เราไม่เคยจะรักกัน
1
แต่กับเธอที่ผ่านมาชั่วคราว และเรื่องราวที่เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน...
ผมยังคงนั่งฟังเพลงนี้ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ อยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยข้าวของแสนรกรุงรังมากมาย ผมชันเข่าขึ้นและก้มหน้าลงไปอย่างนั้น ไม่มีเสียงฮัมเพลงอย่างปกติที่ผมชอบทำ มีแต่เสียงสะอึกสะอื้นอย่างที่ผมเองก็ไม่อาจจะสะกดกลั้นมันเอาไว้ได้
นี่ผ่านมานานขนาดไหนแล้วนะ?
ผมยังคงทำใจไม่ได้เลยกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็แสนน่าขบขันเสียเหลือเกินตรงที่ว่า มันเกิดขึ้นไว และจบลงไว้เกินกว่าที่ผมจะรับมันได้ ครับ ผมเพิ่งอกหักมา แต่การอกหักของผม ไม่ได้เกิดจากการคบกันมานานเป็นปี สองปี หรือมากกว่านั้น เพียงแต่มันเกิดขึ้นเพียงแค่ไม่กี่วัน และจบลงในอีกเพียงแต่ไม่กี่คืนถัดมา
แม้ว่าเวลาจะแสนสั้น แค่ความรู้สึกของผมนั้น มันพุ่งทะยานเกินกว่าจะกู้มันกลับคืนมาได้
ผมรู้จักกับคน ๆ หนึ่งผ่านทางแอพพลิเคชั่นหาคู่ครับ หลาย ๆ คนที่รู้จักกับผม หากมองจากภายนอกคงจะคิดว่าผมเป็นคนหนุ่มวัยยี่สิบปลายที่มีดีเพียบพร้อมไปเสียหมดทุกอย่าง ทั้งหน้าที่การงาน ฐานะ การเงิน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยได้รับมันจริง ๆ สักที นั่นคือ ความรักจากใครสักคน เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมผมจึงต้องพึงบริการเจ้าแอพพลิเคชั่นเหล่านี้
ผมรู้จักกับผู้ชายคนนึงในนั้น แรกเริ่มเดิมทีผมเองก็ไม่ได้รู้สึกชอบเขาสักเท่าไหร่ อาจจะด้วยเพราะรูปสามสี่รูปที่เขาลงไว้ในนั้นไม่ได้ดึงดูดมากเหมือนคนอื่น ๆ แต่เพราะเขามากดชอบผมก่อน ผมก็เลยลองกดชอบเขากลับดูเพราะผมคิดว่าก็ไม่เสียหายเท่าไหร่หรอกมั้งที่จะทำความรู้จักกับเขาไว้ การเริ่มจากคนที่ชอบเราก่อน ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ เนื่องจากผมเป็นคนที่ค่อนข้างขี้อาย ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นก่อนอยู่แล้วด้วย
หลังจากวันนั้นที่เรากดชอบซึ่งกันและกัน บทสนทนาของเราก็เริ่มต้นขึ้น
แน่นอนครับว่า การเริ่มต้นคุยกับคนแปลกหน้าสักคนเป็นเรื่องยาก และผมเองก็ประสบปัญหานั้น แต่คน ๆ นี้เขาทำให้ผมรู้สึกกล้าที่จะถามตอบกับเขา เขาทำให้บทสนทนาระหว่างเรามันดูลื่นไหล และไม่ตื้นเขินเหมือนอย่างคนก่อนหน้าของผม เขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยวัยหนุ่มอายุไม่ได้ห่างจากผมมากนัก เขาบอกกับผมว่า เขามาที่นี่เพื่อมาทำงานวิจัยอะไรบางอย่างภายในสองสัปดาห์ ความจริงในเรื่องนี้ ทำให้ผมต้องใจหายจนแทบจะไม่คุยกับเขาต่อ นั่นเป็นเพราะผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องรักระยะไกล หรือ Long distance relationship อะไรทำนองนั้นเลย แต่จะทำยังไงดี หัวใจของผมมันเต้นถี่ทุกครั้งที่ได้คุยกับเขา หน้าตาของเขาไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว ผมอยากจะเจอเขา อยากได้ลองพูดคุยกับเขาตัวเป็น ๆ สักครั้ง
เราทั้งสองคนจึงตัดสินใจแลกไลน์ไอดีกัน และนัดเจอกันในอีกไม่กี่วันถัดมา
2
ผมลุกขึ้นยืนไปหยิบเอากระดาษทิชชูมาซับน้ำตาที่รื้นออกมา พลางจ้องมองดูนาฬิกาบนฝาผนัง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่าแล้ว ผมรีบจัดแจงตัวเอง เตรียมกระเป๋าสะพายแล่ง โทรศัพท์มือถือ ของใช้ส่วนตัวนิดหน่อยหยิบใส่กระเป๋าไปด้วย ผมเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าที่ไม่ห่างจากปากซอยที่พักของผมเท่าไหร่นัก ผมวิ่งขึ้นไปบนสถานีรถไฟแต่ก็ต้องสะดุดกลางคัน เนื่องจากผมลืมหยิบบัตรรายเดือนออกมาจากประเป๋าสะพายของผม จังหวะที่ผมกำลังควานหาบัตรของผมอยู่นั้น สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านประตูกั้นสวนเข้ามา
วินาทีนั้น ผมรู้สึกหน้าชาขึ้นมา
“พี่...” ผมเอ่ยปากออกไป ผมรู้ตัวว่าเสียงของผมไม่ได้ดังมากพอที่ใคร ๆ จะได้ยิน แต่เขาคนนั้นกลับหันกลับมาช้า ๆ พร้อมด้วยหน้าตาที่แสดงความสงสัย เมื่อสายตาทั้งสองคู่ประสานกัน ตาของเขาก็เบิกโพลง ผมสังเกตเหมือนว่าเขาจะพยายามนึกชื่อของผมอยู่พักนึง ก่อนที่เขาจะเรียกชื่อผมออกมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ผมรู้สึกดีใจอยู่ข้างในลึกๆ หากแต่สีหน้าของผมที่แสดงออกไปยังคงเรียบเฉยเหมือนพยายามจะวางมาด
“บังเอิญจังเลยเนอะ” เขาหลบสายตาผม “นี่เราจะไปไหนล่ะ”
“ผมว่า ผมจะไปซื้อของหน่อยน่ะครับ” ผมตอบ “บังเอิญจริง ๆ หลังจากวันนั้น...”
“...วันนั้น?”
3
“พี่จูบเก่งมากเลย” ผมเอ่ยปากในระหว่างที่เรากำลังประกบริมฝีปากกันอยู่บนเตียง
“หนูเองก็เหมือนกัน พี่ยังต้องเรียนรู้จากหนูอีกเยอะ”
ใช่ครับ เขาเรียกผมว่า “หนู” เป็นสรรพนามที่ผมไม่เคยได้ยินจากใครเลยนอกจากพ่อแม่ของผม เขาบอกว่า เขาเอาไว้ใช้เรียกนักศึกษาในชั้นเรียน ไม่คิดเหมือนกันว่าทำไมต้องมาใช้กับผมด้วย เขาบอกว่ามันทำให้เกิดความเอ็นดูเป็นพิเศษ และนั่นเป็นความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อเจอผม จนกระทั่งถึงตอนนี้ ตอนที่เขาพาผมมาที่โรงแรมที่เขาพักอยู่
เรายังคงเพลิดเพลินอยู่ในกามอารมณ์กันพักใหญ่ โดยที่ไม่ได้มีการกระทำใด ๆ เกิดขึ้นมากไปกว่าการคลอเคลียกัน นั่นทำให้ความรู้สึกของผมมันพลุ่งพล่าน เขาเป็นคนที่อ่อนโยน จังหวะที่เขาจูบที่หน้าผาก มือทั้งสองข้างของเขาประคองที่ใต้แก้มของผมเพื่อกระชับให้มั่นคง ก่อนบรรจงมอบจูบอันเร่าร้อนให้แก่ผม ผมเคลิบเคลิ้มราวกับตกอยู่ในภวังค์ มือของเราเริ่มสอดประสานกัน ร่างกายของเราเคลื่อนไหวขึ้นลงไปในทำนองเดียวกัน นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกพิเศษกับเขาขึ้นมา จะว่าเป็นความประทับใจก็คงไม่ผิดนัก เพราะที่ผ่านมาในชีวิตของผม ไม่เคยมีใครที่ทำให้ผมรู้สึก “ตัวเล็ก” ได้มากเท่าเขาคนนี้มาก่อน
“ถ้าพี่กลับไป ผมคงคิดถึงแย่” ผมนอนซบลงบนอกของเขา แขนซ้ายของเขาโอบรอบตัวของผมเอาไว้
“พี่เองก็เหมือนกัน” เขาพูดพลางจูบเบา ๆ ที่หน้าผากของผมหนึ่งที
“มีคนไปส่งพี่ที่สนามบินรึยัง?” เขาส่ายหน้า “งั้นผมขออาสาไปส่งแล้วกันนะ พี่จะได้ไม่เหงา”
“ได้สิ”
เรายังคงนอนคลอเคลียแบบนั้นอยู่บนเตียง จนผมเองแทบจะลืมไปว่าผมจะต้องกลับบ้านเพื่อที่จะเตรียมตัวไปทำงานในวันรุ่งขึ้น ผมถอนริมฝีปากตัวเองออกจากของเขา แล้วรีบลุกขึ้นมาแต่งตัวให้เรียบร้อย ที่หน้าประตู เขาจับมือของผมเอาไว้ ราวกับว่าอยากจะรั้งผมไว้ให้นานกว่านี้ สักเสี้ยววินาทีก็คงดี ผมรู้สึกใจบางเหลือเกินที่เจอท่าทีของเขาแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วก็ร่ำลากันด้วยจูบลาเวลาหนึ่งนาทีกว่า
สถานะของเราก็ยังไม่ชัดเจน ไม่มีใครบอกเราเป็นอะไรทั้งนั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรเลย
รู้แต่เพียงว่า วันนี้ผมช่างมีความสุขเหลือเกิน
4
“ใช่ครับ วันนั้นแหละ” ผมเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“พี่...” เขาหันหน้าไปทางอื่น “ขอโทษนะ แต่เรื่องที่ผ่านมา ให้ถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นได้ไหม?”
ไม่เคยเกิดขึ้น?
“พี่แค่เหงา” เราสองคนเบี่ยงมาตรงข้างทางเพื่อไม่ให้ขวางทางคนสัญจรไปมา ถึงแม้จะมีเสียงผู้คนจอแจมากมาย แต่มีเพียงแค่เสียงเดียวเท่านั้นที่ผมได้ยิน
คือเสียงของคนที่ทำให้ผมรู้สึกดี และทำให้ใจผมสลายได้ในขณะเดียวกัน
“พี่มีแฟนแล้ว เขาอยู่ต่างประเทศ ช่วงนี้เราสองคน...”
“พอแล้วครับ” ผมยังคงพยายามสะกดน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด ทั้ง ๆ ที่จริง ผมอยากจะซัดเข้าที่ใบหน้าของเขาสักที “พี่ไม่ต้องพูดอะไรแล้วครับ”
พูดจบ ผมก็เบี่ยงตัวหนีออกจากพี่เขาไป ในใจลึก ๆ ผมยังอยากให้พี่เขาจับมือรั้งผมเอาไว้ หรือไม่ก็เรียกผมด้วยคำว่า “หนู” เหมือนคืนแรก ๆ ที่เราได้อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ มันไม่เกิดขึ้นเลย ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองเขาเสียด้วยซ้ำ ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว ผมเปลี่ยนแผนไม่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า หากแต่ลงไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์ข้างล่างแทน ผมแอบเหลือบมองขึ้นไปข้างบนสถานี หวังอยู่ลึก ๆ ว่าเขาอาจจะเดินทางลงมา หรือไม่เขาก็อาจจะมองดูผมด้วยสายตาเป็นห่วงใยเหมือนเมื่อครั้งก่อน
ใช่ครับ มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง สิ่งที่จริงคือผมยังคงยืนน้ำตาไหลพรากอยู่คนเดียวที่ป้ายรถเมล์ ในใจมีแต่คำถามว่าสิ่งที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นมันคืออะไร อะไรที่ทำให้เขาทำกับผมได้ถึงขนาดนั้น ความเหงาของเขา มีสิทธิ์ที่จะทำให้ผมเสียใจได้มากขนาดนี้เหรอ? ยิ่งคิดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมความรู้สึกดี ๆ ระหว่างเรามันถึงได้เกิดขึ้น และจบลงไปไวขนาดนั้น
5
“พี่มีงานต้องทำนะ” เขาพูดผ่านไหล่กับผมที่กำลังนอนซังกะตายอยู่บนเตียง “พี่บอกแล้วใช่ไหม? ว่าให้หาอะไรมาทำด้วย” ไม่ เขาไม่ได้บอก ผมสาบานได้
ความหวานทุกอย่างที่เกินขึ้นกับผมเมื่อสองสามวันก่อน บัดนี้มันเปลี่ยนไปราวกับฟ้ากับเหว ผมที่ยังคงรักษาสัญญาว่าจะไปส่งเขาที่สนามบินก็มานอนค้างกับเขาอีกคืน แต่คราวนี้มันแปลกออกไป ท่าทีเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาทำราวกับว่าผมไม่มีตัวตน ทำงานหรือ? ใช่ เขาทำจริง แต่ไม่ใช่ตลอดเวลาแน่นอน เพราะผมเห็นเขาสลับฟังเพลง ร้องฮัมเพลงอย่างสบายใจ หรือไม่ก็แชทคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน ปล่อยให้ผมนอนอยู่บนเตียง มองดูนาฬิกาตั้งแต่หกโมงเย็นถึงสองทุ่ม
‘มึง กูรู้สึกอึดอัดมากเลยตอนนี้ กูอยากกลับบ้าน เขาแม่งไม่สนใจกูเลยว่ะ’ เพื่อนผมแชทคุยกับผมในขณะที่ผมนอนอยู่บนเตียง
‘กูบอกมึงแล้ว ว่าเขาต้องมีคนอื่นแน่ ๆ’ เพื่อนของผมตอบกลับมา ‘ตอนนี้มึงรู้สึกยังไงบ้าง?’
‘กูบอกไม่ถูก’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป สายตาของผมยังคงจับจ้องไปที่แผ่นหลังของเขา ‘กูว่ากูต้องเผลอใจให้เขาแล้วแน่ ๆ’
‘มึงพลาดแล้ว...’ พร้อมส่งสติกเกอร์ตัวการ์ตูนหัวเราะมา สำหรับผมมันไม่ขำเลยสักนิด ‘คนที่รู้สึกมากกว่า ต้องตกเป็นเบี้ยล่าง และต้องทนทุกข์ มึงจำได้ใช่ไหม?’
ประโยคเด็ดของพวกเราสมัยที่เรายังเรียนวรรณกรรมตะวันตก ใช่ครับ คนที่รู้สึกมากกว่า จะต้องกลายเป็นผู้แพ้ และต้องทนทุกข์ทรมานกับความรู้สึกของตัวเอง ตอนที่เรียน ผมอาจจะยังไม่ประสากับความรักก็ได้หละมั้ง เลยไม่อาจจะเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ แต่ตอนนี้ วรรคทองอันนี้ คงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำความเข้าใจมัน
เมื่อความรู้สึกที่เรามีให้คน ๆ หนึ่ง มันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น และมากขึ้นทุกวัน เราหวังลึก ๆ ในใจว่า ความรู้สึกของอีกคนก็ต้องไม่ต่างกัน แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย กลับกลายเป็นว่า เราเองต่างหากที่คิดไปเองว่าต้องเป็นแบบนั้น เราติดกับดักความคิดของตัวเอง ความรู้สึกมากมายที่มีมอบให้เขา ส่งผลให้เขาถือไพ่เหนือกว่า สุดท้ายเราก็ตกเป็นพ่ายที่พ่ายแพ้เสียเอง เพราะอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไร มันเลยเป็นสาเหตุของความทรมาน อย่างที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้
ผมเองก็กลัวเกินไปที่จะถามเขาให้รู้ ณ ตอนนั้น ผมได้แต่นั่งคิดว่า ไม่เป็นไรนะ เขาอาจจะยุ่งอยู่จริง ๆ เดี๋ยวพอตอนเข้านอน อะไร ๆ มันก็คงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เขาจะกลับมาจูบเบา ๆ ที่หน้าผากแล้วบอกฝันดี นอนกอดกันอย่างคืนก่อนหน้าก็ได้
...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เราทั้งสองคนนอนหันหลังให้กัน โดยมีหมอนข้างกั้นอยู่ตรงกลาง ผมถามตัวเองเบา ๆ ว่า ผมจะมาที่นี่ทำไม? อะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปได้เพียงชั่วข้ามคืนเช่นนี้? ความเครียดจากงานอย่างนั้นเหรอ? ผมสับสน ผมทำตัวไม่ถูก ทำไมทุกอย่างมันถึงเกิดขึ้นไวแบบนี้ ไวเกินกว่าที่ผมจะรับได้ ผมพยายามข่มตานอนในคืนนั้น ในขณะที่การนอนหลับของผมมันช่างแสนยากเย็น แต่อีกคนกับหลับง่ายสบายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมคงพ่ายแพ้จริง ๆ แล้วใช่ไหม?
6
ที่สนามบิน ผมไปส่งเขาตามที่สัญญา
ไม่มีคำพูดหวาน ๆ เหมือนเมื่อก่อน มีแต่บทสนทนาเรื่องทั่ว ๆ ไป การเมือง เศรษฐกิจ สังคม แต่ไม่มีเรื่องระหว่างเราอยู่ในบทสนทนานั้นเลย ผมยังคงเก็บคำถามของผมไว้ในในใจ ไม่กล้าเอ่ยปากถามเขาออกไป ส่วนหนึ่งผมเองก็กลัวคำตอบด้วยหละมั้ง
ยิ่งใกล้เวลาที่เครื่องจะออกมากเท่าไหร่ ใจผมก็ยิ่งบางลงมากเท่านั้น เพราะรู้ว่า นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน ผมยังคงเป็นคนปากแข็งจนถึงวินาทีสุดท้าย ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจ และเดินไปส่งเขาที่เกท
“เดินทางดี ๆ นะพี่” ผมยื่นมือหมายที่จะไปจับมือของเขา แต่เขากลับจับหูกระเป๋าเดินทางเอาไว้แน่น ดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยออกมาง่าย ๆ ผมอ่านสีหน้าเขาไม่ถูก เหมือนเขาจะรังเกียจ แต่ไม่ มันออกจะดูเฉยเมยเสียมากกว่า
“อือ ขอบใจนะที่มาส่ง”
เราสองคนหันหลังให้กัน มีชั่วขณะนึงที่ผมแอบหันหลังกลับไปมองเขา เพื่อหวังว่าสายตาของเราสองคนจะได้สบกันเป็นครั้งสุดท้าย แต่เหตุการณ์นั้นก็ไม่เกิดขึ้น ผมจึงยอมแพ้ และหยิบหูฟังออกมา เปิดเพลงที่เสียงดังที่สุด หวังว่าจะช่วยลบเรื่องราวดี ๆ หรือคำพูดดี ๆ ที่ยังคงฝังอยู่ในหัวสมองของผมให้มันเบาบางลงได้บ้าง แต่กลับไม่ช่วยอะไรเลย ผมเดินลงไปนั่งรถเมล์กลับมาที่บ้าน พร้อมกับเพลงที่ยังคงดังอยู่ในหู
ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ ฉันจะไม่รักเธอ
ใช่ ผมคงหลงรักเขาไปแล้ว
ถ้าย้อนเวลากลับไป จะเดินผ่านเธอไปเฉย ๆ
ตอนนั้นที่เธอยิ้มมา ฉันควรหลบสายตา มันคงจะดีกว่านี้ถ้าไม่รู้จักกัน
ผมไม่น่าเลย
ไม่น่าต้องได้มารู้จักกับเขาเลยจริง ๆ
7
เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว ผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา
เป็นแค่ความประทับใจ ที่ยังคงแน่นหนา มีแต่ฝนมีแต่ฟ้าที่เข้าใจ
ผมซื้อของเสร็จแล้ว ในหูของผมยังคงเปิดเพลงเดิมย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่เขา ก็คงเหมือนกับที่เขาว่าไว้ มันคงเกิดจากความหวั่นไหวของผมที่ผมไม่มีใคร และเขาเองก็ห่างไกลจากคนรักของเขา ก็แค่คนเหงาสองคนที่มาเจอกันในเวลาที่เหมาะเจาะพอดี เหมือนเรื่องราวใหม่ ๆ จะเกิดขึ้น แต่สุดท้ายมันก็เป็นได้แค่ความประทับใจชั่วคราว ที่อาจจะยังคงติดอยู่ในความทรงจำของผมอีกแสนนาน เหมือนเวลาที่เรารักใครสักคน เราก็จะยังจำเรื่องราวของคน ๆ นั้นได้ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ใช่ไหมครับ?
ฝนเริ่มตกหนักแล้ว ผมรีบวิ่งเข้าบ้านเพราะว่าผมดันลืมเอาร่มมาด้วย หลังจากวางข้าวของจัดแจงอะไรต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ผมก็สังเกตเห็นว่ามีใครบางคนไลน์เขามา ผมปลดล็อคหน้าจอ แล้วปรากฏว่าเป็นเพื่อนของผมนั่นเอง มันรู้ดีว่าผมยังคงทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ แม้ว่าจะผ่านมาเดือนนึงหลังจากที่เขาบินกลับไป แต่มันยังไม่รู้หรอก ว่าเขาได้เจอกับเขาโดยบังเอิญในวันนี้ด้วย
“แล้วมึงได้ถามเขาไหม?” ปลายสายเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น
“เขามีแฟนแล้ว” ผมตอบ “อย่างที่มึงบอกเลย”
“เชื่อกูแล้วรึยัง? นิสัยหรือคำพูดที่เขาใช้กับมึงเนี่ย คนเจ้าชู้แน่ ๆ แต่มึงก็ยัง...”
ผมไม่ตอบ
“เออ ไม่เป็นไรนะ แค่จะโทรฯมาบอกว่า อย่าลืมซื้อน้ำเต้าหู้ที่ใต้สถานีบีทีเอสบ้านมึงมาให้กูด้วย แค่นี้แหละ”
แล้วสายก็ตัดไป
ผมนั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาอีกครั้ง พลางคิดไปว่า เราจะมีโอกาสได้พบรักดี ๆ จากแอพพลิเคชั่นพวกนี้บ้างไหม แค่คิดผมก็เริ่มรู้สึกขยาดกับมันแล้ว ในโลกที่เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในชีวิตของทุกคนในทุก ๆ ด้าน แม้กระทั่งทำหน้าที่เป็นเหมือน “พรหมลิขิต” ที่นำพาให้เราได้มารู้จักกัน ไอ้ “พรหมลิขิต” ที่ว่านี่ มันจะยังใช้ได้กับสมัยนี้อยู่ไหมนะ ในเมื่อเราต่างเจอกันง่าย รู้จักกันง่ายเหลือเกิน ง่ายเสียจนเราอาจจะไม่ต้องปลงใจกับใครก็ได้ ในเมื่อเราสามารถหาใหม่ได้เรื่อย ๆ ยิ่งคิดไป ผมก็ยิ่งจะอคติกับปัญญาประดิษฐ์พวกนี้เสียแล้วสิ
แม้ว่าความสัมพันธ์บางรูปแบบมันจะปลอม แต่ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นของจริงเสมอ
ติ๊ง....
มีคนแมตช์กับผมอีกแล้วสิ ให้ตาย...
- 👁️ ยอดวิว 1112
แสดงความคิดเห็น