กาแฟ สายฝน หัวใจ

-A A +A
กาแฟ สายฝน หัวใจ

กาแฟ สายฝน หัวใจ

หมวดเรื่องสั้น: 

              “คุณเคยหรือไม่ที่ไม่สามารถหลุดพ้นจากความคิดของตัวเองได้...ฉันเองนี่แหละที่เป็นหนึ่งในนั้น”

ฉันกำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนบนถนนแคบ ๆ ในซอยเล็ก ๆ แห่งนี้กับความคิดนับล้านที่ลอยเคว้งอยู่ในสมอง ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนคิดอะไรเยอะ ฉันเพียงใช้ชีวิตปกติในแบบของฉัน เพียงแต่ทุกสิ่งที่ฉันทำมั่นใจได้เลยว่านั่นคือผลผลิตทางความคิดครั้งที่หนึ่งร้อยหนึ่งของฉันแล้ว

               จนกระทั่งพักหลังมานี้ฉันนอนไม่ค่อยหลับ บางครั้งฉันก็เผลอตื่นขึ้นมากลางดึกและคิดถึงเหตุผลที่ฉันนอนไม่หลับจนถึงเช้า แม้แต่ตอนนี้ ตอนที่ฉันกำลังเดินกลับบ้านท่ามกลางผู้คนและอาคารอายุเกือบร้อยปี ฉันก็ยังคงคิดถึงมันอยู่

               แหมะ!”

               หยดน้ำที่เย็นเฉียบตกลงบนศีรษะ ฉันแหงนหน้ามองท้องฟ้าและรู้ได้ในทันทีว่าเมฆก้อนดำก้อนใหญ่นั้นมันหมายถึงอะไร แต่ก็อย่างที่ฉันบอกฉันคิดเผื่อมาทุกอย่างแล้ว และเรื่องที่ฝนกำลังจะตกก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของฉันเท่าไร

               แก็ก!...แก็ก!”

               เสียงโลหะฝืดขัดกันอันมาจากการที่ฉันพยายามกางร่มแต่มันก็ไม่สำเร็จ ฉันไม่สามารถกางมันออกมาได้

               ซ่า!!!!!”

               ฝนตกลงมาอย่างกระทันหันอย่างจงใจซ้ำเติมดวงชะตาของคนที่น่าสงสารที่สุด ฉันรีบวิ่งเข้าหาที่ร่มในขณะที่ร่มไม่รักดีของฉันยังคงอยู่ในมือ

               ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นร่างกายของฉันก็นั่งอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ฉันทำได้เพียงนั่งมองพายุฝนที่กำลังกลืนกินเมืองนี้หายไปในพริบตา นี่ขนาดว่าทุกอย่างที่ทำฉันได้คิด ได้วางแผนไว้แล้วมันยังผิดพลาดขนาดนี้ แล้วถ้าฉันไม่ได้คิดมันจะวุ่นวายขนาดไหน ความคิดของฉันดังก้องท่ามกลางบรรยากาศเย็น ๆ ชื้น ๆ ที่มีเพียงความอบอุ่นจากกาแฟร้อนใส่อบเชยที่ทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น...จนกระทั่ง

               “ขอโทษครับ! ตรงนี้มีคนนั่งไหม โต๊ะเต็มทุกโต๊ะเลย”

               ชายหนุ่มในเครื่องแบบพนักงานออฟฟิศ...ที่ฉันรู้เพราะชุดที่เขาใส่อยู่มันแทบจะเป็นแบบเดียวกับฉันต่างเพียงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาส่งยิ้มกว้างเมื่อเขาพูดจบเหมือนเป็นการเว้าวอน

               ความคิดของฉันทำงานในทันทีและมันกำลังตัดสินใจว่าฉันควรให้เขานั่งหรือไม่

               ตุ๊บ!”

               แก้วกาแฟร้อนถูกวางลงบนโต๊ะพร้อมกับน้ำหนักตัวที่ถูกทิ้งตัวลงบนเบาะฝั่งตรงข้าม

               คำอุทานที่หยาบคายของฉันถูกสบถอย่างไม่พอใจภายในความคิด นี่ฉันกำลังเจอกับคนประเภทไหนกัน? ความเงียบเข้าปกคลุม ฉันได้แต่มองหน้าเขาด้วยความไม่พอใจ แต่เขายังคงก้มหน้ากินกาแฟและบางทีก็มองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอหนวดที่เริ่มดกบริเวณปากและยาวจนไปถึงใบหู บวกกับคิ้วที่ดกเข้มทำให้เขาดูหน้าแก่ทั้งที่จริง ๆ เขาน่าจะอายุไล่เลี่ยกับฉัน และขอเดาว่าชายหนุ่มคนนี้คงน่าจะต้องเป็นพวกที่ไม่ค่อยคิดอะไรและมักจะเรียกตัวเองให้ดูดีว่าเป็นคนง่าย ๆ อย่างแน่นอน โดยดูจากชายเสื้อที่หลุดลุ่ย เนคไทที่ผูกอย่างหลวม ๆ กับกระดุมเสื้อเม็ดบนที่ถูกปลดออก รวมถึงแขนเสื้อที่ถลกขึ้นแทนที่จะพับให้เรียบร้อยก็คงจะดูออกได้ไม่ยาก  แต่ฉันก็คงจะไม่พูดถึงรูปลักษณ์ภายนอกของคนอื่นออกมาหรอก...เสียมารยาทจะตาย

               “คุณแต่งตัวเรียบร้อยจัง”

               “ฮะ!” ฉันอุทานออกมาเสียงดัง นี่ฉันเพิ่งคิดไปเมื่อกี้เลย ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหลุดขำออกมา

               “ผมกรครับ”

               ถึงแม้ว่าเขา...ฉันหมายถึงกรจะแนะนำตัวไปแล้ว และตอนนี้เขาก็คงกำลังรอให้ฉันแนะนำตัวบ้าง แต่คิดเหรอว่าฉันจะทำ ฉันได้แต่ยิ้มตอบอย่างคนมีมารยาทและก็ยังคงเงียบต่อไป

               “แล้วคุณชื่ออะไรครับ?”

               นี่ฉันนึกว่าจะจบแล้วนะ! ฉันจึงต้องตอบอย่างเสียไม่ได้

               “ผมนพครับ”

               “นพพร หรือ นพนภาครับ?”

               ยังจะมายิ้มอีก ฉันเริ่มเหลืออดกับชายคนนี้ ไม่รอช้าฉันจึงรีบเก็บของและเตรียมตัวจะสะพายกระเป๋าไปหาร้านอื่นที่สงบๆนั่ง

               “อ่าว! นพจะไปไหนครับ?”

               “จะกลับแล้วครับ”

               “แต่ฝนยังตกอยู่นะ!”

               “ไม่เป็นไรครับ ผมมีร่ม”

               แต่ก็ต้องตกใจอย่างสุดขีดที่ตอนนี้ร่มที่ฉันกำลังจะเก็บเข้ากระเป๋าดันไปอยู่ในมือของชายแปลกหน้าเรียบร้อยแล้ว

               “แต่ร่มของคุณเสียหนิ!” กรพูดพลางพยายามกางร่มที่อยู่ในมือ

               ฉันหมดความอดทนกับคนประเภทนี้แล้ว จึงไม่รอช้าที่จะเอื้อมมือไปคว้าร่มที่อยู่ในมือฝ่ายตรงข้ามในทันที “คุณเป็นอะไรเนี่ย! มีมารยาทหน่อย”

               กรตกใจสะดุ้งตัวเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็กลับมาหัวเราะเหมือนเดิม “โอ้ว!” กรปล่อยมือออกจากร่มและยกมือขึ้นเหมือนกับยอมแพ้ “ทำไมคุณเครียดจัง”

               ฉันยังคงนิ่งเงียบและกำลังยัดร่มใส่กระเป๋าเตรียมที่จะลุกออกไป แม้ว่าจะต้องตากฝนก็ตาม

               “คุณ!...ผมขอโทษ”

               ก็ต้องยอมรับว่าสายตาเว้าวอนที่กรส่งมานั้นมันมีอิทธิพลกับฉันพอสมควร

              “ผมไม่กวนคุณแล้วก็ได้ อย่าเพิ่งออกไปเลยฝนยังตกอยู่ เดี๋ยวไม่สบายนะ”

               ก็จริงอย่างที่มันพูด นี่เราจะยอมไม่สบายเพราะคนไม่มีมารยาทคนนี้จริงๆเหรอ ฉันจึงยอมเย็นลงและกลับไปนั่งกินกาแฟเหมือนเดิม

              “นี่นพกินอะไรหอมจัง?”

               นี่มันจะอยู่เงียบๆไม่ได้เลยใช่มั้ย

               “ลาเต้ใส่อบเชย”

               “อี๋!”

               “อี๋ไร?”

               “อบเชย?”

               “เออ!” ทำไมวะ อบเชยมันมีปัญหาอะไร

               “นึกว่ามันอยู่ได้แค่ในแกงพะโล้”

                ฉันหยุดนิ่งและยังคงตั้งคำถามว่า นี่ฉันกำลังคุยกับคนประเภทไหนกัน?

               “เนี่ย! คุณหยุดคิดอีกแล้ว”

               หยุดคิดอะไรวะ? คนเรามันต้องคิดก่อนพูดดิ!

               “ถ้าอยากด่าก็ด่ามาเลยไม่เห็นต้องคิด”

               “ทีคุณอะ! ทำเป็นกินกาแฟดำ…แหม! เข้มมากมั้ง”

               “เนี่ย! เอาแบบนี้เลยไม่ต้องคิด”

               “คุณน่าจะบ้า” ได้แต่พึมพำอยู่คนเดียว

               “กร”

               “ฮะ!”

               “ผมชื่อกร”

               “รู้แล้ว! จะย้ำทำไม”

               “นพจะได้ไม่ต้องเรียกเราว่าคุณไง”

               “นี่เราสนิทกันแล้วเหรอ?”

               “ยัง! แต่เดี๋ยวก็สนิท”

               โอเคได้เลย นี่ฉันคงกำลังคุยกับคนไม่ปกติจริงๆ

                “แล้วคุ-” โอเคจ้องกันแล้ว “แล้วกรเพิ่งกลับจากทำงานเหรอ ทำงานอะไร?”

                “ผมทำงานธนาคาร”

               “ฮะ! จะมีคนเชื่อถือจริงๆใช่มั้ย?”

                ฉันแทบจะขำออกมาในทันที่ที่กรตอบคำถาม

                “แล้วนพทำงานอะไร”

                “Creative”

                กรขำออกมาในทันทีและเสียงดังจนทำให้โต๊ะอื่นต้องหันมามอง

                “นพนี่นะ Creative จะมีใครจ้างคุณมั้ยเนี่ย!”

                “เบา ๆ หน่อยสิ มองกันทั้งร้านแล้ว”

                กรหันไปมองรอบๆร้าน และนำมือขึ้นมาป้องปากอย่างกับเด็กที่สำนึกผิด

                จะว่าไปแล้วไอ้คนนี้มันก็เป็นคนที่น่าคุยด้วยนะ ถึงบางครั้งมันจะดูล้นๆ เกินๆ แต่มันก็สามารถทำให้ฉันลืมเรื่องที่กำลังคิดได้ เอาเข้าจริงในการสนทนาครั้งนี้คงเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ฉันคุยด้วยสมองที่ว่างเปล่า ไม่มีความคิดหรือการวางแผนใดๆ มันมีเพียงแค่ตอนนี้เรากำลังนั่งคุยกันในร้านกาแฟแห่งหนึ่งท่ามกลางพายุฝน

              เรื่องราวต่างๆถูกพูดคุยไปเรื่อย ๆ จนบางครั้งฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าคุยอะไรกันบ้าง รู้เพียงว่าฉันสบายใจที่ได้คุยกับเขา แต่ในที่สุดมันก็คงถึงเวลาที่การสนทนาที่ไร้แก่นสารแต่มีคุณค่านี้ต้องจบลง

             “ฝนหยุดแล้ว”

            ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ทุกสิ่งกำลังกลับเข้าที่เข้าทาง ถนนเปียกที่มีน้ำขังเป็นแอ่งสะท้อนเงาของต้นไม้ที่ดูชุ่มฉ่ำเหลือบเล่นกับแสงไฟสีส้ม โดยมีท้องฟ้ามืดเป็นฉากหลังผิดกับท้องฟ้าเมื่อตอนเย็น

            “คุยกับนพสนุกจัง”

            “สนุกเหมือนกัน...เราแยกกันตรงนี้เลยปะ?”

            “นพบอกบ้านอยู่แถวนี้...งั้นให้เราเดินไปส่งนะ”

            “จะไปทำไมบ้านกรไม่ได้อยู่แถวนี้สักหน่อย”

            กรหยุดนิ่งคิดไปสักพัก เหมือนเขากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง

            “แต่เรายังไม่ได้เล่าเรื่องเราตั้งหลายอย่างเลย...ก็นพเล่าอยู่คนเดียว”

            “อ่าว! หาว่าเราพูดมากเหรอ?”

             “อืม!”

             เฮ้ย! อะไรกันวะเนี่ย

             “งั้นเราให้กรเล่าเรื่องของกรคนเดียวเลย”

             กรตาลุกวาวเมื่อได้ยินคำตอบ เหมือนกับว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่ฉันตั้งใจจะสื่อออกไป

             “งั้นเราจะเล่าให้ดีเลย”

             กรลุกขึ้นพร้อมจูงมือฉันออกไปจากร้านกาแฟ พร้อมกับเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองระหว่างทางที่พวกเรากลับ

 

              ผมไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่ผมเห็นเขาคนนั้น เขาเดินผ่านผมไปจนผมแน่ใจว่า ผมจะพบเจอเขาในซอยนี้ทุกเย็น และผมก็พอเดาออกว่าเขาก็คงเป็นพนักงานออฟฟิศแถวนี้เหมือนกับผม เพราะชุดเรียบร้อยที่เขาใส่กับเวลาที่เราเจอกันมักจะเป็นเวลาที่ชาวออฟฟิศเลิกงาน

              มีหลายครั้งที่ผมคิดที่อยากจะเข้าไปทักเขาก่อน แต่ก็ด้วยความคิดในหัวที่ทำให้ผมไม่กล้าพอ แต่ครั้งนี้ผมตัดสินใจแล้วว่าวันนี้ผมจะต้องเข้าไปคุยกับเขาให้ได้ ซึ่งนั่นก็เหมือนว่าฟ้าฝนเห็นถึงความตั้งใจของผม ฝนตกลงมาอย่างหนัก แน่นอนว่าผมต้องใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ผมไม่รอช้าที่จะเข้าไปพูดคุยด้วยหัวใจอย่างแท้จริง เรียกได้ว่าผมแทบจะลืมทุกความคิดที่มาจากสมอง และปล่อยให้หัวใจนำพาผมไปตามธรรมชาติที่มันอยากให้เป็น

                การคุยกันในร้านกาแฟผ่านไปด้วยดี ถึงแม้ดูเหมือนว่า “นพ” จะไม่ค่อยชอบผมในตอนแรก ก็แน่นอนสิ ผมพูดอะไรแปลกๆไปตั้งเยอะแถมยังไปกวนเขาอีก แต่ก็อย่างที่บอกแหละว่าทั้งหมดมันมาจากหัวใจของผมจริง ๆ เป็นความรู้สึกจริงๆที่ไม่ผ่านอคติหรือกรอบของสังคมใดๆเลย

               เราสองคนเดินคุยกันบนถนนเส้นนั้น ถนนทางกลับบ้านของนพ ตอนแรกนพบอกว่าจะให้ผมเป็นคนเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง แต่สุดท้ายนพก็กลายเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดของตัวเองอยู่ดี ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมโอเคเป็นอย่างมาก ผมชอบมองเวลาที่นพพูดไปยิ้มไป หรือบางครั้งก็หัวเราะออกมา เหมือนผมเป็นคนไขกุญแจเปิดหัวใจของนพและนพเองก็ต้อนรับผมให้เข้าไปในนั้น

               เงาของเราสองคนยาวพาดผ่านถนน โดยที่เงาผมสูงกว่าเงาของนพเล็กน้อย โดยที่เงานั้นมันไม่ได้มาจากแสงจันทร์หรือแสงดาวตามในสิ่งที่มันควรจะเป็นเหมือนในหนังโรแมนติก ก็แหม! ในเมืองออกจะสว่างซะอย่างนี้จะเห็นดาวเห็นดวงจันทร์ชัดเจนได้อย่างไร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความโรแมนติกที่เหมือนในฝันของพวกเราจบลง แต่ในทางกลับกันมันยังคงคลุมเครือ มลังเมลืองเหมือนฝันที่เราไม่สามารถหาจุดเริ่มต้นและจุดจบได้

                ผมเอื้อมมือไปกอบกุมมือของนพเอาไว้ในขณะที่เขากำลังเล่าเรื่องของตัวเอง ความอุ่นชื้นของมือนพนั้นมันยิ่งทำให้เรื่องที่นพเล่าน่าฟังเป็นไหนๆ น่าฟังจนเหมือนว่าผมสามารถฟังเขาเล่าได้ตลอดไป แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าเขากำลังเล่าเรื่องอะไรอยู่ก็ตาม

               ในบางครั้งพวกเราก็แข่งกันวิ่งเหมือนกับเด็กๆว่าใครจะถึงก่อนกัน ในขณะที่วิ่งนั้นสายตาของผมแทบไม่ได้จับจ้องถนนเลย สายตาของผมเฝ้ามองแต่คนที่อยู่ข้างหน้า ผมอยากให้ทางกลับบ้านของผมสวยงามอย่างนี้ทุกวันจัง

               “ถึงแล้ว”

               นพบอกกับผมขณะที่พวกเรายืนอยู่ใต้เสาไฟที่ส่องแสงนวลแทนดวงจันทร์ที่มีตึกอพาทเม้นต์สีหม่นเลือนลางในความมืดอยู่ด้านหลัง ผมไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยังกุมมือนพไม่ปล่อย เหมือนกับว่าผมพยายามที่จะยื้อช่วงเวลานี้ให้นานที่สุด

              “เย็นนี้เป็นเย็นที่พิเศษกับเรามากเลยนะ” นพพูดพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

              “เย็นที่พวกเราไม่ต้องใช้ความคิดเหรอ?”

               ผมตอบกลับในแง่ตลกแต่นั่นก็เป็นความจริง นพพยักหน้าและดึงผมให้หันหน้าเข้ามาสบสายตากัน

              “บางคนมันก็พิเศษจนทำให้เราลืมทุกความคิด…แล้วปล่อยให้มันเป็นไปตามหัวใจ”

               ดวงตาที่เป็นประกายของนพในตอนนี้มันแทบจะเป็นสายตาแบบเดียวกับที่ผมเป็นอยู่ ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เราคิดวันนี้มันจะยังเป็นเหมือนเดิมในวันข้างหน้าหรือเปล่า หรือมันจะยังถูกต้องในอนาคตเมื่อเรามองกลับมาหรือไม่ รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมยังไม่ได้คิดถึงมัน มีแต่เพียงถ้อยคำที่ออกมาจากใจของผมอย่างซื่อตรงในตอนนี้

 

              “งั้นต่อไปนี้เราก็ปล่อยให้เรื่องของเรามันเป็นไปตามหัวใจนะ”

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.