[เรื่องสยองขวัญ] ผีสิ้นเฮี่ยน...เรื่องเล่าจากคุณปู่
ย้อนไปตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็ก ในช่วงนั้น อำเภอราษีไศลยังไม่เจริญเท่าปัจจุบัน บ้านผมในช่วงนั้น ยังถือว่าอยู่รอบนอกของอำเภอไม่ใช่กลางเมืองเหมือนในวันนี้ ถึงถนนเส้นหน้าบ้านผมจะได้ชื่อว่า ‘ถนนเทศบาลสาม’ ทว่าถนนฝั่งตรงกันข้ามกับตัวบ้านของผม กลับมีแต่ป่ารกรุงรังเต็มไปหมด ในบางวันก็มีทั้งงู มะแลงมีพิษ รวมไปถึงกระต่ายกระรอก หรือแม้กระทั่งบ่าง หรือบางพื้นที่ก็เรียกพุงจงหรือพะจง ปรากฏออกมาให้พบเห็นอยู่บ่อยๆ
ในตอนที่ผมเป็นเด็กนั้น เสียงที่ผมกลัวที่สุดซึ่งมันมักจะดังออกมาจากป่าทำให้ผวาเล่นอยู่เรื่อยก็คือเสียงนกกระปูด เพราะเสียงร้อง 'หึ หึ' ของมันฟังดูเหมือนเสียงหัวเราะของหญิงแก่ไม่น้อยเลย ยิ่งวันไหนที่มีรถผ่านหน้าบ้านน้อย บ้านผมก็จะวังเวงมาก เพราะตรงบริเวณของบ้านและใกล้เคียงมันมีแต่ต้นไม้ใหญ่ที่คอยบดบังแสงแดด ทำให้เกิดเป็นเงาร่มครึ้มเยือกเย็นน่ากลัว
ยิ่งคุณปู่ผมเคยเล่าว่า แต่ก่อน เส้นทางบ้านผม เป็นเส้นทางที่ทะหารสมัยก่อนเขาใช้ในการเดินทัพเพื่อสู้รบกัน ซึ่งในระหว่างการเดินทัพนั้น มันก็จะมีทั้งการสุ้มโจมตี หรือการเจ็บป่วย ถ้าหากเกิดการบาดเจ็บล้มตายระหว่างการเดินทัพ ก็จะฝังเสียที่นั่นเลย ดังนั้นใต้ดินบริเวณนี้จึงอาจจะมีทั้งศพทะหารไทยและลาวถูกกลบฝังเอาไว้ ซึ่งปู่บอกว่าแถวนี้เขาเรียกกันว่า 'ทางผีผ่าน'
ห่างจากบ้านผมไปไม่ใกลเท่าไหร่ ซึ่งถ้าเดินท้าวก็น่าจะใช้เวลาประมาณสิบห้านาที ตรงนั้นจะมีสุสานคนจีนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ละแวกนั้นไม่ค่อยมีบ้านคนอยู่เลย เมื่อผมมีโอกาสได้ผ่านไปแถวนั้นตอนกลางคืนทีไร ก็ให้รู้สึกเสียวสันหลังทุกที เพราะช่วงกลางคืน แถวนั้นจะวังเวงมาก ถึงจะมีเสาไฟตั้งห่างอยู่เป็นระยะก็ตาม
มีอยู่วันหนึ่ง พี่ชายที่เป็นลูกของลุงผมก็มาขอพักด้วย โดยพี่แกมาพร้อมเพื่อนอีกหนึ่งคน โดยพี่ผมชื่อเก่ง ส่วนเพื่อนอีกคนชื่อแค้ม ซึ่งเหตุผลที่มาพักผมก็จำไม่ได้แล้ว รู้แค่ว่าตอนนั้นคนทั้งคู่มีอายุประมาณสิบแปดย่างสิบเก้าได้
ตกค่ำ คนในบ้านผมก็นั่งกินข้าวพูดคุยดูทีวีกันไปตามประสาชาวบ้าน เรื่องเที่ยวร้านเหล้าเหมือนสมัยนี้นั้นหาได้ยาก เพราะในตัวอำเภอไม่มีร้านไหนเขาเปิดจนดึกดื่นกันหรอก
ภายหลังกินเสร็จ ไม่ทราบเพราะเหตุผลกลใด พี่เก่งกับพี่แค้มจึงไม่ยอมนอนในบ้าน แต่เลือกที่จะพากันไปนอนที่โรงจอดรถสิบล้อแทน จริงๆ โรงจอดรถก็ไม่ใช่ของครอบครัวผม แต่ก็เป็นญาติกัน พื้นที่โรงรถกับบ้านก็อยู่ชิดติดกัน ดังนั้นจึงสามารถใช้สอยพื้นที่กันได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่เหมือนคนทุกวันนี้ เอะอะก็ให้เช่าลูกเดียว
คืนนั้นไม่มีรถจอดอยู่เลยสักคัน จึงทำให้พื้นที่โรงรถแลดูกว้างขวางมาก ถัดเข้าไปข้างในจะมีห้องอยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งทำเอาไว้เป็นที่พักชั่วคราวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ จุดที่น่านอนก็คือห้องนี้มีหน้าต่างไม้หลายบาน เมื่อเปิดออกก็จะมีลมเย็นๆ พัดเข้ามาอยู่ไม่ขาดทำให้พักผ่อนได้อย่างสบาย พอผมและพ่อแม่ช่วยกันจัดแจงที่หลับที่นอนให้กับพี่ทั้งสองคนแล้วก็พากันกลับเข้าบ้าน
คืนนั้นอากาศเย็นสบาย ลมเอื่อยเฉื่อยพัดมาแผ่วๆ ทำให้เผลอหลับได้ไม่ยาก...ทว่าเมื่อกลางดึกของคืนนั้นก็จำต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงตะโกนโหวกเหวกของพี่ทั้งสองที่นอนอยู่ตรงโรงรถ พ่อแม่และผมต่างก็รีบวิ่งออกมาดูอย่างฉุกละหุกระคนไปกับความตระหนกเพราะกลัวมีใครเป็นอะไร
เมื่อวิ่งไปจนถึงที่โรงรถอันเป็นจุดเกิดเหตุ ก็เจอพี่เก่งและพี่แค้มยืนชี้มือชีไม้ไปทางหนึ่งพลางตะโกนละล่ำละลัก “ดูสิๆ นั่นใคร ผู้หญิงชุดขาวนั่นน่ะ” พี่เก่งร้องตะโกนพลางชี้ให้ดู
พ่อแม่และผมหันมองตาม เนื่องจากในช่วงนั้นมันมืดมองอะไรแทบไม่เห็น แต่ก็ยังพอสังเกตได้ว่า มีหลังไวๆ ของใครคนหนึ่งวิ่งไปทางสวนกล้วยหลังบ้าน
ปู่ผมซึ่งไม่รู้ว่าท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือของท่านถือดาบไทยเล่มยาวเอาไว้ในมือ เพราะในตอนนั้นท่านคิดว่ามันต้องเป็นโจรอย่างแน่นอน ท่านออกวิ่งนำหน้า โดยมีคนอื่นๆ ที่เหลือวิ่งตามไปติดๆ น่าแปลกที่คนชุดขาวเคลื่อนร่างไปได้รวดเร็วมากทั้งที่แทบมองอะไรไม่เห็นเช่นนี้ ขนาดพวกผมว่าคุ้นชินที่ทางในบ้านตัวเอง ยังตามกันแทบไม่ทัน
“เสร็จกูละมึง!” ปู่ผมร้องขึ้น เพราะทางที่ร่างชุดขาวกำลังมุ่งไปมันมีครองน้ำขนาดกว้างนับสองเมตรกั้นขวางอยู่ หากคนไม่ชินทางแล้วละก็ ความเร็วจะต้องตกลงเป็นแน่แท้
เป็นไปตามคาด เมื่อร่างนั้นวิ่งไปถึงครองแล้วหยุดชะงักลงที่ตรงนั้น ปู่วิ่งไปถึงเป็นคนแรก พ่อผมเป็นคนที่สองแล้วค่อยตามด้วยคนอื่นๆ
“มึงเป็นใคร?” ปู่ผมถามขึ้น ดาบในมือยังกำแน่นอย่างระวังภัย
เมื่อผมเข้าไปใกล้ได้ระยะหนึ่ง จึงพอสังเกตได้ว่า ร่างนั้นเป็นหญิงแก่คนหนึ่ง หญิงชราใส่ชุดขาวทั้งตัว ในส่วนของชุดช่วงล่างไม่ค่อยยาวเท่าไหร่
หญิงชรายืนนิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบ ปู่จึงถามอีกครั้ง “บอกกูมาว่ามึงเป็นใคร แล้วเข้ามาทำอะไรในบ้านหลังนี้?”
ร่างในชุดขาวยังเงียบ ฉับพลันนั้น หญิงแก่ก็สะกิดท้าวกับพื้นดินเบาๆ ทำให้ร่างนั้นลอยขึ้นเหมือนไร้น้ำหนัก ก่อนจะข้ามพ้นครองน้ำไปอย่างง่ายดาย ทุกคนได้แต่ยืนอึ้ง ทำแบบนี้ได้มันน่าจะไม่ใช่คนแล้ว
ปู่ไม่ยอมลดละ ท่านรีบวิ่งไปยังลำต้นไม้ที่นอนพาดครองอยู่ ท่านกระโดดขึ้นไปว่องวัยเหมือนคนหนุ่ม แล้วข้ามครองน้ำตามร่างหญิงชราลึกลับไป เนื่องจากพ่อผมเป็นห่วงปู่ จึงค่อยๆ ไต่ลำต้นไม้ตามปู่ไปอย่างระวังเพราะไม่คร่องมากนัก
ผมและคนที่เหลือได้แต่มองตาม เพราะไม่มีใครกล้าไต่ข้ามไป เพราะกลัวตกน้ำ จึงทำได้เพียงรออยู่กับที่
ไม่นานนัก ปู่และพ่อก็เดินกลับมา “ตามทันหรือเปล่าครับ?” พี่แค้มถามปู่
“ตามทัน” ปู่ตอบ จากนั้นก็เล่าเรื่องราวให้พวกผมฟังว่า พอข้ามครองไปได้แล้ว ปู่ก็เร่งฝีท้าวเร็วขึ้นอีก เนื่องเพราะปู่เคยเป็นพ่อค้าควาย หรือที่มักเรียกกันว่านายฮ้อยเก่ามาก่อน ดังนั้นเรื่องการเดินให้เร็วไม่ใช่เรื่องยาก กว่าจะตามทันก็เกือบไปถึงถนนอีกเส้นหนึ่ง ซึ่งถนนเส้นนั้นสามารถตรงไปยังสุสานคนจีนได้
เมื่อตามทัน ปู่จึงถามอีกครั้งว่าหญิงชราเป็นใครและมาจากไหนมาทำไม หญิงชราเห็นปู่วิ่งถือดาบมาขวางหน้าเอาไว้ ดังนั้นจึงยอมตอบโดยดีว่า เธอมาจากที่อื่น ว่าจะมาเยี่ยมหลานแต่หลงทาง ดังนั้นจึงเผลอเดินเข้ามา พอได้เห็นเด็กชายสองคนนอนอยู่ จึงนึกว่าหลานตัวเอง เลยดูให้ชัดเท่านั้น เมื่อตอบเสร็จ เธอก็เดินหลบออกด้านข้างปู่ แล้ววิ่งหายไปทางสุสานจีน
“ปู่คิดว่ามันคงเป็นผีสิ้นเฮี่ยนแน่ ดีนะไม่มีใครเป็นอะไร แล้วพวกเอ็งไปเห็นมันได้ยังไง?” ปู่ถามพี่เก่งและพี่แค้ม
คนทั้งคู่จึงช่วยกันเล่าว่า ระหว่างที่กำลังหลับนั้น จู่ๆ พี่เก่งก็รู้สึกตัวขึ้นมา ด้วยอากาศมันเย็น ก็เลยจะลุกไปปิดหน้าต่างสักบานเพื่อให้อุ่มขึ้น พอหันไปมองทางหน้าต่างเท่านั้นแหละ ก็ได้พบกับหญิงชราคนหนึ่งกำลังยื่นหน้าเข้ามามอง พี่เก่งตกใจมาก จึงเผลอตะโกนเสียงดังทำให้พี่แค้มตื่น หญิงชราหดหน้ากลับออกจากหน้าต่างไป ก่อนจะรีบวิ่งหนี แล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ทุกคนเห็น
- 👁️ ยอดวิว 4552
แสดงความคิดเห็น