บทที่ 461: เราจะช่วยกันค้นหา

-A A +A

บทที่ 461: เราจะช่วยกันค้นหา

ในช่วงที่มู่ไป๋ไป่ร่ำเรียนในหุบเขาหมอเทวดา เธอรวบรวมตำราแพทย์ไว้มากมาย ทำให้ชั้นวางในห้องเก็บตำราของเธอแทบจะไม่พอเก็บตำราเหล่านั้น จึงมีตำราหลายเล่มที่ถูกวางกองอยู่บนพื้น

หญิงสาวพลิกอ่านตำราแพทย์ในมือทุกหน้า เนื่องจากเธอหันหลังอยู่จึงไม่ทันสังเกตเห็นชั้นวางตำราด้านข้าง

ดังนั้นข้อศอกของเธอจึงกระแทกเข้าใส่มันโดยไม่ตั้งใจ

ก่อนที่เธอจะเห็นคลื่นตำราแพทย์ที่กำลังจะถาโถมเข้าใส่เธอ

ทันใดนั้นมือหนาก็ยื่นมาขวางตำราเอาไว้ไม่ให้ร่วงลงมาใส่หญิงสาว

มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือนั้นด้วยสายตามึนงง และใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ระวังหน่อยสิ” เซียวถังอี้ดึงคนตัวเล็กกว่าออกจากใต้ชั้นวางตำรา จากนั้นก็เก็บตำราที่หล่นลงมาแล้วหันมามองอีกฝ่าย “เจ้าดูจะวิตกมากเกินไปแล้ว”

หญิงสาวเม้มปากที่แห้งผากก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “จะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไรกัน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึง 2 แคว้น ในอีก 2 วัน คนของหนานซวนก็จะมาถึงเป่ยหลงแล้ว ถ้าพวกเขาต้องการจะลงมือกับท่านพ่อในเวลานั้นล่ะ?”

ยิ่งมู่ไป๋ไป่คิดถึงความเป็นไปได้นี้ เธอก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น

แม้ว่าเธอจะพูดอยู่ตลอดว่าท่านพ่อของเธอนั้นไร้หัวใจ แต่มันก็ยังเป็นความจริงที่เขารักเธอมาก

เธอมองมู่เทียนฉงเป็นพ่อของตนมานานแล้ว

ต่อให้ในอนาคตชายคนนั้นจะไม่ได้เอาใจใส่เธอเหมือนเช่นเคย แต่เขาก็ยังเป็นพ่อ เธอไม่สามารถทนนิ่งเฉยปล่อยให้คนของหนานซวนทำร้ายเขาได้จริง ๆ

อีกอย่าง…

มู่เทียนฉงเป็นฮ่องเต้ที่ดี เป็นเพราะเขาที่ทำให้ชาวเป่ยหลงสามารถดำรงชีวิตได้อย่างผาสุกตลอดหลายปีที่ผ่านมา 

ทางด้านเซียวถังอี้ได้แต่มองมู่ไป๋ไป่อยู่เงียบ ๆ โดยไม่ขัดจังหวะอะไรนาง

เนื่องจากหญิงสาวพูดทุกอย่างจบในลมหายใจเดียว นั่นทำให้ความโกรธในใจของเธอบรรเทาลงไปมาก

ไม่กี่อึดใจต่อมา เธอวางตำราแพทย์ที่อยู่ในมือลงอย่างท้อแท้ในขณะที่เธอพูดเสียงอ่อน “ข้าขอโทษ ข้าใจร้อนเกินไป… ข้าก็แค่กังวล”

“ข้ารู้” เซียวถังอี้พูดอย่างใจเย็นก่อนจะหันหน้าไปมองรอบ ๆ ห้องเก็บตำรา “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะสามารถหาเบาะแสได้จากตำราแพทย์พวกนี้?”

มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินคำถามนั้นตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วเธอก็รู้สึกสับสนไม่น้อยว่าเขากำลังต้องการจะสื่อถึงอะไร

“ถ้าเจ้ามั่นใจว่าเราจะสามารถหาเบาะแสจากที่นี่ได้ ข้าก็จะสั่งให้คนมาช่วยเจ้าหา” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับมองลึกเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้า 

หญิงสาวยังคงเหม่อลอยมองเซียวถังอี้นิ่ง ๆ ในตอนที่เธอเป็นเด็ก เธอคิดว่าหน้ากากเงินบนใบหน้าของอีกฝ่ายดูทั้งเย็นชาและน่ากลัว

แต่ตอนนี้ยามที่เธอได้เพ่งมองหน้ากากใบนี้อีกครั้ง เธอกลับรู้สึกอบอุ่นและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก 

“ข้าเองก็ไม่มั่นใจ…” มู่ไป๋ไป่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากก่อนจะตอบออกไปทางตรง “ข้าไม่เคยพบโรคแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน ต้องบอกว่าความมั่นใจของข้ามีเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น”

“คราวที่แล้วท่าน… จวงอี้หรานถูกวางยาพิษ ข้าเองก็ค้นหาวิธีรักษาจากตำราแพทย์พวกนี้ ข้าเลยคิดว่าสถานการณ์ของท่านพ่อก็อาจจะทำเช่นเดียวกันได้”

เซียวถังอี้พยักหน้าตอบรับ “ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นเราก็มาช่วยกันค้นหาดีกว่า”

หลังจากพูดจบเขาก็ไม่รอให้หญิงสาวตอบกลับ เขาได้หยิบตำราแพทย์ขึ้นมาเปิดอ่านทีละหน้า

ปัจจุบันในห้องตำรามีการจุดเทียนมากกว่าห้องอื่น ๆ ทำให้มู่ไป๋ไป่ไม่รู้สึกหนาวเลยแม้จะเป็นเวลากลางคืน กลับกันเธอรู้สึกร้อนกว่าปกติด้วยซ้ำ

หญิงสาวแตะใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเองและพยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปที่ตำราแพทย์

ดังนั้นเมื่อเหล่าองครักษ์เงาที่ไปส่งอาเค่อกลับมา พวกเขาก็พบว่านายท่านของตนกำลังอ่านตำราอยู่ในห้อง ซึ่งมันเป็นภาพที่แปลกตามาก 

ทางด้านชิงหานส่งสายตาให้ซั่วเยว่ พร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสับสน “นายท่านเกลียดการอ่านตำราที่สุดไม่ใช่หรือ?”

ซั่วเยว่เองก็ใช้สายตาตอบกลับอีกฝ่ายไปว่าเขาไม่เข้าใจ แล้วบอกว่าอย่าได้ใส่ใจนักเลย

“ข้าขอถามเจ้าหน่อย” ชิงหานใช้ข้อศอกสะกิดคนข้าง ๆ “เจ้าไม่คิดหรือว่านายท่านทำตัวแปลกประหลาดตั้งแต่เขาถูกวางยาพิษ?”

“หรือว่าพิษหลิวกวงจะสามารถเปลี่ยนนิสัยของคนได้กัน?”

ซั่วเยว่รู้สึกหงุดหงิดกับการเซ้าซี้ของอีกฝ่ายจึงถอนหายใจหนัก ๆ “ชิงหาน ถ้าท่านไม่อยากถูกนายท่านลงโทษอีกก็หุบปากไปซะ”

ชิงหานส่งสายตาประหลาดใจมองคนพูดพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นสูง “ไอ้เด็กนี่ เจ้าคิดว่าตัวเองโตแล้วสินะ ถึงได้แข็งกระด้างแบบนี้ เจ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนั้นได้อย่างไร?”

ชิงหานเป็นผู้อาวุโสที่สุดในบรรดาองครักษ์เงาทั้งหมด เขาจึงได้มีโอกาสดูแลองครักษ์เงาหลาย ๆ คน รวมถึงซั่วเยว่ด้วย

ขณะนี้เนื่องจากซั่วเยว่ถูกคว้าคอเสื้อไปเขย่า เขาจึงรีบร้องขอความเมตตา “พี่ชาย ๆ ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ถ้านายท่านได้ยินเสียงเรา พวกเราจะเดือดร้อนกันทั้งคู่”

“เจ้าอย่าได้คิดใช้นายท่านเป็นโล่” ชิงหานไม่เชื่ออุบายของคนตรงหน้า “นายท่านไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น”

ทันทีที่เขาพูดจบก็มีเมล็ดถั่วสีทองพุ่งแหวกอากาศมาจากทิศทางของห้องเก็บตำรา

ชิงหานกับซั่วเยว่ที่สัมผัสได้ก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วโดยรีบแยกตัวออกจากกัน

ดังนั้นถั่วที่ถูกยิงออกมาจึงไม่โดนพวกเขา แต่มันกลับทะลุผ่านไปโดนต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังแทน

ในชั่วอึดใจ ต้นไม้ได้แตกออกเป็นรูเล็ก ๆ โดยมีเมล็ดถั่วสีทองฝังอยู่ตรงกลาง

“...” เมื่อองครักษ์เงาทั้ง 2 เห็นภาพที่ปรากฏ พวกเขาก็ยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น 

“พวกเจ้า 2 คนเงียบหน่อย” เซียวถังอี้เหลือบมององครักษ์เงาของตนที่กำลังยืนตะลึงอยู่ด้านนอก “ถ้าพวกเจ้าเริ่มทำตัววุ่นวายอีก ก็กลับไปรับโทษด้วยตัวเองซะ”

ชิงหานกับซั่วเยว่สูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกันก่อนจะคุกเข่าขอโทษผู้เป็นนาย

“เอ่อ…” มู่ไป๋ไป่ขยี้ตาที่เริ่มเมื่อยล้าพลางถามว่า “ให้พวกเขาเข้ามาช่วยดีหรือไม่?”

เธอจำได้ว่าทั้งซั่วเยว่กับชิงหานต่างก็รู้อักษร

เมื่อต้องค้นหาข้อมูลในตำรา การมีคนช่วยมากขึ้นเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีเท่านั้น

“พวกเขาน่ะหรือ?” เซียวถังอี้เลิกคิ้วรูปกระบี่ขึ้น หากตั้งใจฟังให้ดีจะสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงหลาย ๆ แบบในประโยคนั้น “ช่างเถอะ พวกเขาไม่มีความอดทน”

“หา?” หญิงสาวหันไปมององครักษ์หนุ่ม 2 คนที่ยังคงคุกเข่าอยู่นอกประตูด้วยความสับสน

เซียวถังอี้วางตำราแพทย์ที่เพิ่งอ่านจบลง ก่อนจะอธิบายว่า “พวกเขายอมกลับไปโดนโบยดีกว่าต้องมานั่งจับเจ่าอ่านตำรา”

เมื่อชิงหานกับซั่วเยว่ได้ยินคำพูดของผู้เป็นนาย พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย

แม้ว่าทั้งคู่จะอ่านออกเขียนได้ นั่นเป็นเพราะพวกเขาถูกบังคับให้เรียนมาตั้งแต่เด็ก

และก็เป็นเหมือนที่เซียวถังอี้พูดไว้ พวกเขายอมกลับไปรับโทษโบยดีกว่าให้พวกเขามานั่งหลังขดหลังแข็งอ่านตำราอยู่ที่นี่

ทางด้านมู่ไป๋ไป่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน จู่ ๆ เธอก็เริ่มอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับองครักษ์เงาเหล่านี้

ขณะที่เธอกำลังจะแอบเหลือบมองพวกเขา จู่ ๆ สายตาของเธอก็ถูกบดบังด้วยร่างของคนคนหนึ่ง

“สิ่งที่เขียนไว้ในตำราเล่มนี้ดูคล้ายกับสิ่งที่เจ้าพบหรือไม่?” เซียวถังอี้เอ่ยถามพลางชี้ไปที่เนื้อหาส่วนหนึ่งในตำราแพทย์

มู่ไป๋ไป่รีบดึงสติตัวเองกลับมาแล้วมองไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายชี้อย่างรวดเร็ว

“ไม่เหมือน…” หญิงสาวอ่านประโยคพวกนั้นซ้ำ ๆ และพบว่าคำบรรยายไม่คล้ายกับอาการของมู่เทียนฉงเลย “ท่านอ่านผิดหรือไม่?”

เซียวถังอี้พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “อืม น่าจะเป็นเช่นนั้น”

ที่ด้านนอกห้องเก็บตำรา ชิงหานกับซั่วเยว่ได้ยินบทสนทนาของชายหญิงทั้ง 2 อย่างชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจึงทำหน้าแปลก ๆ

“ท่านเหนื่อยเกินไปหรือไม่?” มู่ไป๋ไป่เกาหัวถามอย่างไม่แน่ใจนัก “ทำไมท่านไม่พักผ่อนสักหน่อยล่ะ นี่ก็ใกล้รุ่งสางแล้ว” 

เซียวถังอี้เหลือบมองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมีสีซีด เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ในตลาดด้านนอกมีร้านขายเกี๊ยวกุ้งอร่อย ๆ อยู่ร้านหนึ่ง เจ้าอยากจะไปลองชิมดูหรือไม่?”

“เกี๊ยวกุ้งหรือ?” ท้องของหญิงสาวพลันส่งเสียงร้องประท้วง พร้อมกับที่เริ่มน้ำลายสอ “ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่?”

รอยยิ้มปรากฏในดวงตาของชายหนุ่มเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย “มี ยังมีถังปิ่ง*”

*ถังปิ่ง คือขนมที่ทำมาจากแป้งและน้ำตาลแล้วนำไปย่างให้ผิวด้านนอกกรอบ มีไส้ที่แตกต่างกันไป 

“ถังปิ่ง!” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เป็นประกายสดใส เธอรีบวางตำราแพทย์ในมือลงทันที “เช่นนั้นเรารีบไปกันเถอะ รีบไปรีบกลับ ข้ายังมีตำราแพทย์ต้องอ่านอีกเยอะ”

“แล้วก็ท่านช่วยห่อกลับให้ด้วยได้หรือไม่ ข้าอยากจะเอามาแบ่งให้ท่านแม่ด้วย!”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.