บทที่ 425: เสด็จอาเล็กมาทันเวลาพอดี
ทุกคนต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นถังเป่ยเฉินหายไปจากสายตา
เซียวถังถังรีบก้าวออกไปด้วยท่าทางตื่นเต้นพร้อมกับโบกมือไม่หยุดให้คนที่อยู่บนหลังคา “ท่านพี่! ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่!”
ดวงตาของเซียวถังอี้กวาดมองมู่ไป๋ไป่ไว ๆ จนไม่มีใครสังเกตเห็น ก่อนที่เขาจะเก็บเข็มที่อยู่ปลายนิ้วกลับไป “ถ้าเจ้ามีอะไรอยากจะพูด ค่อยพูดหลังกลับไปที่พักของเจ้า”
“ชิงหาน ซั่วเยว่ พาองค์ชายรองกลับโรงเตี๊ยม”
หลังจากที่เขาเอ่ยคำสั่งเสร็จก็มีร่าง 2 ร่างปรากฏขึ้นเงียบ ๆ จากด้านหลังจวน พวกเขาคือซั่วเยว่ที่หายตัวไปโดยไม่ได้บอกกล่าว และชิงหานที่ไม่ได้พบหน้ามานาน
ชิงหานโค้งคำนับให้มู่ไป๋ไป่และเซียวถังถังอย่างสุภาพก่อนจะกล่าวว่า “องค์หญิงหก ท่านหญิง ส่งองค์ชายรองมาให้ข้าน้อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ไป๋ไป่ที่ชินกับการมีคนคอยรับใช้จึงส่งพี่ชายของตัวเองให้พวกเขาและถามว่า “พี่รองเองก็พาคนติดตามมาด้วย ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน?”
“ทูลองค์หญิงหก” คราวนี้เป็นซั่วเยว่ที่พูดขึ้นมา “พวกเขาไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาแค่ถูกลูกศิษย์ของสำนักตระกูลถังทำให้หมดสติแล้วเอาไปขังไว้ในโรงเก็บฟืนด้านหลังจวนพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเราได้เข้าไปช่วยคนพวกนั้นเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ หลังจากที่พวกเขาตื่นขึ้นมา พวกเขาจะกลับโรงเตี๊ยมเองพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อมู่จวินเซิ่งได้ยินสิ่งที่องครักษ์เงารายงาน ความตึงเครียดก่อนหน้านี้ก็เบาลงในที่สุด ก่อนที่เขาจะหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเซียวถังอี้แล้วก็หมดสติไป
“องค์ชายรอง!” หลัวเซียวเซียวที่เห็นแม่ทัพหนุ่มเป็นลมหมดสติก็หน้าซีดเผือด ในขณะที่นางรั้งมู่ไป๋ไป่มาพูดว่า “องค์หญิง บนกระบี่ของฉู่เสวียนเหมือนจะมีพิษ…”
สถานการณ์ก่อนหน้านี้วุ่นวายมาก มู่ไป๋ไป่จึงไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้ ทันใดนั้นเองเธอก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเส้นเลือดของมู่จวินเซิ่งดูมีสีเข้มผิดปกติ
หญิงสาวรีบเข้าไปตรวจชีพจรของพี่ชายคนรองแล้วตัดสินใจว่าทันทีที่กลับไปถึงโรงเตี๊ยม เธอจะต้องฝังเข็มให้เขา
เดิมทีเซียวถังถังอยากจะถามเซียวถังอี้ว่าเขาหาที่นี่เจอแล้วมาช่วยพวกนางได้อย่างไร แต่พอเห็นว่าบรรยากาศตึงเครียดมาก นางก็กลืนคำพูดตัวเองลงคอไปและเดินตามพวกมู่ไป๋ไป่กลับโรงเตี๊ยม
อีกด้านหนึ่ง ผลของยาพิษในร่างกายของฉู่เสวียนค่อย ๆ บรรเทาลงจนหายไป เมื่อเขาคิดอยากจะไล่ตามหลัวเซียวเซียวไปอีกครั้ง เขาก็ถูกถังเป่ยเฉินที่ลอยลงมาจากฟ้าห้ามเอาไว้
“ไม่ต้องตามแล้ว” เจ้าสำนักตระกูลถังเพิ่งถูกชายที่สวมหน้ากากสีเงินบังคับให้ถอยหนีทำให้ใบหน้าของเขาถมึงทึงมากกว่าปกติ “ขณะนี้พวกนางมีปรมาจารย์อยู่ข้างกาย เจ้าเอาชนะเขาไม่ได้หรอก”
ฉู่เสวียนยกมือขึ้นปาดเลือดสีดำที่มุมปากของตัวเอง ในขณะที่สายตายังคงจ้องตรงไปข้างหน้าและตอบเสียงเย็นว่า “ถ้าเราเอาชนะนางไม่ได้ เราก็ตายไปพร้อมกับนาง ท่านคิดว่าข้ากลัวความตายหรือ? นางทำร้ายข้าถึงเพียงนี้ ถ้าข้าไม่แก้แค้น ความเกลียดชังในอกคงไม่มีวันหายไป”
ถังเป่ยเฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่พอนึกถึงคำสั่งที่ตนบอกกับชายหนุ่มในตอนที่เขาใช้แมลงกู่ เขาก็ต้องระงับอารมณ์ของตัวเองแล้วดึงคนตรงหน้าให้ขยับมาใกล้ ๆ พร้อมกับกระซิบว่า “ตอนนี้เจ้ารีบหนีไปก่อนเถอะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถตายไปพร้อมกับหลัวเซียวเซียวได้จริงหรือ?”
“ตอนนี้ข้างกายนางมีมู่ไป๋ไป่ปกป้องอยู่ แม้แต่เจ้าก็คงเข้าใกล้นางไม่ได้ เมื่อกี้นี้เจ้าโจมตีนางได้หรือไม่ล่ะ?”
ฉู่เสวียนนึกถึงเหตุการณ์ที่มู่จวินเซิ่งเข้ามาขวางในตอนที่เขาเกือบจะฆ่าหลัวเซียวเซียวสำเร็จแล้ว ไม่นานความโกรธที่ไม่อาจบรรยายได้ก็พลุ่งพล่านในใจเขา
เนื่องจากก่อนหน้านี้ชายหนุ่มสูดผงพิษของเซียวถังถังเข้าไป เมื่อประกอบกับอารมณ์ที่ผันผวนของเขา จู่ ๆ เขาก็กระอักเลือดสีดำออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้น สีหน้าของถังเป่ยเฉินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาคิดว่าหลังจากเวลาผ่านไปนานถึงเพียงนี้ราชากู่จะประสานเข้ากับร่างของฉู่เสวียนได้ดีแล้วเสียอีก เขาไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยังคงมีความนึกคิดเป็นของตัวเองหลงเหลืออยู่
ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนชายหนุ่มจะยังพยายามต่อต้านราชากู่อีกด้วย
“ฉู่เสวียน เจ้าอย่าได้คิดมากเกินไป” เจ้าสำนักตระกูลถังรีบพูดปลอบใจอีกฝ่าย “ข้าสัญญากับเจ้าแล้วว่าข้าจะช่วย ข้าจะช่วยให้เจ้าทำสำเร็จอย่างแน่นอน เรื่องเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการรักษาร่างกายของเจ้าก่อน”
“หนทางยังอีกยาวไกล เราจะหาจังหวะเหมาะในการลงมืออีกครั้งได้แน่”
คำพูดเหล่านั้นทำให้ความคิดที่สับสนของฉู่เสวียนค่อย ๆ สงบลง
แล้วนัยน์ตาของเขาก็เปลี่ยนกลายเป็นสีแดงอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะตอบรับเสียงแข็งขันว่า “ขอรับ”
…
ทันทีที่มู่ไป๋ไป่กลับมาถึงโรงเตี๊ยม เธอก็ไปหาเจียงเหยาเพื่อให้นางมาช่วยรักษามู่จวินเซิ่ง
เมื่อเช้านี้เธอเพิ่งให้เลือดกับเซียวถังอี้ และหลังจากการต่อสู้อันดุเดือด ตอนที่เดินมาถึงที่พักเธอก็แทบจะทรงตัวไม่ไหวแล้ว
หญิงสาวกลัวว่าเนื่องจากร่างกายที่ไม่พร้อมอาจจะทำให้เกิดการวินิจฉัยผิดพลาด เธอจึงได้ไปขอให้ผู้เป็นอาจารย์มาช่วยรักษาพี่ชายแทน
โชคดีที่พิษบนกระบี่ของฉู่เสวียนไม่ใช่พิษหายากอะไร รวมถึงมู่จวินเซิ่งที่ผ่านสนามรบมานานหลายปีได้กินสมุนไพรดี ๆ มากมายเป็นจำนวนมากตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงจนสามารถต้านพิษไว้ได้ในระดับหนึ่ง
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่กับเจียงเหยาช่วยกันฝังเข็มให้กับเขา พิษในร่างกายก็ถูกขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ” เจียงเหยาเก็บเข็มและเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก “สิ่งที่เราต้องทำต่อไปก็คือให้องค์ชายรองพักผ่อนให้เต็มที่”
เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินอาจารย์กล่าวเช่นนั้น เธอก็รู้ว่ามู่จวินเซิ่งพ้นขีดอันตรายแล้ว เธอจึงยิ้มพลางพูดขอบคุณอีกฝ่าย “ขอบคุณท่านอาจารย์”
“เจ้าอย่ารีบขอบคุณข้าเลย” สีหน้าของเจียงเหยาเปลี่ยนไปทันทีที่นางหันมาเผชิญหน้ากับลูกศิษย์ของตน แล้วนางก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าลองส่องคันฉ่องดูสิ สภาพของเจ้าตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากพี่ชายของเจ้าเลยสักนิด!”
“เจ้านี่มันหัวรั้นเสียจริง ตอนที่เจ้าไปช่วยจวงอี้หรานขับพิษ ทำไมเจ้าไม่เรียกข้า?”
“เจ้ารีบกลับห้องไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะให้อวี้เซิ่งไปเอายาบำรุงให้เจ้า”
ทางด้านนักฆ่าหนุ่มที่กำลังพูดคุยกับเซียวถังอี้อยู่ที่ประตูโผล่หัวเข้ามาในห้องแล้วพูดอย่างเอือมระอาว่า “น้องหญิง… ทำไมเจ้าไม่ถามความเห็นข้าบ้างเลยล่ะ?”
เจียงเหยาตวัดตาคมดุมองอีกฝ่ายทันที “ท่านเป็นอาจารย์ของนาง มันแปลกตรงไหนถ้าท่านจะไปต้มยาให้นาง? หรือข้าไม่สามารถสั่งให้ท่านไปทำได้แล้ว?”
พอได้ยินเช่นนี้อวี้เซิ่งก็ไม่กล้าคัดค้านภรรยาสาว หลังจากสบตากับเซียวถังอี้ เขาก็หันหลังเดินไปที่ห้องครัว
“องค์หญิง พระองค์กลับไปพักผ่อนที่ห้องเถิดเพคะ” หลัวเซียวเซียวพูดขึ้นเบา ๆ “หม่อมฉันจะคอยดูแลองค์ชายรองที่นี่เอง หากมีอะไรเกิดขึ้นข้าจะรีบไปแจ้งให้พระองค์ทราบทันที”
มู่ไป๋ไป่อยากจะถามสหายว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นว่าสีหน้าของอีกคนไม่สู้ดีนัก เธอจึงกลืนคำพูดทั้งหมดลงไปและตัดสินใจว่าค่อยถามหลังจากที่พี่รองฟื้นขึ้นมาแล้ว
“ตกลง” หญิงสาวพยักหน้ารับ “เจ้าเองก็อย่าได้ฝืนตัวเองจนเกินไป ท่านอาจารย์บอกแล้วว่าพี่รองไม่เป็นอะไร เขาย่อมไม่เป็นอะไรตามที่นางบอก”
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่เดินออกมาจากห้องของมู่จวินเซิ่งและเดินผ่านร่างสูง เธอก็ชะงักฝีเท้าแล้วเหลือบมองชายสวมหน้ากากสีเงินอย่างมีเลศนัย “เสด็จอาเล็ก… ท่านมาทันเวลาพอดี”
เซียวถังอี้เอามือไปไพล่หลังพลางยิ้มจาง ๆ “มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ซั่วเยว่ ชิงหานและข้าสังเกตเห็นว่าคนของสำนักตระกูลถังเคลื่อนไหวในตอนที่เราเข้ามาในเมือง เราจึงติดตามพวกเขามาจนถึงจวนตระกูลเฉิน”
มู่ไป๋ไป่หรี่ตาเรียวสวย เธอไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของชายหนุ่ม
ผู้ชายคนนี้คงได้ยินเสียงตะโกนของเซียวถังถังแล้วเกิดความกังวลขึ้นมาจึงได้ตามพวกเธอไป
แต่… ทำไมคราวนี้เขาถึงกลับมาสวมชุดสีดำที่เขามักจะสวมใส่เป็นประจำล่ะ?
เป็นเพราะว่าเขาไม่จำเป็นต้องปลอมตัวเป็นคนอื่นอีกต่อไปหลังจากที่ถูกเธอจับได้หรือไม่?
หรือเขาได้ทำสิ่งที่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว?
ระหว่างที่มู่ไป๋ไป่คาดเดาในใจและกำลังจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง จังหวะนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นร่างในชุดสีฟ้าเดินเข้ามาหาเธอ
“แม่นางไป๋ เจ้ากลับมาแล้ว เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” ชายหนุ่มพยักหน้าให้กับมู่ไป๋ไป่อย่างสุภาพทันทีที่เห็นเธอ พร้อมกับแย้มรอยยิ้มที่คุ้นเคย แต่กลับกลายเป็นหญิงสาวที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เอ๊ะ??? นี่มันเกิดอะไรขึ้น???
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 214
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น