บทที่ 460: ไม่ได้ถูกวางยาพิษ ไม่ใช่กู่
“หืม?” มู่ไป๋ไป่ก้มลงมองตามสายตาของเซียวถังอี้ด้วยความสับสน ก่อนที่เธอจะสบตากับเต่าชราและเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ท่านตามข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ทำไมเธอถึงไม่สังเกตเห็นมันเลย?
“ในตอนที่พวกเจ้ากำลังหารือว่าจะตรวจชีพจรของฝ่าบาท” เต่าอาวุโสเอนกายลงบนไหล่ของหญิงสาวด้วยท่าทางเหมือนกับว่าตัวเองเป็นหัวหน้าคอยสั่งการลูกน้อง “หากเกิดอะไรขึ้นกับผู้ปกครองแคว้น มันจะส่งผลกระทบต่อชะตากรรมของเป่ยหลง แน่นอนว่าเต่าตัวนี้จะต้องตามมาดูเสียหน่อย”
“ท่านปู่เต่า… ท่านอย่าเพิ่งมาวุ่นวายในเวลาเช่นนี้ได้หรือไม่!” มู่ไป๋ไป่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที “แล้วถ้าท่านบังเอิญหล่นลงไปแล้วถูกเหยียบเข้าล่ะ?”
“เป็นไปไม่ได้” เต่าสูงวัยโต้เถียงด้วยความไม่พอใจ “เต่าตัวนี้เป็นสัตว์ที่มีวาสนาดีมาก ไม่มีทางที่จะเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นหรอก”
“แต่ถ้าเจ้าพาข้าไปด้วย ทุกอย่างก็จะราบรื่น”
“หา? มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ?” มู่ไป๋ไป่ถามขึ้นมาขณะทำหน้าฉงน
“ไม่เชื่อก็แล้วแต่” เต่าเฒ่าหดหัวกลับเข้าไปในกระดอง แล้วก็เลิกต่อล้อต่อเถียงกับหญิงสาว ซึ่งท่าทางนั้นบ่งบอกว่ามันตั้งใจจะปักหลักอยู่บนไหล่ของเธอจนกว่าเรื่องจะจบ
แล้วเสี่ยวหยินก็ดูเหมือนจะสนใจเต่าสูงวัยตัวนี้มาก มันได้เลื้อยไปตามข้อมือของอาเค่อจนกระทั่งไปบนไหล่ของเขา จากนั้นมันก็ชูคอมองเต่าตัวนั้นเงียบ ๆ
ขณะที่มู่ไป๋ไป่กำลังเป็นกังวลว่าจะทำอย่างไร เซียวถังอี้ก็พูดขึ้นทันทีว่า “เช่นนั้นก็เอามันไปด้วย”
“...” มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้ว สุดท้ายเธอก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “คงเหลือวิธีนี้วิธีเดียวแล้ว”
ในตำหนักตี้เฉินไม่มีสระน้ำ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะกลับไปตำหนักอวี๋ชิงในตอนนี้
“แต่ท่านจะอยู่บนไหล่ของข้าไม่ได้ มันอันตรายเกินไป” หญิงสาวพูดจบแล้วก็คว้าเต่าตัวเล็ก ๆ ออกจากไหล่ก่อนจะใส่มันไว้ในกระเป๋าย่าม “ท่านอยู่ที่นี่เงียบ ๆ ไปก่อนนะ ถ้าเรากลับตำหนักแล้ว ข้าจะเอาเนื้อให้ท่านกิน”
“ข้าอยากกินเนื้อวัว” เต่าชราพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “ข้าอาศัยอยู่ในวังมาตั้งหลายปีไม่เคยได้กินเนื้อวัวเลยสักครั้ง”
มู่ไป๋ไป่ส่ายหัวอย่างขบขัน “ท่านรู้จักวัวด้วยหรือ?”
“ก็ต้องรู้สิ” เต่าเฒ่าตอบออกมาทันควัน “มีสิ่งใดที่เต่าตัวนี้ไม่รู้บ้าง”
ทันทีที่มันพูดจบก็มีเสียงเบา ๆ ดังขึ้นไม่ไกลจากที่นี่
มู่ไป๋ไป่รีบปิดปากแล้วหันไปมองยังที่มาของต้นเสียง
ในความมืด มีเงาหลายร่างกระโดดข้ามหลังคาหายไปในทิศทางของตำหนักตี้เฉิน
มู่ไป๋ไป่รู้ว่านั่นเป็นคนของเซียวถังอี้ที่กำลังลงมือ
“รออยู่ตรงนี้” ชายหนุ่มหันกลับมากระซิบบอกหญิงสาว “แล้วรอรับสัญญาณจากข้า”
นั่นทำให้มู่ไป๋ไป่รู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก ทำให้เธอขยับปลายนิ้วออกไปอย่างไม่รู้ตัว
ในอดีตเมื่อถึงเวลาเช่นนี้ เจ้าส้มจะเข้ามาคลอเคลียให้เธอสัมผัสอยู่สัก 2-3 ครั้งเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
แม้ว่าเจ้าส้มจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เธอก็ยังมีปฏิกิริยาแบบนี้เสมอตอนที่รู้สึกประหม่า
“ท่านจ้าวอสูร ข้ากับเจ้านายจะปกป้องท่านเอง” เสี่ยวหยินที่อยู่ข้างหลังดูเหมือนจะรับรู้ถึงอารมณ์ของมู่ไป๋ไป่ มันจึงแลบลิ้นออกมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่ได้กังวลอะไรทั้งนั้น!” หญิงสาวกระแอมในลำคอเบา ๆ พร้อมกับขมวดคิ้วมองร่างสูงตรงหน้าเพื่อเร่งให้เขาออกไป
“ท่านรีบไปเถอะ คนของท่านพ่ออาจจะกลับมาเร็ว ๆ นี้”
มู่ไป๋ไป่คล้ายเห็นว่าเซียวถังอี้กำลังหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่เธอจะทันได้ถามอะไร เขาก็หายตัวไปที่ตำหนักตี้เฉิน
จากนั้นเธอกับอาเค่อก็นั่งหมอบอยู่บนพื้นพลางจ้องไปที่ตำหนักตี้เฉินเพื่อรอสัญญาณจากชายหนุ่ม
เธอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงนกร้อง
มู่ไป๋ไป่จึงรีบสะกิดเรียกอาเค่อที่ยังนั่งนิ่งก่อนจะวิ่งไปที่ตำหนักตี้เฉิน
“เข้ามาสิ” เซียวถังอี้ยืนรออยู่ที่ประตูแต่ไม่เห็นว่าทั้ง 2 คนเดินเข้ามา เขาจึงเปิดทางให้พวกนางเข้ามาด้านใน
“เสร็จแล้วหรือ?” มู่ไป๋ไป่ยังคงหอบหายใจพลางเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงกว่า แต่เธอไม่เห็นวี่แววของมู่เทียนฉงเลย
“ใช่” ชายหนุ่มพยักหน้า “เข้ามาก่อนเถอะ เวลาใกล้หมดแล้ว”
หลังจากเซียวถังอี้เอ่ยเตือน หญิงสาวก็เรียกสติตัวเองกลับมาแล้วรีบเข้าไปในตำหนักโดยไม่ลืมหยิบอุปกรณ์ออกมาจากย่าม
ภายในห้องบรรทมของฝ่าบาทนั้นดูเหมือนมีเตาไฟขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งมันอบอุ่นมาก
ทันทีที่มู่ไป๋ไป่เข้ามาในห้อง เธอก็สัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนปะทะใบหน้า เธอจึงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “นี่เพิ่งจะเดือน 10 เอง ทำไมท่านพ่อถึงให้คนตั้งเตาจนทำให้ห้องร้อนขนาดนี้?”
อาเค่อค่อย ๆ ก้าวออกมาจากด้านหลังของหญิงสาวด้วยความสงสัยใคร่รู้ ในขณะที่เสี่ยวหยินรู้สึกหมดแรงนอนแผ่อยู่บนไหล่อาเค่อทันทีเพราะอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ
“ข้าจะให้คนไปตรวจสอบดู” เซียวถังอี้คอยเดินตามมู่ไป๋ไป่ไปอย่างใกล้ชิด “หลังจากที่เสด็จพ่อของเจ้ามีอาการปวดหัว เขาก็มีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย ก่อนหน้านี้เป็นช่วงฤดูร้อน ดังนั้นจึงไม่มีใครทันสังเกตเห็น”
ปวดหัว… หนาวสั่น…
อาการเหล่านี้ถือว่าผิดปกติแน่นอน
ต่อมา มู่ไป๋ไป่รีบเดินเข้าไปข้างในแล้วเห็นมู่เทียนฉงนอนอยู่ที่เตียงโดยมีหมอหลวงนอนฟุบอยู่ที่พื้นด้านข้าง
เขาเป็นหมอหลวงหนุ่มที่ถูกเรียกให้มาจัดยาให้กับมู่จวินเซิ่ง มู่ไป๋ไป่เพียงแค่เหลือบมองผู้ชายคนนี้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อเพื่อตรวจชีพจรให้เขา
จากนั้นเซียวถังอี้ก็ขอให้อาเค่อนำเสี่ยวหยินออกมา
“นี่คือฝ่าบาทหรือ?” ชายหนุ่มก้าวออกมาข้างหน้าอีก 2 ก้าว แล้วเขาก็ยื่นมือปล่อยให้งูเผือกตัวน้อยเลื้อยพันรอบข้อมือไปตรวจสอบอาการของมู่เทียนฉง
เสี่ยวหยินค่อย ๆ แลบลิ้นออกมาตามจังหวะ ก่อนจะเอียงคอราวกับว่ามันกำลังสำรวจว่ามีแมลงที่คุ้นเคยอยู่ในร่างกายของชายตรงหน้าหรือไม่
“แปลก…” เจ้างูน้อยพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจ “ข้าสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่คุ้นเคยจากในร่างกายของคนผู้นี้ มันไม่ใช่แมลง”
ส่วนมู่ไป๋ไป่เองก็ตรวจชีพจรของมู่เทียนฉงและกล่าวว่า “เขาไม่ได้ถูกวางยาพิษเช่นกัน…”
“ไม่ได้ถูกวางยาพิษอย่างนั้นหรือ?” สีหน้าของเซียวถังอี้เคร่งเครียดขึ้น “เจ้าแน่ใจหรือ?”
มู่ไป๋ไป่สูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับความกังวลในใจก่อนจะตอบว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่อยากพูดแบบนี้ แต่ชีพจรของท่านพ่อยังปกติดี”
“แล้วมีแมลงกู่อยู่หรือไม่?” ชายหนุ่มหันไปถามอาเค่อ
คนที่ถูกถามสบตากับมู่ไป๋ไป่ ในไม่ช้าเขาก็ส่ายหัวเบา ๆ “เสี่ยวหยินไม่พบแมลงกู่ในร่างกายของฝ่าบาท”
ทันใดนั้นภายในห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ
เซียวถังอี้หรี่ตาลงทันทีจึงทำให้ไม่มีใครสามารถคาดเดาอารมณ์ในดวงตาของเขาได้
หลังจากชายหนุ่มเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินไปดึงมู่ไป๋ไป่ที่นั่งอยู่บนเตียงขึ้นมา “รีบออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ”
หญิงสาวรู้สึกสับสน เธออยากจะอยู่ต่อเพื่อค้นหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นกับมู่เทียนฉงกันแน่ แต่เธอก็ได้รู้ว่าตอนนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะเวลาหมดลงแล้ว พวกเธอต้องรีบออกจากตำหนักตี้เฉินให้เร็วที่สุด
จากนั้นทั้ง 3 คนก็แอบออกไปเงียบ ๆ เช่นเดียวกับตอนขามา
ไม่นานหลังจากที่พวกเขาออกไป หมอหลวงหนุ่มที่หมดสติอยู่ในตำหนักตี้เฉินก็ฟื้นคืนสติ
เขายกมือขึ้นนวดหลังคอที่รู้สึกปวดร้าวพลางขมวดคิ้วแน่น
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมจู่ ๆ เขาถึงปวดหลังคอขึ้นมาอย่างกะทันหัน?
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้กำลังฝังเข็มให้ฝ่าบาทอยู่หรอกหรือ?
พอชายหนุ่มคิดถึงเรื่องสำคัญที่ตนมาที่นี่ หัวใจของเขาก็หนักอึ้งขึ้น ก่อนที่เขาจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากยืนยันว่าบุคคลที่อยู่บนเตียงหลับสนิทไปแล้ว
คืนนั้นวังหลวงที่ดูสงบสุขกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอยู่ภายใน
มู่ไป๋ไป่กลับมายังตำหนักอวี๋ชิง เธอขี้เกียจเกินกว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องเก็บตำราเพื่อค้นตำราการแพทย์ที่เธอสะสมมาตลอดหลายปี
เธอไม่คิดว่ามู่เทียนฉงจะไม่เป็นอะไรอย่างที่ชีพจรแสดงออกมา
ที่เธอไม่สามารถวินิจฉัยโรคนี้ออกมาได้ คงเป็นเพราะเธอไม่เคยพบเจอโรคเช่นนี้มาก่อนมากกว่า
“องค์หญิง ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนได้หรือไม่?” อาเค่อกับเสี่ยวหยินมีท่าทางไม่ต่างกัน ยามนี้พวกเขาง่วงมากจนตาแทบปิดและเอาแต่อ้าปากห้าวอยู่ตลอดเวลา
ส่วนเซียวถังอี้ก็เหลือบมองมู่ไป๋ไป่ที่อยู่ในห้องตำรา ก่อนจะกระซิบบอกองครักษ์เงาให้ไปส่งอาเค่อที่ห้องพักของตัวเอง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 138
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น