บทที่ 417: เขาให้ของพวกนั้นกับข้า

-A A +A

บทที่ 417: เขาให้ของพวกนั้นกับข้า

ดวงตาของเซียวถังอี้เป็นประกายทันที “วิธีอะไรหรือ?”

“อืมมม...” มู่ไป๋ไป่ใช้ความคิดชั่วครู่ ก่อนจะยักไหล่และเปลี่ยนจากสีหน้าเศร้าหมองเป็นเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์  “อย่างน้อยท่านก็อย่าได้ส่งของอะไรมาที่ห้องข้าอีก”

หลังจากพูดจบหญิงสาวก็เรียกเซียวถังถังกับหลัวเซียวเซียวที่ตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินให้ไปกินข้าวมื้อกลางวันด้วยกัน

“ไป๋ไป่ เมื่อกี้ท่านพูดว่าอะไรนะ?” เซียวถังถังมองไปทางจวงอี้หรานอยู่หลายครั้ง นางรู้สึกว่าตนยังไม่เข้าใจคำพูดของศิษย์พี่เลย “ของที่วางกองอยู่ที่ห้องท่านเมื่อเช้านี้เป็นจวงอี้หรานที่ส่งมาอย่างนั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” ก่อนหน้านี้มู่ไป๋ไป่กินขนมที่ซื้อมาจากตลาดเยอะมากเกินไป ปัจจุบันเธอจึงไม่ค่อยรู้สึกหิวสักเท่าไหร่

แต่พอคิดว่ายังมีเรื่องสำคัญให้ทำในเร็ว ๆ นี้ เธอจึงทำได้เพียงฝืนบังคับตัวเองให้กินเนื้ออยู่หลายชิ้น

“เป็นเขาสินะ!” เซียวถังถังโพล่งขึ้นมาด้วยความเหลือเชื่อ “ข้าไม่สังเกตเห็นมาก่อนเลยว่าเขาเองก็มีจิตสำนึก ท่านต้องลำบากมากมายเพื่อช่วยขจัดพิษในร่างกายของเขา มันสมควรแล้วที่เขาควรจะแสดงความขอบคุณต่อท่านบ้าง”

มู่ไป๋ไป่ได้แต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร

เธอคิดถึงคำพูดที่ตนเพิ่งบอกจวงอี้หรานไป 

หญิงสาวไม่มีทางเลือกแล้ว ตอนนี้เธอหมกมุ่นอยู่กับการคาดเดาตัวตนของชายหนุ่ม 

เธอเคยคาดเดามาหลายครั้งแล้ว และวันนี้ก็เช่นกัน เธอลองหยั่งเชิงอีกฝ่ายไปมากมาย แต่ดูเหมือนโชคจะไม่ได้เข้าข้างเธอ อีกทั้งการคาดเดาครั้งก่อน ๆ ก็ผิดทั้งหมด

มิหนำซ้ำอีกไม่กี่วันพวกเธอก็จะเดินทางกลับถึงเมืองหลวง 

เธอมีลางสังหรณ์ว่าเมื่อใดที่พิษในร่างกายของจวงอี้หรานถูกขจัดออกไปจนหมด เขาจะขอแยกตัวออกไปทันที

แต่ก่อนอื่นเธอจะต้องค้นหาตัวตนที่แท้จริงของบุคคลนี้ให้ได้!

“ไป๋ไป่ ทำไมท่านกินน้อยขนาดนี้ ท่านกินซี่โครงเพิ่มอีกสักหน่อยเถอะ” เซียวถังถังเห็นว่าศิษย์พี่ใหญ่ไม่ยอมขยับตะเกียบ นางจึงคีบอาหารให้อีกคน

“ดูท่านสิ ท่านกินไปเพียงไม่กี่คำเอง หลายวันที่ผ่านมาเนื้อหนังของท่านหายไปหมด”

“ถ้าท่านกลับไปถึงเมืองหลวงทั้งแบบนี้ เสด็จพ่อของท่านต้องเป็นห่วงแน่ ๆ”

พอมู่ไป๋ไป่คิดถึงมู่เทียนฉง เธอก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากและพูดติดตลกว่า “ถังถังของเราโตขึ้นแล้ว เจ้ารู้จักสั่งสอนข้าแล้วหรือ?”

“ก็มันช่วยไม่ได้นี่!” เซียวถังถังเชิดหน้าภูมิใจในตัวเอง “ใครใช้ให้ท่านทำให้คนอื่นต้องเป็นกังวลทุกครั้งที่เดินทางออกจากหุบเขาเล่า ท่านดูไม่สุขุมเหมือนศิษย์พี่ใหญ่ของหุบเขาหมอเทวดาเลยสักนิด ข้าก็เลยต้องจับตาดูท่านเอาไว้!”

“ท่านจะต้องกลับไปที่เมืองหลวงด้วยสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ให้คนที่เคยต่อว่าท่านตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้เห็นความดีความชอบทั้งหมดที่ท่านทำในหุบเขาหมอเทวดา ท่านไม่ได้เกียจคร้านอย่างที่พวกเขาพูดกัน!”

ตอนที่มู่ไป๋ไป่ทูลขอฝ่าบาทไปร่ำเรียนวิชาแพทย์ที่หุบเขาหมอเทวดาเมื่อ 12 ปีก่อน เธอก็ถูกเหล่าขุนนางทุกฝ่ายต่อต้าน

พวกขุนนางต่างพากันไม่เห็นด้วยเพราะคิดว่ามันไม่เหมาะสมที่องค์หญิงจะไปเรียนรู้วิชาจากสำนักในยุทธภพ

แม้ว่าไทเฮาจะเป็นผู้รับผิดชอบกำกับดูแลวังหลังทั้งหมด แต่เรื่องนี้ก็ยังมีการถกเถียงกันมากมาย

ต่อให้ในที่สุดมู่เทียนฉงจะสามารถทำให้คนพวกนั้นหุบปากได้ แต่หลายปีที่ผ่านมา ข่าวลือเกี่ยวกับมู่ไป๋ไป่ก็ไม่เคยเว้นว่าง และทุกคนก็ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง

โดยเฉพาะปีนี้องค์หญิงหกจะเสด็จกลับสู่วังหลวงเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา

ข่าวลือต่าง ๆ เกี่ยวกับหญิงสาวได้ถูกพูดกันปากต่อปากไปทั่วเมืองหลวงแล้ว

บางคนก็บอกว่าเธอกำลังร่ำเรียนวิชาแพทย์อยู่ที่หุบเขาหมอเทวดา แต่ความจริงแล้วเธอแค่ใช้โอกาสนี้หาความสำราญให้ตัวเองเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีคนอื่น ๆ กล่าวว่านี่เป็นวิธีการที่เธอใช้หลบเลี่ยงความรับผิดชอบในฐานะองค์หญิง

มู่ไป๋ไป่ได้ยินคำพูดพวกนี้จากองครักษ์เงาของท่านพี่รัชทายาทมาตลอด

เธอไม่เคยใส่ใจและไม่สนใจมันเลยสักนิด

แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเซียวถังถังจะจดจำเรื่องนี้ได้ขึ้นใจ

“พวกเขาพูดถูก” มู่ไป๋ไป่จงใจหยอกล้อเซียวถังถัง “ข้าไม่อยากอยู่ในวังหลวงตั้งแต่แรกเพราะข้าต้องการเป็นอิสระ”

เธอแตกต่างจากคนในโลกนี้

หญิงสาวไม่อาจยอมรับการถูกขังอยู่ในรั้ววังหลวงไปตลอดชีวิต แม้ว่าทุกคนในวังหลวงจะใจดีกับเธอมาก แต่เธอก็ยังโหยหาอิสรภาพและอยากทำในสิ่งที่ตนต้องการอยู่ดี

“แต่ท่านไม่ได้เป็นแบบที่พวกเขาพูดสักหน่อย!” เซียวถังถังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “คนพวกนั้นรู้ได้อย่างไรว่ากว่าท่านจะมีฝีมือถึงขั้นนี้ ท่านต้องผ่านอะไรมาบ้าง?”

“ชีวิตของคนที่อาศัยอยู่รอบ ๆ หุบเขาหมอเทวดาดีขึ้นก็เป็นเพราะความคิดที่ปราดเปรื่องของท่านทั้งนั้น ท่านทำอะไรไปตั้งหลายอย่างแต่พวกเขาไม่รู้ พวกเขารู้จักแต่จะคิดหาทางทำร้ายท่านเท่านั้น!”

พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าศิษย์น้องดูเหมือนจะจริงจังกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เธอจึงรีบปลอบใจนาง “เอาล่ะ ๆ ต่อให้คนทั้งโลกจะไม่เข้าใจข้า ก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ อยากจะพูดอะไรก็พูดไป พวกเขาไม่ได้มีอิทธิพลต่อข้า”

“ตอนนี้ข้าสนใจแค่ว่าคนที่อยู่ข้างกายข้าคิดอย่างไรเท่านั้น คนอื่นมันไม่สำคัญเลย”

เนื่องจากหญิงสาวเคยชินกับการทะเลาะกับนักเลงคีย์บอร์ดในโลกยุคปัจจุบัน เธอจึงไม่เคยใส่ใจข่าวลือพวกนั้นเลยสักนิด

เธอรู้ดีว่าบางคนมีดีแต่ปาก ไม่เคยใช้สมองของตัวเองคิดไตร่ตรองอะไรก่อนที่จะพูด

“เอาล่ะ หลังจากนี้ข้าจะต้องรักษาจวงอี้หรานต่ออีก” พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าเซียวถังถังยังคงโมโหอยู่ เธอจึงกลั้นยิ้มเอาไว้แล้วเบี่ยงเบนความสนใจของนางไปที่เรื่องอื่น

“หลังจากนี้เจ้าอาจจะต้องเหนื่อยมากเช่นกัน ถังถัง เจ้าไปสั่งให้ห้องครัวช่วยทำขนมให้ข้าหน่อยสิ”

“ก็ได้!” เซียวถังถังที่ได้ยินผู้เป็นศิษย์ที่เอ่ยปากเช่นนั้นก็เลิกสนใจเรื่องก่อนหน้านี้ แล้วถามขึ้นมาอย่างเป็นกังวลว่า “ท่านอยากให้ข้าอยู่กับท่านในระหว่างการรักษาหรือไม่?”

“ให้ข้าไปกับท่านเถอะนะ รอบที่แล้วท่านก็เป็นลมหมดสติไปอย่างกะทันหัน”

มู่ไป๋ไป่ปฏิเสธยิ้ม ๆ “ไม่จำเป็น รอบที่แล้วเป็นเพียงครั้งแรก ข้าไม่มั่นใจว่ามันจะใช้วิธีการนั้นได้หรือไม่ แต่ครั้งนี้ข้าเข้าใจมันมากขึ้นแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่เป็นเหมือนครั้งที่แล้วแน่นอน”

“เป็นเช่นนั้นหรือ?” เซียวถังถังเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายมาโดยตลอด เมื่อได้ยินดังนี้นางจึงทำได้เพียงพยักหน้าเชื่อฟัง

“เอาเถอะ ข้าจะไม่เซ้าซี้ท่านอีก หลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว ข้าจะบอกให้คนครัวทำของว่างที่ท่านชอบที่สุดมาให้”

ในเวลาเดียวกัน เซียวถังอี้กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอีกตัวหนึ่ง เขาได้ฟังบทสนทนาของหญิงสาวทั้ง 2 พร้อมกับที่ดวงตาของเขาค่อย ๆ หม่นลง

มู่ไป๋ไป่ดูไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก เธอค่อย ๆ ละเลียดกินข้าวเป็นเพื่อนเซียวถังถังให้อิ่ม ก่อนจะสั่งให้คนไปเตรียมน้ำร้อนและสมุนไพรเอาไว้ให้ชายหนุ่มแช่ตัว

“จอมยุทธ์จวง เชิญ!” หลังจากที่หญิงสาวจัดการตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันไปหาจวงอี้หรานที่กำลังดื่มชาอยู่ไม่ไกล

ฝ่ายที่ถูกเรียกวางถ้วยชาลงช้า ๆ ก่อนจะเงยหน้าหล่อเหลาขึ้นมองสตรีตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งแม่นางไป๋เคยพูดถึงว่า แม้พิษในร่างกายของข้าจะไม่อาจรักษาได้ แต่ขอเพียงข้ามุ่งหน้าไปเมืองหลวง แม่นางก็จะมีหนทางอื่น”

มู่ไป๋ไป่ตกใจกับคำพูดนั้นก่อนจะพยักหน้ารับ “ข้าพูดเช่นนั้นจริง”

“แม่นางไป๋ เหตุใดเจ้าไม่ทนรออีกสัก 2-3 วันให้เราเดินทางไปถึงเมืองหลวงก่อนล่ะ?” เซียวถังอี้เหลือบมองข้อมือของหญิงสาวที่มีแขนเสื้อปิดบังเอาไว้จนแทบจะมองไม่เห็น

แต่เขาก็ยังสังเกตเห็นผ้าสีขาวอยู่บ้างเล็กน้อย

“คราวที่แล้วเป็นเพราะข้าอยู่ในอาการวิกฤต” เซียวถังอี้ปฏิเสธอีกฝ่ายทางอ้อม “คราวนี้ข้าสามารถเดินทางไปถึงเมืองหลวงได้แล้ว เราใช้วิธีที่แม่นางไป๋พูดถึงก่อนหน้านี้ดีหรือไม่?”

มู่ไป๋ไป่นิ่งคิดอยู่นานก่อนที่จะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะบอกอะไร “ท่านรู้แล้วหรือ?”

เธอไม่ใช่คนโง่ และเธอก็รู้ว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นคนฉลาดมาก

เซียวถังอี้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวและกล่าวว่า “ข้าจะปล่อยให้แม่นางไป๋ทำร้ายตัวเองอีกได้อย่างไรกัน?”

ตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็ก เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพสงครามแห่งแคว้นเป่ยหลง และได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนมากมาย

ผู้คนที่เคารพเขานั้นก็หวาดกลัวเขาด้วยเช่นกัน

แม้แต่มู่เทียนฉงเองก็ไม่ได้ไว้วางใจเขาเต็มที่

ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะอยู่ห่างจากราชสำนัก แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ยุทธภพ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้พบเห็นความไม่แน่นอนที่เป็นสัจธรรมของมนุษย์มามากมาย เขาจึงปล่อยวางได้มากกว่าใคร ๆ

แต่บัดนี้เขากลับรู้สึกสับสนขึ้นมาอีกครั้ง

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.