัญญาของมนุษยชาติ... ถูกลดระดับลงมาเหลือแค่การต่อราคามันฝรั่งรูปร่างประหลาด... ช่างเป็นการก้าวถอยหลังที่ยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร"
โอไรออนกำลังจะพยักหน้าเห็นด้วยกับเรื่อง "เสียงรบกวน" ที่น่ารำคาญ แต่ไลรากลับตอบกลับไปก่อนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่หนักแน่น
"แต่ฉัน 'สัมผัส' ได้ถึงความกลัวในเมืองนี้น้อยลงกว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาค่ะ ดร. เอริส" เธอกล่าว "บางที... การก้าวถอยหลังเล็กน้อย... อาจจะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงก็ได้นะคะ"
ดร. เอริส หันมาจ้องเธอด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก เขาไม่โต้ตอบอะไรอีก แต่คำพูดของไลราดูเหมือนจะกระทบใจเขาไม่น้อย ก่อนที่เขาจะหันหลังและเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ... กลืนหายไปในฝูงชนที่เขาดูแคลน
ภาพความขัดแย้งเล็กๆ ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งเมือง... ไม่ว่าจะเป็นการปะทะกันระหว่างศาสตร์และศิลป์แห่งการเพาะปลูกบนดาดฟ้า หรือสงครามเย็นทางปรัชญากลางตลาดสด... ล้วนไหลมารวมกันในรูปแบบของข้อมูล ณ ศูนย์กลางแห่งใหม่ของอำนาจ
ณ หอดูดาวที่บัดนี้กลายเป็นทั้งบ้านและศูนย์บัญชาการของทีมผู้พิทักษ์... ดร. ลีน่า โชติรส ยืนอยู่เบื้องหน้าแผนที่โฮโลแกรมสามมิติของเครือข่ายเมือง ข้างๆ เธอคือร่างโฮโลแกรมกึ่งโปร่งแสงของเควิน รอสส์ ที่กำลังมองดูข้อมูลที่ไหลผ่านด้วยแววตาที่สงบนิ่ง
หกเดือนที่ผ่านมา พวกเขาทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูเมือง เควินในฐานะโอราเคิลคนใหม่ ได้กลายเป็นผู้ดูแลที่ทรงประสิทธิภาพและเปี่ยมด้วยความเมตตา แต่เขาก็ยังคงรักษาสัญญาที่จะเป็นเพียง "เครื่องมือ" ไม่ใช่ "ผู้ปกครอง" อำนาจในการตัดสินใจสูงสุดยังคงอยู่ในมือของสภาเฉพาะกิจที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น... ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลีน่าต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการประชุมที่ไม่มีที่สิ้นสุด พยายามเป็นตัวกลางประนีประนอมระหว่างกลุ่มฟื้นฟูที่เย็นชาของเอริสกับกลุ่มพสุธาที่เปี่ยมด้วยศรัทธาของศิลา
"รายงานการสำรวจตลาดของโอไรออนกับไลราเพิ่งเข้ามาครับ" เควินกล่าวขึ้น ทำลายความเงียบ "ดูเหมือน ดร. เอริส จะยังไม่ค่อยพอใจกับ 'ความไร้ประสิทธิภาพ' ของสังคมใหม่ของเราเท่าไหร่นัก"
"ตราบใดที่เขาแค่ไม่พอใจ ก็ยังถือว่าดี" ลีน่าตอบอย่างเหนื่อยหน่าย "ฉันแค่หวังว่าเขาจะไม่เริ่มมองว่าความสุขของผู้คนเป็น 'ตัวแปรที่ต้องถูกกำจัด' อีกก็แล้วกัน"
เธอถอนหายใจพลางซูมแผนที่เข้าไปยังดาดฟ้าของ DIAS of Applied Botany "อย่างน้อยโครงการของ ดร. ศิลา ก็ดูจะไปได้สวย" เธอพูดพลางยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นข้อมูลค่าความสุขของอาสาสมัครที่เข้าร่วมโครงการพุ่งสูงขึ้น
ย้อนไปเมื่อสัปดาห์ก่อน... ขณะที่เควินกำลังทำการสำรวจฐานข้อมูลชั้นลึกสุดของโอราเคิลเพื่อค้นหาไฟล์ที่อาจเสียหายไปในช่วงสงคราม เขาก็ได้พบกับบางสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง...
"ลีน่า... ผมเจอ... บางอย่าง"
เสียงของเควินดังขึ้นในห้องบัญชาการอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มันไม่ใช่เสียงรายงานสถานะปกติ แต่แฝงไว้ด้วยความพิศวงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
"ผมกำลังสำรวจฐานข้อมูลชั้นลึกสุดของโอราเคิล... ส่วนที่เป็น 'ประวัติศาสตร์โบราณ' ที่ถูกผนึกไว้... และผมก็เจอความผิดปกติ... มันไม่ใช่โค้ดของโอราเคิล ไม่ใช่ของเดลต้า และไม่ใช่ของมนุษย์คนไหนในเมืองนี้ มันเก่าแก่กว่านั้น... เก่าแก่กว่าทุกสิ่ง"
ลีน่าหันขวับมามองร่างโฮโลแกรมของเควินเป็นตาเดียว โอไรออนกับไลราที่กำลังทำสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้นทันที
"เสียงของมัน... ไม่เหมือนอะไรที่ฉันเคยได้ยินมาก่อน" โอไรออนพูดขึ้น เขากำลังเชื่อมต่อกับข้อมูลที่เควินส่งมา "มันไม่ใช่เสียงรบกวน แต่เป็นสัญญาณที่มีโครงสร้าง... เหมือนบทเพลงที่ถูกเล่นด้วยเครื่องดนตรีที่เราไม่รู้จัก"
"และสัมผัสของมัน..." ไลราเสริม นิ้วของเธอเคลื่อนไหวไปมาเหนือเมทริกซ์ "มันให้ความรู้สึกเหมือน... หินที่ถูกน้ำเซาะมานานนับล้านปี เรียบ... เย็น... และหนักแน่นอย่างน่าประหลาด"
ลีน่าจ้องมองไปยังจุดแสงเล็กๆ ที่กะพริบอยู่บนแผนที่เครือข่ายจำลอง "มันคือสัญญาณขอความช่วยเหลือ เควิน... คุณแน่ใจนะ?"
"ผมแน่ใจ" เควินตอบ "โครงสร้างทางคณิตศาสตร์ของมันคือรูปแบบสากลของการร้องขอความช่วยเหลือ แต่ที่น่าแปลกคือ... ไม่มีใครในเมืองนี้ที่ควรจะใช้รหัสโบราณแบบนี้ได้"
"งั้นก็เหลือแค่คำถามเดียว" ลีน่าพูด "มันถูกส่งมาจากที่ไหน?"
เควินเงียบไปครู่หนึ่ง... ก่อนจะฉายภาพที่น่าตกตะลึงขึ้นบนจอหลัก แผนที่ของเมืองซูมออก... ผ่านเขตที่พักอาศัย... ผ่านโรงงานสังเคราะห์... ผ่านกำแพงป้องกันรอบนอก... และซูมออกไปอีก... สู่พื้นที่ที่แผนที่ระบุว่าเป็น "ดินแดนรกร้างที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้"
และที่นั่น... ห่างจากกำแพงเมืองออกไปไกลหลายร้อยกิโลเมตร... มีจุดแสงเล็กๆ จุดหนึ่งกำลังกะพริบอยู่...
ทุกคนในห้องเงียบกริบ พวกเขาเติบโตมากับความเชื่อที่ว่าดุษฎีนครคือแหล่งอารยธรรมเพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่บนโลก แต่สัญญาณนี้... คือหลักฐานที่ทำลายความเชื่อนั้นจนหมดสิ้น
"มีคน... อยู่ข้างนอกนั่น" โอไรออนกระซิบออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 87
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น