[short story] Between love and friendship.
Story by: Caramel
คุณเชื่อเรื่องความรักไหม?
ฉันเชื่อนะว่าความรักมีอยู่จริง และมันก็อยู่รอบตัวเรานี่เอง
แต่ความรักดีๆ อยู่ที่ไหนกันล่ะ?
อาจจะเป็นเพื่อน คนรอบตัว หรือพ่อแม่
ที่พูดมาทั้งหมดนั่นมันก็ใช่ แต่จะมีสักกี่คนกันที่ทำให้รู้สึก “รัก” มากและไม่สามารถขาดเขาได้
และเราเองก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้สึก “รัก” คนคนนั้น มันเริ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร
“ดีใจด้วยนะชิฟฟอน” คาราเมล หญิงสาวผมสีอำพันยาวถึงกลางหลัง ถูกมัดรวบไว้เป็นหางม้า ใบหน้ากลม ดวงตาดำขลับเป็นประกาย ริมฝีปากสีชมพูถูกแต่งแต้มไว้ด้วยลิปสติกสีส้มเพื่อเสริมความมั่นใจ
วิ่งเข้ามาแสดงความยินดีกับหญิงสาวร่างบางผมสีช็อกโกแลต ซึ่งยืนอยู่เคียงข้างกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง
ทั้งคู่หันไปมองตามเสียงก่อนที่หญิงสาวจะยิ้มให้ผู้มาใหม่
“ขอบใจนะเมลตี้” ชิฟฟอนเดินเข้าไปหาเพื่อนสาวคนสนิท คาราเมลแตะไหล่ชิฟฟอนเบาๆ
“ในที่สุด เธอก็สมหวังสักทีหลังจากที่รอมานาน ใช่ไหม?”
“คงงั้นแหละ” ชิฟฟอนหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มข้างๆ “ใช่ไหมคะ พี่ลาเต้”
“คงใช่แหละมั้งครับ” ลาเต้ตอบเบาๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มให้กันตามประสาคนรักที่เพิ่งคบกันใหม่ๆ คาราเมลยิ้มให้กับความน่ารักของคู่เพื่อนสนิท ก่อนที่เธอจะโบกมือลาบุคคลทั้งสองและเดินกลับหอ
คาราเมลคิดถึงชิฟฟอนเมื่อ 2 ปีก่อน กับชิฟฟอนคนปัจจุบันที่เธอรู้จัก เพื่อนสาวของเธอตอนนี้เปลี่ยนไปมาก จากคนที่ปิดใจตนเองเพราะผิดหวังจากรักครั้งก่อนกลายมาเป็นคนที่มีคนรักเป็นตัวเป็นตนกับเขาเสียที ซึ่งคาราเมลก็เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนสาว และคอยให้คำแนะนำแก่ชิฟฟอนเรื่อยมา
“เพื่อนฉันก็มีแฟนแล้ว แล้วฉันล่ะ……” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในหอพักแล้วเปิดประตูห้องเข้าไป
หลายเดือนต่อมา คาราเมลวิ่งพรวดออกจากบ้าน ตาก็จับจ้องนาฬิกาข้อมือเพื่อให้ไปทันเวลา เพราะนี่ก็เลยเวลาทำงานพิเศษของเธอมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ถ้าไปสายกว่านี้อีกสักห้านาทีละก็มีหวังเธอโดนด่าแน่ๆ ดีไม่ดีจะถูกตัดเงินเดือนอีกต่างหาก หญิงสาววิ่งเต็มฝีเท้าจนไม่ทันมองจึงชนกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่วิ่งมาเร็วพอกันจนล้มลงไปกองกับพื้นทั้งคู่
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงของชายหนุ่มถาม คาราเมลยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบากพลางลูบสะโพกที่กระแทกพื้นด้วยความเจ็บ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตายละ สายแน่ ต้องรีบไปแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ” คาราเมลตั้งท่าจะวิ่งออกไปอีกครั้งแต่ก็โดนมือเรียวของอีกคนคว้าต้นแขนเอาไว้เสียก่อน
“มีอะไรคะ ปล่อยฉันนะ ฉันจะรีบไปทำงาน” หญิงสาวพยายามดิ้นให้หลุดจากมือปลาหมึกที่จับแขนเธอไว้แต่ก็ไม่เป็นผล
“เดี๋ยวก่อน ผมเข้าใจคุณนะ เห็นตั้งแต่เมื่อกี้แล้วว่ารีบ ผมก็รีบเหมือนกันกับคุณนั่นแหละ ว่าแต่ที่ที่คุณจะไปทำงานนี่ใช่ร้านน้ำชาใกล้ๆ นี่หรือเปล่าครับ”
“ถ้าใช่ แล้วจะทำไมคะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะ...” หญิงสาวพยายามดิ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มคนนี้ชักทำให้เธอโมโหแล้วสิ ใบหน้าหล่อคมที่มองมา กับดวงตาดำขลับมีแววขี้เล่นแต่ก็แอบแฝงความสุขุมเยือกเย็นนั่นมันอะไรกัน
“ก็ว่าหน้าคุ้นๆ ไปด้วยกันไหมครับ เพราะผมเองก็ทำงานที่นั่นเหมือนกัน” ชายหนุ่มยิ้มพลางเอ่ยชวนก่อนจะปล่อยแขนหญิงสาวให้เป็นอิสระ
“ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันรีบ” คาราเมลหันมองชายหนุ่มที่จับแขนเมื่อครู่แวบหนึ่ง แล้ววิ่งต่อไป ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่ออกจากห้องมาช้า แล้วยังต้องมาวิ่งชนใครไม่รู้ เรื่องจะจบแน่ถ้าแค่พูดขอโทษกันแล้วก็ต่างคนต่างไป นี่อะไร เขายังรั้งเธอไว้แล้วชวนไปด้วยกันอีก ทั้งๆ ที่ทั้งเขาและเธอก็ไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย
“มาแล้วเหรอ น้องคาราเมล” เสียงของหญิงสาวร่างเพรียวในชุดผ้ากันเปื้อนเอ่ยเรียกทันทีที่คาราเมลเดินเข้ามาในร้าน
“ค่ะ พี่แคนดี้ ขอโทษนะคะที่มาช้า พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย” หญิงสาวยิ้มแหยให้รุ่นพี่ที่เดินเข้ามาหา
“ไม่เป็นไรจ้ะ พวกเราเองก็เพิ่งทำงานไปเมื่อกี้เหมือนกัน คุณเจ้าของร้านเพิ่งมาเปิดประตูสักพักเอง ไม่ต้องรีบหรอก”
“หรอคะ” คาราเมลพยักหน้า ก่อนจะเริ่มหันไปชงชาตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่ง หญิงสาวหันไปมองรอบตัวก็บังเอิญสบเข้ากับนัยน์ตาดำขลับของใครคนหนึ่งที่มองมาจากอีกฝั่งของห้อง คาราเมลกะพริบตา นายนั่นอีกแล้วเหรอ?
“มีใครมองน้องคาราเมลอยู่น่ะ” จู่ๆ แคนดี้ที่นั่งคิดเงินอยู่ก็เอ่ยขึ้น
“ใครหรอคะ” คาราเมลแกล้งถาม ความจริงเธอจำแววตาของอีกฝ่ายได้ดีตั้งแต่เจอกันแล้ว พลันคำพูดของคนที่ชนเธอจนล้มก็ผุดขึ้นมาในหัว
“ถึงว่า หน้าคุ้นๆ” ที่ว่าหน้าคุ้นนี่คือเห็นฉันตั้งแต่ทำงานที่นี่แล้วสินะ แต่ขอโทษเถอะ ฉันไม่รู้จักนาย แล้วก็ไม่อยากรู้จักด้วย หญิงสาวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
“เขาชื่อซีลอน เข้ามาทำงานที่นี่ก่อนน้องคาราเมลสักพักแล้วจ้ะ ว่าแต่รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไรเหรอ?” ดูเหมือนแคนดี้จะไม่ยอมเปลี่ยนเรื่องง่ายๆ คาราเมลจึงจำใจต้องหันไปคุยกับรุ่นพี่คนสนิทอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“รู้จักกันเมื่อกี้เองค่ะ บังเอิญเจอกันก่อนเข้าร้าน” ‘นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้หนูมาสาย’ ประโยคหลังหญิงสาวคิดในใจ
ทั้งสองคนทำงานกันไปเรื่อยๆ จนร้านปิด คาราเมลกำลังเดินกลับหอ พลันก็บังเอิญเจอกับซีลอนระหว่างทาง
“นะ..นาย” คาราเมลหันไปหาทันทีที่เขาเดินตรงเข้ามาหาเธอ
“ไง คาราเมล” หญิงสาวขมวดคิ้วทันทีที่โดนเรียกชื่อพลางนึกสงสัยว่านายซีลอนคนนี้รู้ชื่อของเธอได้อย่างไร
“ฉันจะมาบอกว่า ขอโทษที่ชนจนล้มเมื่อตอนบ่ายนะ” ชายหนุ่มเอ่ย “แล้วก็ ต่อจากนี้เรียกฉันว่าซีลอนก็แล้วกัน”
“ได้” คาราเมลตอบห้วนๆ ก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงออกมา แต่ก็โดนเรียกเอาไว้อีกจนได้
“เดี๋ยวก่อนสิ ฉันมีเรื่องอยากถามหน่อย”
“มีอะไร?! ว่ามา ก่อนที่ฉันจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้” คาราเมลชักสีหน้าไม่พอใจนัก แต่ก็ยังยืนคุยกับซีลอนต่ออีกสักพักจึงเดินกลับหอ
คาราเมลล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง วันนี้เป็นวันที่เธออารมณ์เสียสุดๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะหญิงสาวโมโหตัวเองที่ไปทำงานสาย และอีกสาเหตุจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากชายหนุ่มมาดกวนคนนั้น ถ้าว่ากันตามความจริงแล้ว ซีลอนเป็นหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง เขาเป็นหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเรียวรูปไข่รับกับดวงตาดำขลับเป็นประกาย แต่อีกนัยหนึ่ง คาราเมลสังเกตเห็นถึงความสุขุมแปลกๆ แฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้นด้วย ริมฝีปากบางสีชมพูอย่างคนสุขภาพดี ที่มักจะพ่นคำพูดกวนโมโหหญิงสาวอยู่เสมอกับรอยยิ้มกวนๆ นั่น ติดตราตรึงใจหญิงสาวตั้งแต่แรกเห็น
ความจริง เธอจะไม่คุย ไม่ทำความรู้จักกับเขาก็ได้ แต่เพราะอะไรล่ะ ที่ทำให้เธอยอมคุยกับเขาตอนที่โดนเรียกเอาไว้ก่อนจะเดินกลับหอ คาราเมลนึกแปลกใจตนเองอยู่ไม่น้อย ปกติเธอเป็นคนไม่ยอมใครง่ายๆ อยู่แล้ว ยิ่งกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกหรือคนที่ไม่ถูกชะตาด้วย เธอจะไม่มีวันไปคุยหรือทำความรู้จักด้วยเด็ดขาด
แต่กับซีลอน
เขาคนนี้เข้ามามีอิทธิพลกับใจของเธอเข้าแล้ว คาราเมลยอมรับว่าเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เมื่อได้คุยกันก็ทำให้เธอได้รู้ว่า ซีลอนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอและชิฟฟอน แต่ต่างคณะกัน เขากับเธอทำงานพิเศษที่เดียวกัน และเขาเห็นเธอมาตั้งแต่ทำงานวันแรกแล้ว
คาราเมลพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป แล้วหันไปจัดการทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จ พรุ่งนี้เธอกับชิฟฟอนนัดกันไปทำงานกลุ่มกับเพื่อนซึ่งมีกำหนดส่งภายในอาทิตย์หน้า และงานส่วนนี้เป็นส่วนที่เธอต้องรับผิดชอบ หญิงสาวหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเริ่มลงมือทำงานของตนต่อไป
เช้าวันต่อมา คาราเมลกับชิฟฟอนนัดเจอกันที่ป้ายรถเมล์หน้าหอพักเพื่อไปมหาวิทยาลัยด้วยกัน
“ช่วงนี้ดูมีความสุขดีนะชิฟฟอน” คาราเมลเอ่ยปากทักเพื่อนสนิทก่อน ดูจากสีหน้า แววตาของชิฟฟอนก็ดูไม่มีอะไรน่ากังวล
“จ้า ฉันสบายดี ว่าแต่เมลตี้ ดูคนข้างหน้าเราสิ” ชิฟฟอนชี้มือไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนต่อคิวขึ้นรถเมล์อยู่ข้างหน้าพวกเธอ คาราเมลมองตามสายตาของเพื่อนสาวไปก็เจอเข้ากับดวงตาดำขลับคู่คมที่มองอยู่ก่อน หญิงสาวผมสีอำพันหน้ามุ่ยลงเล็กน้อย
“อ้าว เป็นอะไรไปเหรอ?” ชิฟฟอนเอ่ยถามหลังเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“นายนั่น...อีกแล้ว” คาราเมลพึมพำเบาๆ “จะไม่เจอกันสักวันเลยไม่ได้ใช่มั้ยเนี่ย!”
“เมลตี้รู้จักเขามาก่อนเหรอ?”
“ใช่ จริงๆ ก็ไม่อยากรู้จักหรอก แต่มันมีเหตุจำเป็นน่ะ”
ชิฟฟอนชำเลืองมองชายหนุ่มข้างหน้าแวบหนึ่งก่อนจะหันมาพูดกับเพื่อนสาว
“ดูแล้วเขาก็หน้าตาโอเคน้า แล้วเมลตี้ไปรู้จักเขาได้ยังไงเหรอ?”
คาราเมลหันมาจ้องหน้าเพื่อนสาวข้างกาย “อยากรู้จริงๆ เหรอ... ก็ได้ เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง” คาราเมลเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ชิฟฟอนฟังคร่าวๆ ฝ่ายนั้นพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“ซีลอนเหรอ…… พอมองดีๆ แล้ว เหมือนฉันเคยเห็นมาก่อนนะ...” ชิฟฟอนเงียบไปครู่ก่อนจะพูดออกมา “อ๋อจำได้แล้ว ซีลอนคนนั้นจริงๆ ด้วย เขาอยู่คนละคณะกับพวกเรา ฉันเห็นเขาที่มหาลัยบ่อยๆ แต่ไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่น่ะ รู้แค่ว่าอยู่ชมรมบาสเกตบอล แค่นั้นเอง”
“งั้นเหรอ” คาราเมลพยักหน้า “ขึ้นรถกันเถอะ มาพอดีเลย”
ทั้งสองสาวเดินคุยกันไปจนเข้าไปในตัวมหาวิทยาลัย จึงนัดหมายสถานที่กับเพื่อนที่เหลือเพื่อทำงานกลุ่มด้วยกัน จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง งานที่ทุกคนช่วยกันทำก็เสร็จ คาราเมลขอตัวกลับก่อนเพื่อนจนชิฟฟอนอดแปลกใจไม่ได้
“รีบกลับจังเลย” สาวร่างเล็กเอ่ยเบาๆ
“ชิฟฟอน ขอโทษด้วยนะ ที่นัดกับเธอไว้ว่าจะไปซื้อของกันวันนี้คงต้องงดไปก่อน ฉันมีงานด่วนที่ร้านต้องรีบไปจัดการ ไปก่อนนะ พี่แคนดี้ไลน์มาตามแล้ว” พูดจบเจ้าตัวก็วิ่งพรวดออกไปทันที ทิ้งให้ชิฟฟอนนั่งอึ้งอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่หันมามองหน้ากันไปมา
คาราเมลมาถึงร้านในเวลาไม่นาน เจ้าตัวมองหาแคนดี้ทันทีแต่ก็ไม่เห็น แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็น...
“นายอีกแล้วเหรอ!” ซีลอนที่กำลังยืนยิ้มมองเธออยู่
“ไง โดนเรียกมาเหมือนกันเหรอ?” เขาเอ่ยปากถามทันทีที่เจอหน้า
“เออ” คาราเมลพยักหน้า “นายรู้ไหมว่าทำไมพวกเราถึงโดนเรียกมา ทั้งที่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านเลยนะ” คาราเมลถามสิ่งที่เธอสงสัย บางทีเขาคนนี้อาจจะรู้อะไรมากกว่าเธอก็ได้
“คาดว่าลูกค้าเยอะ เจ้าของร้านเลยรีบมาเปิดร้านก่อน” เขาตอบ ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันอีก เพราะสิ่งที่ซีลอนพูดคือความจริง วันนี้ลูกค้าเยอะมากจนพนักงานในร้านทุกคนต้องชงชาและกาแฟกันจนมือเป็นระวิง ไม่มีแม้แต่เวลาจะหันมาคุยกับเพื่อนพนักงานด้วยกัน เพราะงานและความพึงพอใจของลูกค้ามาก่อนเสมอ คาราเมลง่วนอยู่กับกาน้ำชาจนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงก็ถึงเวลาปิดร้าน
“วันนี้กลับบ้านด้วยกันมั้ย?” และก็เป็นซีลอนคนเดิมที่เดินเข้ามาทักเธอตลอด
“ไม่ทักฉันสักครั้งจะเป็นไรมั้ยเนี่ย?!” คาราเมลแกล้งทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อน ความจริงเธอเองก็รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ที่เขายังอุตส่าห์มาชวนเธอกลับบ้านด้วยกันแบบนี้
“น่า ฉันเห็นเธอกลับทางเดียวกันก็เลยชวน เผื่ออยากมีคนเดินกลับเป็นเพื่อนไง” ซีลอนยักคิ้วกวนๆ ให้ทีหนึ่ง เรียกค้อนวงโตจากหญิงสาวข้างๆ ได้ไม่ยาก
“ใครอยากเดินกลับเป็นเพื่อนนายไม่ทราบยะ!” คาราเมลหันมาแยกเขี้ยวใส่คนข้างๆ ที่กวนไม่เลิก “หน้าตาก็กวนประสาท พูดจาก็กวนโอ๊ย ชาตินี้คงไม่แคล้วขึ้นคานแหงๆ”
“ใครกันแน่ที่จะขึ้นคาน เธอหรือเปล่า?”
“นี่! หยุดกวนประสาทฉันเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวก็ไม่กลับด้วยเลยนี่”
ทั้งคู่เดินกันเงียบๆ สักพัก ซีลอนก็เปิดบทสนทนาขึ้น
“เธอน่ะ เป็นเพื่อนกับชิฟฟอนใช่มั้ย ฉันเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ”
“ใช่ ฉันกับชิฟฟอน พวกเราสนิทกัน” คาราเมลตอบเรียบๆ ซีลอนพยักหน้า
“งั้นคนที่ฉันเห็นที่ป้ายรถเมล์วันนี้ก็คือเธอสินะ” ยังอุตส่าห์จำได้อีกแฮะ คาราเมลคิดในใจ ก่อนจะพยักหน้ารับ
“จริงๆ ฉันเห็นเธอที่มหาลัยบ่อยๆ แต่ไม่รู้จัก เลยไม่ได้เข้าไปทักไง”
“ความจริง ฉันก็ไม่ได้อยากรู้จักนายสักเท่าไรหรอก แต่เพราะวันนั้นแท้ๆ ฮึ่ย! น่าโมโหจริงๆ” ดูเหมือนคาราเมลจะยังไม่ลืมเรื่องที่เขาชนเธอจนล้ม ซีลอนยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
“น่า ฉันก็ขอโทษเธอไปแล้วนี่ ทำไงได้ล่ะ ก็คนมันรีบนี่ เลยไม่ได้ดูทาง”
“ฉันก็รีบเหมือนกันแหละ” คาราเมลตอบ ก่อนสีหน้าที่หงุดหงิดเมื่อครู่จะกลับมาเป็นปกติ “ช่างเถอะ มันผ่านไปแล้ว ยังไงก็ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“อื้ม เช่นกันนะ” ไม่นาน พวกเขาก็เดินมาถึงหอที่คาราเมลพักอยู่
“ถึงหอฉันแล้ว ไปก่อนนะ ไว้เจอกันที่ร้าน” คาราเมลโบกมือลาก่อนจะเดินเข้าไปในตัวอาคาร
“แล้วเจอกัน” ซีลอนโบกมือตอบก่อนจะเดินออกมา
เหตุการณ์เป็นแบบนี้เรื่อยมา จนเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของคาราเมลและซีลอนพัฒนาขึ้น ทั้งคู่ทำงานพิเศษและเดินกลับบ้านด้วยกันจนเป็นเรื่องปกติ ชิฟฟอนที่สังเกตเห็นเพื่อนสนิทเดินกลับบ้านกับซีลอนบ่อยขึ้น จึงได้โอกาสถามเมื่อเธอและคาราเมลออกมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้มหาวิทยาลัย
“ฉันเห็นเมลตี้กับซีลอนเดินกลับหอด้วยกันหลังเลิกงานทุกวันเลย มีแววจะขยับความสัมพันธ์มากขึ้นกว่านี้หรือเปล่าน้า” หญิงสาวผมสีช็อกโกแลตอมยิ้มหลังกล่าวประโยคสุดท้าย
“เธอพูดอะไรน่ะชิฟฟอน อย่างฉันกับนายบ้าซีลอนเนี่ยนะจะเลื่อนขั้นขึ้นไปมากกว่าเพื่อน”
“อ้าว ทุกวันนี้ก็มีความสุขดีไม่ใช่เหรอ ก็คุยกันดีอยู่นี่นา เธอกับซีลอนน่ะ”
“คุยกันอะไรล่ะ กัดกันล่ะสิไม่ว่า” คาราเมลพูดเสียงแข็ง “ทุกวันนี้ก็ยังคุยกันไม่ค่อยเหมือนคนปกติเท่าไหร่เลย”
“ความไม่ปกติของพวกเธอ คือความปกติในสายตาคนอื่นไปแล้วละ” คำพูดของคนร่างบางข้างๆ ทำให้คาราเมลนึกฉงน
“เอ่อ..” คาราเมลพูดไม่ออก ชิฟฟอนจึงพูดต่อไป
“เมลตี้ เธอคอยให้คำแนะนำฉันว่าให้พยายามเปิดใจกับความรักใช่ไหม เมื่อหลายปีก่อนน่ะ ฉันยังจำได้อยู่เลย” หญิงสาวหยุดไปครู่จึงพูดต่อ “”ฉันรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ของพวกเธอสองคนดูไม่ปกติแล้วนะ”
“ไม่ปกติยังไงเหรอ?” คาราเมลสงสัย
“เธอยังจำความรู้สึกที่เจอซีลอนครั้งแรกได้ไหม?” ชิฟฟอนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “มันอาจจะเป็นการเจอกันที่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ แต่เธอเคยแปลกใจตัวเองบ้างไหมล่ะว่าทำไมถึงไปคุยกับเขาได้ ทั้งที่ตอนนั้นจะเลี่ยงออกมาก็ได้ ไม่เข้าไปยุ่ง ไม่ทำความรู้จักกับซีลอนก็ได้ ถ้าเขาตื้อ ก็ปล่อยให้ตื้อต่อไป พอเขาเห็นเราไม่สนใจ ก็จะหายไปเอง คนอย่างเมลตี้ฉันรู้จักดีว่าเป็นคนยังไง เด็ดขาด ตรงไปตรงมา ไม่ยุ่งก็คือไม่ยุ่ง” คาราเมลคิดตามคำพูดของเพื่อนสาว ชิฟฟอนพูดถูก เธอเองก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเอง ความรู้สึกที่มีต่อซีลอน
หลายครั้ง ใบหน้าคมที่มักจะมีรอยยิ้มยียวนกวนประสาท กับดวงตาคมเป็นประกายที่มองมา มักจะเข้ามาวนเวียนในห้วงคำนึงของหญิงสาวอยู่บ่อยๆ และเธอเองก็เผลอสบตากับเขาระหว่างทำงานหลายครั้งจนแคนดี้เองก็เคยถาม แต่เธอปฏิเสธว่าไม่ได้คิดอะไร
ดวงตาคู่นั้นทำให้เธอใจสั่น……
“คิดดีๆ นะเมลตี้” ชิฟฟอนเอ่ยขัดจังหวะ ทำเอาร่างเพรียวสะดุ้ง “เมื่อเข้าใจความรู้สึกตัวเองแล้วก็บอกซีลอนไปเลย คิดยังไงก็บอกไปตรงๆ ฉันว่าซีลอนรับได้อยู่แล้วแหละ”
คาราเมลพยักหน้า หญิงสาวโบกมือลาเพื่อนสนิทเมื่อเดินเข้ามาในตัวหอพัก ชิฟฟอนเดินไปอีกฝั่งของอาคารแล้วกดลิฟท์ขึ้นไปที่ห้องพักซึ่งอยู่ชั้นบน ทิ้งให้คาราเมลมองตามไปจนร่างบางเดินหายเข้าไปในลิฟท์แล้วจึงหันหลังกลับ และเดินกลับห้องของตนเองบ้าง
ร่างสูงของชายหนุ่มซึ่งเหงื่อโชกจากการวิ่งออกกำลังกาย เดินออกจากสนามกีฬาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
การออกกำลังทำให้เขามีความสุข แต่จะสุขยิ่งกว่านี้ถ้าได้เจอ...
“วันนี้อารมณ์ดีจังนะน้อง” เสียงของใครคนหนึ่งร้องทักทำเอาซีลอนสะดุ้ง
ดวงตาคมหันกลับไปมองก็เจอเข้ากับร่างที่คุ้นตากำลังยืนส่งยิ้มให้เขาอยู่
“อ้าว รุ่นพี่ลาเต้” ซีลอนทักรุ่นพี่ต่างคณะ “มาวิ่งเหมือนกันเหรอครับ?”
“ใช่แล้วล่ะ เพิ่งเสร็จ นายจะไปไหนต่อ กลับเลยไหม?”
“ใช่ครับ ผมมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย” ซีลอนตอบ ดวงตาเป็นประกายเมื่อครู่ลุกต่ำลงเล็กน้อย
“อย่างนายมีเรื่องต้องคิดกับเขาด้วยเหรอ วันๆ เอาแต่ทำงาน หรือว่า...” ลาเต้เว้นจังหวะครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “จะเจอคนถูกใจ”
“พะ..พี่รู้?” ซีลอนเอ่ยตะกุกตะกัก
“หึ ทำไมฉันจะไม่รู้ กับใคร น้องคาราเมลเหรอ?” ฝ่ายนั้นยังคงถามต่อ
“อะ...ครับ” ซีลอนยิ้มแหยก่อนจะพยักหน้ารับ
“ให้ตายเถอะ นายนี่มันจริงๆ เลย ฉันเห็นกัดกับน้องเขาทุกครั้งที่เจอหน้า ไม่คิดจะคุยกันดีๆ บ้างเลยหรือไง” ลาเต้กล่าวหน้าเซ็ง เขากับชิฟฟอนเองก็สังเกตความสัมพันธ์ของรุ่นน้องทั้งสองอยู่ห่างๆ จนเห็นความเป็นไปทุกอย่าง
“ผมคิดว่า ถ้าวันไหนไม่ได้ทะเลาะมันไม่มีความสุขอะครับ แหะๆ” ซีลอนพูดยิ้มๆ พลันใบหน้าของเพื่อนสาวผมสีอำพันยามโมโหก็โผล่เข้ามาในความคิด ใบหน้าหวานกับดวงตาสดใสที่มักสบกันโดยบังเอิญเสมอตอนทำงาน ชายหนุ่มรู้สึกถึงเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เขาละสายตาไม่ได้เมื่อมองใบหน้าหวานนั้น และสิ่งที่เด่นสะดุดตาทุกครั้งที่พวกเขาทั้งคู่เจอกัน คือ ริมฝีปากบางสีชมพูที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีส้มซึ่งเขาเห็นจนชินตา
“เอางี้ นายรู้สึกยังไงกับคาราเมลกันแน่” ลาเต้ถามด้วยสีหน้าจริงจัง หลังจากเห็นรุ่นน้องเงียบไปนาน
“ผม...เอ่อ” ซีลอนเงียบ เขาพยายามคิดหาคำที่จะมาบรรยายความรู้สึกของตนเองในยามนี้ให้ได้ แต่ก็กล่าวตะกุกตะกักเต็มที “มัน..คือ เอ่อ... ก็ ก็ดีนะครับ”
“ดียังไง ไหนอธิบายมาซิ” ลาเต้พยายามเค้นคำตอบจากปากของรุ่นน้อง
“ผม รู้สึกว่า…” ซีลอนตั้งสติ ก่อนจะเริ่มกล่าวสิ่งที่ติดค้างในใจให้ลาเต้ฟัง “ตั้งแต่เราเป็นเพื่อนกันมา คาราเมลก็เป็นคนน่ารักคนหนึ่ง ถึงจะปากเก่งไปหน่อยก็เถอะ ผมกับเธอทะเลาะกันบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ แต่ในความปกตินั้นผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับเธอแล้วครับ” ลาเต้พยักหน้า
“แล้วไงต่อ สรุปไอ้ความรู้สึกแปลกๆ ของนายนี่คืออะไร ชอบ ไม่ชอบ หรือยังไง?”
ซีลอนนึกถึงดวงตาสดใสคู่นั้นที่ชอบมองเขาบ่อยๆ ดวงตาที่ทำให้เขาละสายตาไม่ได้ “ผม ชอบ คาราเมลครับ ชอบตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้” ใบหน้าของซีลอนมีสีเรื่อให้เห็นเล็กน้อยก่อนจะหายไป แต่นั่นก็ไม่รอดสายตาของลาเต้ไปได้
“ฉันว่าละ ถ้าอย่างนั้นนายจะทำยังไงต่อ เป็นเพื่อนกันมาได้สักพักแล้วนี่ นายก็ต้องรู้บ้างไม่มากก็น้อยแหละว่าคาราเมลชอบอะไร ไม่ชอบอะไร”
“ผมรู้ครับ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มเข้าหาเธอยังไงดี”
“ซีลอน ทำไมนายมันบื้อแบบนี้วะ!” ลาเต้หน้าเซ็ง เขาตบไหล่รุ่นน้องที่โดนความรักเข้าตาไปหนึ่งทีก่อนกล่าว “ก็ไม่ต้องทำยังไง ก็ทำให้เหมือนปกติที่เคยทำนั่นแหละ คนแบบคาราเมลเป็นยังไงนายก็รู้ ไหวพริบดี รู้ทันคน ถ้านายไปทำอะไรออกนอกหน้ามากมีหวังชวดแน่ๆ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็พยายามเข้า พยายามทำยังไงก็ได้ให้คนที่นายชอบประทับใจในตัวนาย นายเป็นคนฉลาดนะซีลอน เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับนายแล้วว่าควรจะทำยังไง ฉันบอกได้แค่นี้จริงๆ”
ซีลอนยิ้มแหยๆ ให้รุ่นพี่แล้วชูสองนิ้ว “ขอบคุณครับพี่ ผมจะพยายาม” ทั้งคู่แยกกันไปคนละทางเมื่อเดินมาถึงอพาร์ตเมนท์ที่ซีลอนพักอยู่
หลายวันต่อมา ทั้งคาราเมลและซีลอนทำงานและคุยกันปกติ จนเย็นวันนั้น ซีลอนได้โอกาสชวนเพื่อนสาวไปทานอาหารเย็นด้วยกัน
“นาย คิดไงชวนฉันไปกินข้าวด้วยเนี่ย” คาราเมลอดแปลกใจไม่ได้ ตั้งแต่เธอรู้จักเขามา นายซีลอนคนนี้ไม่เคยชวนเธอไปทานอาหาร หรือของหวานเลยสักครั้ง มีแค่ชวนไปออกกำลังกายด้วยกันเท่านั้น “หรือจะกินยาไม่เขย่าขวด”
“เธอจะบ้าเหรอ ฉันแค่ชวนไปกินข้าวด้วยกันเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงซะหน่อย ระแวงไปได้” ซีลอนตอบทันควัน ก่อนที่จะได้ทะเลาะกันอีกรอบ เขาจึงชวนเพื่อนสาวไปร้านก๋วยเตี๋ยวที่เขาชอบไปนั่งทานประจำซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับร้านน้ำที่พวกเขาทำงานนี่เอง
‘ปกติชอบชวนฉันไปออกกำลังกาย ทำไมวันนี้ชวนไปกินข้าวก็ไม่รู้ เฮ่อ อะไรของเขานะ’ คาราเมลคิดในใจแต่ก็ยอมเดินตามร่างโปร่งที่เดินนำอยู่ข้างหน้าไปโดยดี
ร้านก๋วยเตี๋ยวที่ซีลอนเลือกนั้นเป็นร้านที่มีวิวดีมากร้านหนึ่ง ทั้งสองเลือกนั่งริมหน้าต่างเพื่อมองดูวิวทิวทัศน์ด้านนอกได้ถนัด ก่อนที่บริกรจะเดินเอาเมนูอาหารมาวางไว้ให้ตรงหน้า
“วันนี้กินอะไรดี” ซีลอนถามเพื่อนสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามซึ่งกำลังไล่สายตามองเมนูอาหารอยู่ คาราเมลเลือกเส้นหมี่น้ำใสง่ายๆ ส่วนเขาเลือกเมนูเดิมที่ชอบกินประจำคือเย็นตาโฟต้มยำ
“ร้านนี้อร่อยนะ รับรองได้ ฉันมากินบ่อย” เขาหันไปสั่งอาหารกับบริกรก่อนหันมาพูดกับคาราเมล
“ถ้าไม่อร่อยจริงละก็...” คาราเมลเอ่ย “ฉันจะไม่มาร้านนี้อีก บอกเลย”
“ไม่รู้ ต้องลองชิมดู” ซีลอนตอบ ทั้งคู่คุยกันได้ไม่เท่าไร ก๋วยเตี๋ยวที่สั่งไว้ก็ถูกยกมาวางตรงหน้า
ทันทีที่ก๋วยเตี๋ยวคำแรกถูกกลืนลงคอไป หญิงสาวระบายยิ้มเล็กน้อย ร้านนี้อร่อยกว่าที่เธอคาดไว้มาก รสชาติน้ำซุปกำลังดี ไม่ต้องปรุงเยอะ เส้นไม่แข็งจนเกินไป ปริมาณก็ถือว่าเยอะใช้ได้ ชนิดที่ว่าไม่ต้องไปหาอะไรใส่ท้องตอนดึกอีก เธอเงยหน้าจากชามพลางพูดกับคนที่กำลังม้วนเส้นเข้าปากอย่างหิวโหยเหมือนไม่ได้กินข้าวกลางวันมา
“นี่ ฉันเชื่อนายแล้ว ร้านนี้อร่อยจริงๆ ด้วย”
“ใช่มั้ยล่ะ ฉันบอกแล้วว่าต้องลองชิมเองถึงจะรู้” ซีลอนพูดขึ้นก่อนจะม้วนเส้นเข้าปากอีกครั้ง
“นี่ ฉันถามหน่อยเถอะ นายไม่ได้กินข้าวกลางวันมาหรือไง เห็นกินเอาๆ จนจะหมดชามอยู่แล้วเนี่ย” คาราเมลได้ทีแซวไปหนึ่งดอก
“เออ...ก็ใช่ ไม่ได้กินข้าวกลางวัน เลยมาควบเอามื้อเย็นทีเดียวเลย” ซีลอนยอมรับ
“ถ้าจะกินขนาดนี้ละก็สั่งเพิ่มอีกชามมั้ย” ร่างเพรียวยิ้มก่อนจะจิ้มลูกชิ้นเข้าปาก
“ไม่ละ แค่นี้พอแล้ว เขาก็ให้มาเยอะนะ”
“นึกว่าจะกินอีกชาม เห็นหิวนักนี่ แต่นายก็แปลกนะ กินก็เยอะแต่ทำไมไม่อ้วนเลย อ้อลืมไป นายมันเป็นนักบาสนี่นะ”
“ก็นะ... ฉันไปวิ่งทุกวัน ก็อาจจะช่วยได้ส่วนหนึ่ง ว่าแต่เธอเถอะ ได้ยินว่าชอบกินของหวาน ทำไมยังรูปร่างดีไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“นายจะหาว่าฉันอ้วนหรือไงยะ!” คาราเมลแหวเข้าให้
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย เธอนี่ก็”
“ที่ฉันยอมไปวิ่งกับนายบ่อยๆ นั่นเพราะฉันชอบออกกำลังกายอยู่แล้วต่างหากเล่า ถึงฉันจะชอบของหวานขนาดไหน แต่ก็ยังออกกำลังกายแล้วกัน ฉันว่าหยุดพูดเรื่องรูปร่างไว้แค่นี้ดีกว่า ถ้าไม่มีอะไรจะคุยก็เงียบแล้วกินไป”
ทั้งคู่นั่งกินกันไปเงียบๆ ต่างฝ่ายต่างก้มหน้าจัดการอาหารในชามให้หมดโดยไม่มีบทสนทนาใดๆ อีก
ซีลอนแอบชำเลืองมองใบหน้าหวานของร่างเพรียวเป็นพักๆ
ถ้าพิจารณาดีๆ แล้ว คาราเมลเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าเขาชอบมองใบหน้าของเพื่อนสาวนานๆ แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร ทุกสีหน้าที่เธอแสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นเวลาปกติหรือในยามโมโห ทั้งหมดถูกบันทึกลงในความทรงจำของเขาไปโดยไม่รู้ตัว
“นี่ นายจะจ้องฉันอีกนานมั้ย” และคำพูดที่ดูเหมือนจะรำคาญของเธอ แต่เขารู้ดีว่าคาราเมลไม่ได้หมายความตามที่พูด มันอาจจะเป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไป แต่ชายหนุ่มคิดว่าเธอแค่เขินที่ถูกมองก็เท่านั้น
“อะ… เอ่อ กินหมดแล้วใช่มั้ย” ซีลอนเปลี่ยนเรื่อง
คาราเมลพยักหน้าแทนคำตอบ “ไปจ่ายเงินแล้วกลับกันเถอะ” หญิงสาวเอ่ยก่อนจะลุกขึ้น เธอพยายามซ่อนแก้มแดงๆ ของตนเองเอาไว้ไม่ให้เขาเห็น
“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ดูหน้าแดงๆ นะ” ซีลอนสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างของใบหน้าที่เขาจับจ้องอยู่เมื่อครู่จึงเอ่ยขึ้นหลังจากพวกเขาเดินออกมาจากร้านแล้ว
“เอ๊ะ!? ปะ…เปล่า ใครหน้าแดง ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” คาราเมลพยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติก่อนเอ่ยตอบ
“เมื่อกี้ฉันเห็นนะ แต่ช่างมันเถอะ จะไปไหนต่อมั้ย หรือจะกลับเลย” ซีลอนตัดบทพลางชำเลืองดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าค่ำมากแล้ว
“กลับเลยดีกว่า ทุ่มละ” คาราเมลตอบ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “อ้อ ขอบคุณที่พาฉันมากินข้าวนะ อร่อยมาก ไว้ทีหลังจะมาอีก” หญิงสาวยิ้มออกมาในประโยคสุดท้าย ซีลอนชะงักไปครู่ก่อนจะพยักหน้า
“ได้สิ เธอจะชวนฉันมาหรือจะชวนเพื่อนเธอมาก็ได้ ถือว่าได้รู้จักร้านอร่อยๆ เพิ่มก็แล้วกัน” ซีลอนกล่าวก่อนทั้งคู่จะเดินกันไปคุยกันไปจนมาถึงทางแยก คาราเมลจึงขอตัวเดินกลับหอส่วนซีลอนเดินแยกไปอีกทาง
เวลาผ่านไป ทั้งเขาและเธอได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ซีลอนและคาราเมลถูกเลื่อนขั้นให้เป็นพนักงานประจำของร้านเพราะฝีมือชงชาและกาแฟที่ถูกปากลูกค้า ความสัมพันธ์ของพวกเขาดำเนินไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง ทั้งสองมาวิ่งออกกำลังกายด้วยกัน คาราเมลหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังจากวิ่งติดกัน 5 รอบ ส่วนซีลอนเองก็เหงื่อโชกเช่นกัน
“ฉันว่ากลับกันดีมั้ย ดูแล้วอากาศไม่ค่อยดี เหมือนฝนจะตก” คาราเมลเอ่ยขึ้นหลังจากเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมีเมฆครึ้ม ลมที่พัดเอื่อยบัดนี้เริ่มพัดแรงขึ้นจนรู้สึกได้
“ก็ดีเหมือนกัน” ซีลอนพูดพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ไปกันเถอะ”
พวกเขาเดินออกมาจากตัวสนามกีฬาด้วยกัน ไม่นานฝนก็เริ่มตกปรอยๆ และค่อยๆ แรงขึ้น
“ตายละ ฉันไม่ได้หยิบร่มมา” คาราเมลล้วงมือลงในกระเป๋าสะพายคู่ใจก่อนจะพบว่าไม่มีร่มที่เธอพกติดตัวไว้เสมอ “น่าจะลืมไว้บนโต๊ะในห้อง”
“ไม่เป็นไร ฉันมี ใช้ด้วยกันก็ได้” ซีลอนหยิบร่มออกมาจากกระเป๋า มันเป็นร่มขนาดใหญ่พอสมควร ด้ามจับแข็งแรงพอที่จะต้านลมแรงๆ ได้ เขากางร่มพอดีกับที่ฝนเริ่มตกแรงและหนาเม็ดขึ้น
“นายพกมันติดตัวตลอดเลยเหรอ ไม่หนักหรือไง?” คาราเมลถาม
“ไม่ทุกวันหรอก วันนี้ฉันรู้สึกมันร้อนแปลกๆ เลยเอามาด้วย ด้ามมันยาวใช่เล่น ใส่กระเป๋ายังไงด้ามก็โผล่ออกมาอยู่ดี” เขาตอบก่อนจะบ่นออกมาในประโยคท้าย แล้วหันไปมองคนข้างๆ ที่เอาแต่ยืนนิ่ง “รีบเข้ามาสิ ฝนเริ่มตกแรงขึ้นทุกทีแล้ว”
คาราเมลลังเลอยู่สักครู่ เมื่ออีกฝ่ายเร่งเข้าเธอจึงต้องเข้ามาเดินกับเขาข้างในร่มคันเดียวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ฝนเริ่มตกแรงมากขึ้น ลมก็แรงขึ้นตาม ทั้งสองจึงต้องเดินอย่างระมัดระวังเพราะถนนไม่ค่อยดีและน้ำที่เริ่มท่วมสูงขึ้น เมื่อผ่านจุดนั้นมาได้ คาราเมลถอนใจเฮือกและหันไปมองคนที่ถือร่มกำบังเธอและตัวเองเอาไว้
“นาย เมื่อยหรือเปล่า ให้ฉันช่วยถือมั้ย?” เธอถามออกไป
“ไม่เป็นไร ฉันยังไหว นี่ยังอีกไกลนะกว่าจะถึงหอ แต่ฝนก็ยังไม่หยุดเลย แถมตกแรงขึ้นอีกต่างหาก” ซีลอนมองบรรยากาศรอบตัว ท้องฟ้ามืดครึ้มและเมฆดำทะมึนที่กำลังมาจากฝั่งโน้นบ่งบอกว่าฝนตกคราวนี้คงไม่มีทางหยุดง่ายๆ อาจจะตกเป็นชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ
“ดูนายล้าแล้วนะ ให้ฉันช่วยถือเถอะ” คาราเมลขันอาสา ซีลอนจึงยื่นร่มในมือมาให้คนตัวเล็กกว่าถือเอาไว้ มือบางของคาราเมลรับร่มจากร่างสูงมาถือไว้ ด้วยความที่เธอตัวเตี้ยกว่าเขา และลมที่ค่อนข้างแรงประกอบกัน เธอจึงต้องยกจนสุดแขนเพื่อถือร่มให้อยู่เหนือศีรษะของทั้งเขาและตนเองเพื่อไม่ให้เปียกมากไปกว่านี้ พวกเขาเดินกันต่อไปอีกสักพัก ซีลอนที่เห็นสีหน้าของเพื่อนสาวและร่มที่เริ่มส่ายไปมายิ้มเล็กน้อย
“ไหวมั้ยเนี่ย เธอตัวเตี้ยกว่าฉันอยู่หลายเซนเลยนี่นา มาเถอะ ให้ฉันถือเองดีกว่า จะได้ไม่เมื่อย”
“ฉันไม่ได้เตี้ยนะยะ” คาราเมลสวนทันควัน “นายต่างหากที่สูงเกินไปจนฉันต้องยกจนแทบจะสุดแขน รู้งี้ไม่ถือให้ก็ดีหรอก”
ซีลอนยิ้มกับปฏิกิริยาน่ารักๆ ของคนตรงหน้า เขาเดินต่อไปเรื่อยๆ ลมพัดแรงจนชายหนุ่มต้องพยายามประคองร่มให้มั่น บรรยากาศรอบตัวหนาวยะเยือกจนคาราเมลตัวสั่น ชุดของทั้งเขาและเธอเปียกปอนเพราะน้ำฝนที่สาดเข้ามา
“ซีลอน ฉันว่าเราหาที่นั่งพักก่อนดีมั้ย ฝนตกแรงขนาดนี้ถ้าไปต่อละก็คงเปียกแน่ๆ” คาราเมลออกความเห็นพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดจนมองทางแทบไม่เห็นแล้ว
“เป็นความคิดที่ดีนะ แถวนี้มีม้านั่งอยู่นี่ ไปนั่งพักก่อนดีกว่า ฟ้ามืดมากเลย ฉันเองก็เริ่มมองไม่เห็นทางเหมือนกัน” ซีลอนเห็นด้วย ก่อนพวกเขาจะเดินเข้าไปนั่งหลบฝนที่ม้านั่งริมทาง
เวลาผ่านไปแต่ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก พวกเขานั่งมองหน้ากันไปมาเหมือนจะถามว่า อีกนานแค่ไหนกว่าฝนจะหยุด และทันใดนั้น แสงแวบๆ ตามด้วยเสียงฟ้าร้องคำรามก็ดังขึ้นเป็นระยะ คาราเมลตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้นภาพในอดีตก็ผุดขึ้นมาในหัว เธอมองหน้าซีลอนเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเลิกคิ้วสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม จนเสียงฟ้าร้องครืนๆ ดังไม่ขาดระยะ น้ำตาของคาราเมลก็เริ่มไหล
“ซีลอน……” หญิงสาวเอ่ยเรียกคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม พลางยื่นมือออกไป ชายหนุ่มชะงัก ก่อนที่เสียงเครือของเธอจะเอ่ยเรียกชื่อเขาอีกเป็นครั้งที่สอง ซีลอนกุมมือบางนั้นไว้ก่อนจะลุกขึ้น
“เธอ...กลัวเหรอ?” เขาเอ่ยถาม ก่อนจะเดินช้าๆ มาหยุดอยู่ข้างหลังคาราเมลที่กำลังนั่งตัวสั่น เธอพยักหน้าพร้อมกับน้ำตาเม็ดโตที่ไหลอาบแก้ม
“ฉัน…” คำพูดของคาราเมลขาดหายไปพร้อมกับร่างสั่นเทาที่เริ่มสะอื้น ซีลอนชะงักค้าง เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเพื่อนสาวที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ยามปกติเธอเป็นคนร่าเริง พูดเก่ง และทะเลาะกับเขาได้เรื่อยๆ มาบัดนี้เธอกลายเป็นเหมือนแมวน้อยที่ต้องมีใครสักคนคอยปกป้อง
และเขาตัดสินใจแล้ว…
ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ๆ คาราเมลที่สะอื้นไม่หยุด ก่อนจะดึงร่างบางเข้ามากอดเอาไว้ เขาหวังใจว่าความอบอุ่นที่ส่งผ่านอ้อมกอดนี้คงจะช่วยให้คนในอ้อมแขนหายกลัวได้บ้างไม่มากก็น้อย
“ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่ตรงนี้ ข้างๆ เธอแล้ว… ไม่ต้องกลัว” ชายหนุ่มกระซิบแผ่ว ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาให้ร่างบางในอ้อมแขน ซีลอนนึกแปลกใจตนเองที่ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ได้ ในยามปกติเขาเองไม่เคยปลอบใจใคร แค่จะเข้าไปจับมือกับผู้หญิงสักคนเขาก็ไม่เคยทำ การที่ต้องมาทำอะไรโรแมนติกแบบนี้ในความคิดซีลอนถือว่าผิดวิสัย เขากอดเธอแบบนี้สักพักก่อนจะค่อยๆ ผละออกมาช้าๆ
เวลาผ่านไป ฝนเริ่มซา เสียงฟ้าร้องหยุดไปแล้ว คาราเมลที่เริ่มรู้สึกดีขึ้นหันมายิ้มให้ซีลอน เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ รอยยิ้มที่แทนคำว่า “ขอบคุณ”
“ฝนซาแล้ว เราไปกันเลยดีมั้ย” ซีลอนถามพลางลุกจากเก้าอี้ คาราเมลพยักหน้าก่อนจะเดินนำออกมาจากม้านั่ง ซีลอนกางร่มโดยมีคาราเมลช่วยถือให้อีกแรง ทั้งคู่เดินออกมาจากตรงนั้นโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ห้องที่พวกเขาอาศัยอยู่
ทั้งคู่เดินกันมาเงียบๆ ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตน ซีลอนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่
เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าไปเอาความกล้ามาจากไหน หรือมีอะไรดลใจให้เขากล้าเข้าไปกอดคาราเมลแบบนั้น
แต่สัมผัสอ่อนละมุนกับกลิ่นน้ำหอมจางๆ ของร่างบางยังคงติดตราตรึงใจเขามาจนถึงบัดนี้
ชายหนุ่มพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปก่อนจะหันไปมองทางและบังคับร่มให้อยู่เหนือศีรษะตามเดิม
“ถึงหอฉันแล้ว ไปก่อนนะ นายเองก็อย่าลืมกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด” คาราเมลพูดขึ้นเมื่อเดินมาหยุดที่หน้าทางเข้าหอพัก ซีลอนพยักหน้าก่อนจะตอบ
“ขอบคุณนะ เธอก็เหมือนกัน” เขาช่างใจอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยเรียกเพื่อนสาวเอาไว้ ทำให้คาราเมลที่กำลังจะเดินเข้าประตูอาคารถึงกับชะงักกึก
“ร้านหยุด 3 วันนะ มีคนส่งมาบอกในกลุ่มไลน์น่ะ”
“งั้นเหรอ ขอบคุณมาก” คาราเมลยิ้มกับตัวเอง ในที่สุดเธอก็จะได้พักบ้างหลังจากทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยจนรู้สึกล้าไปหมด
“แล้วก็ ฉันมีเรื่องอยากจะบอก” หลังจากที่ไตร่ตรองมาดีแล้ว ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจความรู้สึกของตนเอง
เขานึกถึงวันแรกที่ทำให้เขาได้รู้จักกับร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าจนมาถึงวันนี้ ประกอบกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่ ทำให้ความรู้สึกที่เขามีต่อร่างบางเริ่มชัดเจนมากขึ้น
และเวลานี้ เขาตั้งใจจะบอกเธอให้ได้ ไม่ว่าผลลัพท์จะออกมาเป็นอย่างไร เขาก็พร้อมจะยอมรับ ซีลอนหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ย
“ฉัน…” เขาทำใจอยู่สักพัก จนคาราเมลที่ยืนรอฟังอยู่เริ่มขมวดคิ้ว
“เอ่อ ฉัน... ฉัน” ซีลอนเริ่มเอ่ย เขาสูดหายใจให้เต็มปอดก่อนจะตัดสินใจพูดคำนั้นออกมา
“คาราเมล ฉัน ชอบเธอนะ”
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่คาราเมลยืนตะลึงอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าหอ พอรู้ตัวอีกที เมื่อหญิงสาวมองหาร่างสูงที่คุ้นตาก็พบว่าเดินออกไปจากตรงนั้นเสียแล้ว หญิงสาวเดินเข้าไปด้านในก่อนจะรีบตรงไปยังห้องของตนเอง อากาศหลังฝนหยุดตกบวกกับชุดที่เปียกไปครึ่งตัวทำให้ร่างของเธอสั่นสะท้าน คาราเมลเปิดประตูห้องเข้าไปและจัดการถอดชุดที่เปียกออก หญิงสาวเอาชุดที่เปียกไปผึ่งไว้ที่ระเบียง เธอตัดสินใจว่าหลังจากมันแห้งคงต้องเอาไปซักเสียที ร่างเพรียวเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปก่อนจะจัดการทำธุระส่วนตัว หลังจากเหนื่อยจากการออกกำลังกาย สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายคือการได้อาบน้ำอุ่นๆ สักรอบ หญิงสาวปล่อยให้สายน้ำไหลชโลมร่างของตนก่อนจะตกอยู่ในภวังค์
“ฉัน ชอบเธอนะ” เสียงของซีลอนที่สารภาพความรู้สึกออกมายังดังก้องอยู่ในหัว คาราเมลไม่รู้จะทำอย่างไรดี ใบหน้า ดวงตา รอยยิ้ม ทุกอย่างของเขาที่เธอเคยรู้สึกรำคาญ บัดนี้เธอเองไม่ได้รู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว หญิงสาวนึกถึงเหตุการณ์ตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาได้พบกันมาจนถึงเหตุการณ์ในวันนี้ ใบหน้าหวานเริ่มแดงเรื่อทีละน้อย มันค่อยๆ เข้มขึ้นตามลำดับ หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำพลางมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจก
‘พระเจ้า ฉันต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ’ เธอยิ้มให้กับใบหน้าแดงๆ ในกระจก ก่อนจะเปิดตู้เสื้อผ้าและจัดการเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย
“บ้าจริง” หญิงสาวพึมพำเบาๆ ทันใดนั้น เหตุการณ์ที่ม้านั่งก็ผุดขึ้นมาในหัว
คาราเมลนึกถึงคนที่กอดเธอเอาไว้ หญิงสาวกลัวฟ้าร้องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เพราะเหตุการณ์ในวัยเด็กที่เธอโดนทิ้งให้อยู่คนเดียวตอนฝนตกทำให้เธอจำฝังใจ
และกลัวเสียงฟ้าร้องมาตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องนี้มีแค่เพื่อนสนิทที่สุดอย่างชิฟฟอนคนเดียวที่รู้ นอกจากนั้นก็ไม่มีใครอื่นอีก แต่ตอนนี้ความลับนี้คงจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป หญิงสาวไม่แน่ใจว่า ความกลัวของเธอจะกลายเป็นความขบขันในสายตาของเขาหรือไม่ บัดนี้ เธอได้คำตอบแล้ว
อ้อมกอดอันอบอุ่นของซีลอนคือคำตอบของข้อถามที่เธอสงสัย สัมผัสอ่อนละมุนที่ได้รับทำให้ใบหน้าของหญิงสาวร้อนฉ่า คาราเมลพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ถ้าใครมาเห็นเธอในสภาพหน้าแดงแจ๋แบบนี้เขาคงคิดว่าเธอบ้าไปแล้วแน่ๆ
ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายบ้าซีลอนทั้งนั้น แต่ความโหยหา อยากเจอหน้า คิดถึงตลอดเวลาแบบนี้มันอะไรกัน…
“ซีลอน” เธอพึมพำชื่อเขาออกมาเบาๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทราไป
หลายวันผ่านไป คาราเมลและซีลอนใช้ชีวิตกันตามปกติ สิ่งที่เปลี่ยนไปคือไม่ต้องไปทำงานที่ร้านเหมือนทุกวันเพราะร้านหยุดชั่วคราว พวกเขาจึงไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เหมือนก่อน และการบ้านที่ต้องทำก็เยอะมาก คาราเมลจึงใช้เวลาที่ไม่ต้องไปทำงานนี้ไปโฟกัสกับงานที่ต้องรีบส่งก่อนจะถึงวันเดดไลน์ และอีกนัยหนึ่งคือ เธอพยายามเลี่ยงที่จะต้องเจอกับซีลอนด้วย
“เมลตี้ ช่วงนี้เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันเห็นทำแต่งาน หน้าก็ดูเครียดๆ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” ชิฟฟอนถามหลังจากทั้งเธอและคาราเมลชวนกันมานั่งทำงานที่ห้องสมุด ร่างเล็กสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนสนิทได้อย่างชัดเจน คาราเมลดูจริงจังกับงานมากผิดปกติจนเธอสังเกตได้
“ชิฟฟอน” คาราเมลเอ่ยเรียกชื่อเพื่อนสนิทเสียงเบา “ฉันเข้าใจแล้ว เรื่องที่เธอพูดกับฉันวันนั้น”
ใบหน้าของชิฟฟอนปรากฏเครื่องหมายคำถาม วันนี้เพื่อนเธอเป็นอะไรไป ดูเงียบๆ ซึมๆ ผิดปกติ จู่ๆ ก็พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ร่างเล็กหันมาจ้องหน้าคนที่ก้มหน้าอยู่กับกองหนังสือก่อนเอ่ยถาม “เธอพูดอะไรน่ะเมลตี้ ฉันงงไปหมดแล้วนะ”
“เธอจำที่เคยบอกฉันเรื่องความรู้สึกที่มีต่อซีลอนได้มั้ย” คาราเมลเอ่ยถาม ชิฟฟอนพยักหน้ารับ
“อ้อ เรื่องนั้นเอง ทำไมเหรอ?”
“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ความรู้สึกที่มีต่อนายบ้านั่นน่ะ”
ชิฟฟอนหันมามองหน้าเพื่อนสาวข้างๆ ก่อนจะตั้งใจฟังสิ่งที่เพื่อนเธอจะพูดต่อไป แต่ก็ยังไม่มีคำใดๆ เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางนั้นจนเธอต้องกระตุ้น “สรุปแล้วเธอรู้สึกยังไง ได้บอกไปหรือยัง?”
คาราเมลส่ายหน้า ชิฟฟอนอุทาน “อ้าว” ก่อนจะพูดต่อ
“แล้วช่วงนี้ไม่ได้ไปทำงานนี่ ร้านหยุดจนถึงวันไหนเหรอ?”
“ถึงพรุ่งนี้ ฉันเลยมีเวลามานั่งปั่นงานไง”
“ที่เธอมีเวลามานั่งปั่นงาน ไม่ใช่เพราะว่ามีสาเหตุอื่นประกอบด้วยหรือเปล่า” ร่างเล็กพูดเสียงเรียบแต่ก็ยิ้มเล็กน้อยในประโยคท้าย ทำให้สีหน้าของคาราเมลเจื่อนไปถนัด
“ถ้าเธอเข้าใจความรู้สึกของตัวเองแล้วก็บอกซีลอนไปเลย ถ้าให้เดานะ ฉันว่าเขาต้องพูดอะไรกับเธอไว้แน่ๆ ไม่งั้นเมลตี้คงไม่เปลี่ยนไปขนาดนี้หรอก จริงไหม?”
“ทะ...เธอรู้?” คาราเมลสะดุ้ง เพื่อนเธอคนนี้สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้แม่นยำจนน่าตกใจ
“ฉันพอเดาได้ เรื่องนั้นต้องมีผลต่อความรู้สึกเธอโดยตรงแหละ ไม่งั้นคงไม่ซึมขนาดนี้หรอก” ชิฟฟอนดึงร่างเพรียวมากอดเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงได้เจอกันแล้ว เธอก็หาจังหวะดีๆ แล้วจะพูดอะไรก็พูดเลย อย่าชักช้าล่ะ โอกาสอยู่ใกล้ขนาดนี้ก็รีบคว้าไว้ก่อนจะสายเกินไป แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน”
คาราเมลขมวดคิ้วกับคำพูดที่เป็นปริศนาของเพื่อนสนิท ก่อนจะชูสองนิ้วให้แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อให้เสร็จ
วันต่อมา ร้านกาแฟที่คาราเมลและซีลอนทำงานอยู่เปิดทำการตามปกติ ทั้งสองไปทำงานเหมือนทุกวันแต่พยายามหลบเลี่ยงไม่สบตากันเหมือนเช่นเคย จนถึงเวลาเลิกงาน คาราเมลเห็นซีลอนกำลังจะเดินออกจากร้านเธอจึงเรียกเขาไว้
“ว่าไง” เขาหันมาทัก สีหน้าเรียบเฉย
“วันนี้กลับด้วยกันมั้ย” คาราเมลถามออกไปโดยพยายามสังเกตสีหน้าของซีลอนไปด้วย ชายหนุ่มพยักหน้า หญิงสาวนึกดีใจก่อนจะเดินตามเขาออกไปเหมือนเช่นทุกวันที่เคยทำ
“ก่อนกลับ ฉันขอแวะสวนสาธารณะก่อนได้มั้ย มีเรื่องอยากคุยกับนายหน่อย” หญิงสาวทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นความเงียบผิดปกติของคนที่เดินอยู่เคียงข้าง จึงเอ่ยออกไปแต่ก็ตะกุกตะกักเต็มที ซีลอนพยักหน้าก่อนจะเดินไปเรื่อยๆ ไม่นานก็มาถึงสวนสาธารณะ พวกเขาหาที่นั่งรับลมเย็นๆ ได้ถนัด เมื่อได้ที่นั่งที่ต้องการแล้วคาราเมลจึงนั่งลง โดยมีซีลอนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามประจัญหน้ากับเธอพอดี
“ก่อนอื่น ต้องขอบคุณนายที่มากับฉันวันนี้นะ” คาราเมลเปิดประเด็น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มเอ่ย
“จริงๆ แล้ว ที่ฉันอยากพูดกับนายก็คือ เรื่องนั้น ที่นายสารภาพกับฉันไปเมื่อหลายวันก่อน” ซีลอนนั่งนิ่ง เขารอฟังสิ่งที่เพื่อนสาวจะพูดต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ คาราเมลเริ่มใจคอไม่ดี
สีหน้าของซีลอนดูเฉยจนน่ากลัวจนหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาในอก
“ฉัน... ดีใจจริงๆ ที่ได้รู้จักนาย ทีแรกฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายเลยด้วยซ้ำ คนอะไรก็ไม่รู้ หน้าตากวนประสาท พูดจาก็กวนโอ๊ย” คาราเมลหยุดไปสักพัก ใบหน้าของซีลอนเริ่มมีรอยยิ้มบางให้เห็นเล็กน้อย เขารอฟังสิ่งที่คาราเมลจะพูดต่อไป
“แต่พอฉันได้รู้จักนายจริงๆ มันทำให้ฉันรู้ว่า นายเป็นคนดีมากกว่าที่คิดไว้เยอะ” คำพูดประโยคนั้นทำให้สีหน้าของซีลอนผ่อนคลายมากขึ้น
“ตั้งแต่เราเป็นเพื่อนกันมา ฉันขอบคุณนายที่ทำให้ฉันมีความกล้ามากขึ้น ได้รู้จักอะไรใหม่ๆ ที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะร้านของกิน
แล้วก็ขอบคุณที่ชวนไปออกกำลังกายด้วยบ่อยๆ
ถึงเราจะทะเลาะกันบ่อยแต่ฉันขอบอกไว้ตรงนี้ว่าฉันไม่ได้เกลียดนายหรอกนะ”
แก้มขาวของคนพูดเริ่มมีสีชมพูเรื่อๆ ให้เห็น
คาราเมลหยุดหายใจสักพักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไป
“ซีลอน ในเมื่อนายเดินเข้ามาในชีวิตฉันแล้ว ฉันก็อยากให้เรารักษามิตรภาพแบบนี้เอาไว้ ขอให้เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ และที่สำคัญ ฉันจะไม่ให้นายออกไปไหนอีกแล้วนะ”
“ได้สิ” ซีลอนยิ้มบาง “ฉันจะอยู่กับเธอตรงนี้แหละ จนกว่าเธอจะเป็นคนเอ่ยปากบอกให้ฉันออกไป
ถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ ฉันจะเดินออกไปจากชีวิตเธอเอง” คำพูดของซีลอนทำให้ร่างบางสะดุ้งก่อนจะรีบสวนกลับทันควัน
“นะ..นายพูดอะไรน่ะ ฉันไม่มีทางพูดกับนายแบบนั้นแน่ๆ คิดมากไปได้” คาราเมลรีบพูดก่อนจะกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิด หญิงสาวพยายามรวบรวมความกล้า โอกาสอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว และเธอก็พร้อมที่จะเอ่ยสิ่งที่เธอรู้สึกมาตลอดออกไป เวลาหลายวันที่ไม่ได้เจอเขา มันทำให้เธอเข้าใจความรู้สึกของตนเองมากขึ้น ความรู้สึกที่มีต่อซีลอน
“ซีลอน ฉันอยากบอกนายว่า” หญิงสาวตั้งสติ ซีลอนตั้งใจฟังสิ่งที่เธอกำลังจะพูดต่อด้วยใจระทึก
“ฉัน…” คาราเมลสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดเบาๆ ว่า
“ฉันรักนาย”
“อะไรนะ ฉันไม่ได้ยิน” ซีลอนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ เพื่อจะตั้งใจฟังสิ่งที่เพื่อนสาวพูดให้ถนัด
“โอ๊ย! ฉันจะพูดอีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ ฉันระ…” คำพูดประโยคที่เหลือถูกกลืนลงคอไป
กลีบกุหลาบสีชมพูของร่างบางถูกครอบครองโดยริมฝีปากของอีกคนที่โน้มลงมาประกบโดยไม่รู้ตัว
คาราเมลชะงักค้าง
ซีลอนถอนริมฝีปากออกมาช้าๆ รสหวานล้ำที่เขาสัมผัสได้ทำให้ชายหนุ่มห้ามใจตนเองแทบไม่ไหว
แต่เขาก็ต้องข่มใจเอาไว้ก่อน
ซีลอนยิ้มเขินๆ ก่อนจะพูดเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคนว่า
“ฉันได้ยินแล้วล่ะ ขอบคุณนะ คาราเมล”
คาราเมลนิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนจะตั้งสติได้ หญิงสาวหันมาหาคนตรงหน้าก่อนจะแยกเขี้ยว คำรามในคอเบาๆ ปฏิกิริยานั้นทำให้ซีลอนชะงักกึก ความซวยมาเยือนชายหนุ่มจนได้ เขาผุดลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะรีบวิ่งไม่คิดชีวิต
วิ่งออกไปให้ไกลจากตรงนี้
“ซีลอน… ไอ้บ้า! คนผีทะเล!” คาราเมลที่หน้าแดงแจ๋รีบลุกตามก่อนจะวิ่งไล่ชายหนุ่มที่เพิ่งขโมยจูบแรกของเธอไปเมื่อครู่
พวกเขาวิ่งไล่จับกันไปจนหอบแฮ่กๆ และลงไปกองกับพื้นทั้งคู่ แล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ขยับขึ้นจากเพื่อนไปเป็นคนรักกันตั้งแต่วันนั้น
++++
การพบกันครั้งแรก อาจเป็นการพบกันที่ไม่น่าประทับใจนัก แต่เมื่อได้ทำความรู้จักและสนิทกันมากขึ้น คนที่เราคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี อาจจะเป็นคนดีมากกว่าที่คิด
สายใยบางๆ ระหว่างมิตรภาพและความรัก สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถทำให้รู้สึก “รัก” ได้มากกว่าคำว่าเพื่อน
ถ้าคุณมี “คู่กัด” ที่ชอบทะเลาะกันบ่อยๆ ฉันอยากให้ลองเปิดใจคุยกับเขาบ้างโดยพยายามไม่คิดว่าคนนั้นคือ
“คู่กัด”
บางที “คู่กัด” ของคุณคนนั้นอาจจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดก็ได้ ใครจะไปรู้
[The end.]
- 👁️ ยอดวิว 1470
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น