บทที่ 447: เจ้ารู้ว่าข้าเกลียดอะไรมากที่สุด

-A A +A

บทที่ 447: เจ้ารู้ว่าข้าเกลียดอะไรมากที่สุด

“ขาดใจ?” อวี้หวานหว่านเป็นคนเงียบ ๆ แถมยังสืบทอดพรสวรรค์ด้านการแพทย์มาจากเจียงเหยาตั้งแต่เด็ก ในยามว่างนางจึงชอบอ่านตำราแพทย์

สำหรับเด็กหญิงแล้ว ทุกวันนี้นางแทบไม่มีเวลาเพียงพอที่จะเรียนวิชาแพทย์ด้วยซ้ำ ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเซียวถังถังถึงรู้สึกเบื่อ

นางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนจะหยิบตำราแพทย์ที่ตนนำติดตัวมาด้วยส่งให้อีกฝ่ายพร้อมกับกระซิบว่า “ศิษย์พี่รอง ถ้าท่านเบื่อ ท่านก็ลองอ่านตำราแพทย์เพิ่มดูสิ”

เซียวถังถังทำเหมือนว่าตนนั้นไม่มีฝีมือในการรักษาใด ๆ นางจึงเบ้ปากปฏิเสธ “ข้าไม่ต้องการมัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเคยอ่านตำราพวกนี้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว”

“แต่…” อวี้หวานหว่านเอียงคอพูดด้วยความไม่เข้าใจ “ท่านยังจำไม่ได้เลยว่าต้องใช้สมุนไพรอะไรบ้าง ท่านจึงมักจะผสมยารักษาเข้ากับยาพิษอยู่ตลอด”

เซียวถังถังรู้สึกเสียหน้ามาก ขณะที่นางกำลังคิดว่าจะรักษาหน้าตัวเองในฐานะศิษย์พี่รองของหุบเขาหมอเทวดาเอาไว้อย่างไรดี นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากกำแพง

“ดูสิศิษย์พี่รอง ศิษย์น้องคนอื่น ๆ หัวเราะเยาะเจ้าแล้ว เจ้าควรตั้งใจเรียนให้ดีกว่านี้สิ” 

เซียวถังถังกับอวี้หวานหว่านหันไปมองทางต้นเสียงก่อนจะเห็นร่าง 2 ร่างลงมาจากกำแพง

คนหนึ่งก็คือมู่ไป๋ไป่ ส่วนอีกคนเป็นหว่านเฟย

เซียวถังถังหันไปมองกำแพงบ้านตัวเอง จากนั้นก็จ้องมองซูหว่านก่อนจะขยี้ตาด้วยความเหลือเชื่อ “หวานหว่าน นี่ข้าตาฝาดไปหรือไม่ ทำไมข้าถึงเห็นหว่านเฟยปีนข้ามกำแพงบ้านข้าเข้ามา?”

“หว่านเฟย?” อวี้หวานหว่านมองดูสตรีแปลกหน้าทว่างดงามยิ่งตรงหน้าด้วยความสงสัย ก่อนจะอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ “นั่นไม่ใช่ท่านแม่ของศิษย์พี่ใหญ่หรอกหรือ?”

โอ้โห สมแล้วที่นางเป็นท่านแม่ของศิษย์พี่ใหญ่

แม้จะเป็นพระสนมเอก แต่นางก็ไม่ได้มีท่าทีเย่อหยิ่งเลย

ทางด้านซูหว่านรู้สึกขัดเขินที่ถูกเด็กสาว 2 คนจ้องตาไม่กะพริบ แต่ถึงกระนั้น นางก็อาศัยอยู่ในวังหลวงมานานหลายปีแล้ว ดังนั้นนางจึงสามารถรับมือกับสถานการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ได้

“วันนี้ข้ารีบออกมาจากวังหลวง จึงทำได้เพียงนำขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเป็นของฝากให้กับพวกเจ้าเท่านั้น” หว่านเฟยพูดพร้อมกับยื่นขนมที่นางทำเองให้เด็กสาวทั้ง 2

“ท่านแม่ ท่านนั่งก่อนเถอะ ท่านไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนั้น ท่านสามารถทำตัวเหมือนกับอยู่ที่ตำหนักของตัวเองได้เลย” มู่ไป๋ไป่รู้ว่าแม่ของตนมักจะเก็บตัวอยู่ในตำหนักอวี๋ชิง การที่เดินทางไกลเช่นนี้คงทำให้นางเหนื่อยมาก เธอจึงรีบดึงมืออีกฝ่ายให้นั่งลงด้านข้าง

เซียวถังถังเองก็เรียกสติตัวเองกลับมา ก่อนจะพยักหน้าสำทับอย่างรวดเร็ว “ถูกต้องแล้วเพคะ หว่านเฟย คนในครอบครัวของไป๋ไป่ก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกับหม่อมฉัน เชิญพระองค์ทำตัวตามสบายเลยเพคะ”

“ความจริงแค่พระองค์มาก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว ไม่ต้องนำของติดไม้ติดมือมาก็ได้เพคะ”

“ขอหม่อมฉันดูหน่อยว่าคือขนมอะไร… โอ้โห ขนมเปี๊ยะดอกบัว หม่อมฉันกับหวานหว่านชอบกินที่สุดเลยเพคะ!”

เซียวถังถังเป็นคนร่าเริงที่พูดได้แบบน้ำไหลไฟดับ นางสนิทกับมู่ไป๋ไป่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่นางจะไม่สนใจเรื่องมารยาท แล้วนางก็เปิดห่อขนมชิมก่อนจะแบ่งให้กับอวี้หวานหว่าน

ตอนแรกซูหว่านรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่เมื่อนางเห็นว่าทั้งคู่เพลิดเพลินกับขนมที่ตนนำมาฝาก นางก็ผ่อนคลายลง “หากท่านหญิงชอบ ครั้งหน้าข้าจะทำให้อีกและฝากไป๋ไป่นำมาส่งให้”

“อื้มมม!” หญิงสาวพยักหน้าอย่างมีความสุข จากนั้นนางก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะส่ายหัวตอบ “อื้อออ!”

หว่านเฟยรู้สึกสับสนกับท่าทีของอีกฝ่ายจึงได้แต่หันไปส่งสายตาถามลูกสาว 

เนื่องจากมู่ไป๋ไป่กับเซียวถังถังอยู่ด้วยกันมานานหลายปี ดังนั้นพวกนางจึงรู้ใจกันเป็นเรื่องธรรมดา “นางบอกว่านางชอบกินขนมพวกนี้มาก แต่นางอยากขอร้องให้ท่านแม่อย่าเรียกนางว่าท่านหญิงเลย”

“ทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน” ซูหว่านไม่เห็นด้วยจึงส่ายหัวเบา ๆ “มารยาทเป็นเรื่องที่ไม่อาจละเลยได้ และนี่เราก็อยู่ในเมืองหลวง…”

เซียวถังถังกลืนขนมลงท้องอย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยปากว่า “หว่านเฟย ได้โปรดพระองค์อย่าเรียกหม่อมฉันว่าท่านหญิงเลย หม่อมฉันคุ้นกับการถูกคนอื่นเรียกด้วยชื่อมากกว่าเพคะ”

“หรือพระองค์จะเรียกหม่อมฉันว่าท่านหญิงก็ได้ แต่หม่อมฉันมักจะรู้สึกว่ากำลังเรียกคนอื่นอยู่เพียงเท่านั้น” 

“ไป๋ไป่กับหม่อมฉันเป็นสหายกัน เราไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจกันเช่นนี้ ในทุกปีหม่อมฉันยังได้รับส่วนแบ่งเสื้อผ้าที่พระองค์ส่งไปให้ไป๋ไป่ หม่อมฉันจึงถือว่าพระองค์เป็นแม่ของหม่อมฉันนานแล้ว”

ซูหว่านคิดถึงลูกสาวตอนที่อยู่ในหุบเขาหมอเทวดา ดังนั้นในทุก ๆ ปีนางจะตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยมือตัวเองและส่งไปให้ลูกสาว

แต่นางก็ยังคิดเผื่อด้วยว่ามีหลัวเซียวเซียวและเซียวถังถังอยู่ที่นั่นเช่นกัน นางจึงตัดเสื้อผ้าแบบเดียวกัน 3 ชุดในทุกปีเพื่อไม่ให้ใครรู้สึกน้อยหน้าใคร

“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลนะเพคะ” เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นว่าผู้เป็นแม่ยังคงสงวนท่าทีอยู่เช่นเคย เธอก็รู้ว่านางกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ และรีบพูดเสริมว่า “เซียวถังอี้ก็ไม่สนใจเหมือนกัน นอกจากนี้วันนี้เราแอบหนีออกมาจากวังหลวงโดยที่ไม่มีใครรู้”

หลังจากซูหว่านได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูด นางก็ผ่อนคลายลง

ถูกต้องแล้ว นางกังวลเรื่องเซียวถังถังเพราะมีเซียวถังอี้คอยหนุนหลังอีกฝ่ายอยู่

เขาคืออ๋องต่างแซ่เพียงคนเดียวในแคว้นเป่ยหลง แม้ว่าเขาจะไม่เคยออกหน้าในราชสำนัก แต่อำนาจบารมีของเขาในแคว้นเป่ยหลงนั้นเทียบได้กับมู่เทียนฉง

นางรู้ว่าไป๋ไป่สนิทสนมกับอ๋องเซียวมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็ยังเป็นกังวลอยู่เสมอ 

ในตอนที่เซียวถังถังได้ยินว่าศิษย์พี่ใหญ่แอบพาหว่านเฟยออกมาเที่ยวเล่นด้านนอกวังโดยที่ไม่มีใครรู้ นางก็หลงลืมเรื่องที่ตนพนันกับพี่ชายไปทันที และร้องบอกว่าจะพาหว่านเฟยออกไปซื้อของ

เดิมทีมู่ไป๋ไป่มาหานางกับอวี้หวานหว่านก็เพื่อการนี้ ดังนั้นทั้ง 3 คนจึงได้หารือกันแล้วพาซูหว่านออกไปข้างนอก

มันเป็นเรื่องปกติที่เรื่องพวกนี้จะไม่สามารถปิดบังองครักษ์เงาในตำหนักอ๋องเซียวได้

ตอนที่มู่ไป๋ไป่พาซูหว่านเข้ามาในตำหนัก ข่าวนี้ก็ไปถึงหูของเซียวถังอี้เรียบร้อยแล้ว

“นายท่าน ท่านจะให้ข้าน้อยส่งคนตามองค์หญิงหกไปหรือไม่ขอรับ?” ชิงหานถามอย่างเป็นกังวล

ชายหนุ่มตอบว่าไปทันทีว่า “พวกนางไม่ได้ปลอมตัวมาหรอกหรือ เหตุใดข้าต้องส่งคนไปตามด้วยล่ะ?”

อีกเหตุผลหนึ่งที่มู่ไป๋ไป่มาหาเซียวถังถังก็คือ เพื่อขอให้นางเตรียมชุดสาวใช้ในจวนให้ 2 ชุดเพื่อที่เธอกับซูหว่านจะได้ปลอมตัวปกปิดตัวตน

สถานการณ์ในวังหลังตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เธอจะต้องระมัดระวังมากขึ้น

มิฉะนั้นจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีใครที่มีเจตนาร้ายมาแอบจับตัวพวกเธอไป

“...ข้าน้อยกังวลมากเกินไปเองขอรับ” ชิงหานก้มหัวลง เขาเองก็รับรู้ถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดของฝ่าบาทเมื่อไม่นานมานี้ และรู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในวังหลัง

ดังนั้นด้วยสัญชาตญาณของเขา เขาจึงไม่อยากให้ตำหนักอ๋องเซียวต้องไปมีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับองค์หญิงหกในเวลานี้

แต่ดูเหมือนว่าเขาจะลืมอะไรบางอย่างไป

เจ้านายของเขาดูจะชื่นชอบองค์หญิงหกมาก…

แกร๊ก!

จังหวะนั้นมีเสียงคมชัดดังขัดจังหวะความคิดของชิงหาน

เซียวถังอี้โยนพู่กันที่หักครึ่งในมือออกไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองลูกน้องที่อยู่ด้านล่าง

ชิงหานอยู่กับเขามาหลายปีแล้ว พวกเขาจึงรู้จักกันเป็นอย่างดี

ดังนั้นเพียงความคิดชั่ววูบขององครักษ์หนุ่มเมื่อครู่ มันจึงไม่อาจหลุดพ้นไปจากสายตาของเขาได้

“ชิงหาน เจ้ารู้ว่าข้าเกลียดอะไรมากที่สุด” เซียวถังอี้ขมวดคิ้วแน่น ปัจจุบันพิษที่หลงเหลือในร่างกายของเขายังไม่ถูกขจัดออกไปจนหมด เมื่อคืนจู่ ๆ มันก็กำเริบขึ้นมาจนทำให้เขานอนไม่หลับ

“ไม่ถึงคราวให้เจ้ามาคาดเดาความคิดของข้า”

แม้ว่าอารมณ์ของชายหนุ่มจะไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็ยังค่อนข้างใจดีกับลูกน้องของเขาแล้วไม่ลงโทษพวกเขาโดยง่าย

ด้วยเหตุนี้องครักษ์เงาจึงมีความภักดีต่อเขามาก

ชิงหานไม่ได้ยินน้ำเสียงเอ่ยเตือนจากผู้เป็นนายเช่นนี้มานานมากแล้ว เขาจึงเริ่มรู้สึกผิดและคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อยอมรับความผิดของตัวเอง “นายท่าน ชิงหานผิดไปแล้ว ได้โปรดลงโทษข้าน้อยเถิดขอรับ”

เซียวถังอี้โบกให้อีกฝ่ายพร้อมกับตอบว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องรับโทษอะไร ออกไปเถอะ”

องครักษ์หนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก

หลังจากทุกคนออกไปแล้ว เซียวถังอี้ก็กินยาที่มู่ไป๋ไป่เคยมอบให้จวงอี้หรานมาก่อนหน้านี้ เวลาผ่านไปไม่นานมันก็ช่วยระงับความเจ็บปวดในอกของเขาเอาไว้ได้

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.