บทที่ 245: เปิดโปง
“ท่านพี่! ท่านสนิทกับองค์หญิงหกไม่ใช่หรือ? ท่านช่วยพูดแทนนางสิ!” เซียวถังถังที่อยู่ด้านข้างรู้สึกเป็นกังวลมากจึงกระตุกแขนเสื้อเซียวถังอี้ที่กำลังดื่มอย่างสบายใจอยู่ “ท่านไม่เห็นราชครูคนนั้นหรือ ดูเหมือนว่าเขาจงใจหาเรื่องกันชัด ๆ”
“แล้วยังมีลี่เฟยกับหรงเฟยอีก”
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินคนพูดกันมากมายเกี่ยวกับเรื่องในวังหลัง พวกนางมีความแค้นกับองค์หญิงหก ดังนั้นพวกนางจึงช่วยหนุนหลังราชครู”
“แต่องค์หญิงคงไม่สามารถห้าม…”
“ท่านพี่! เลิกดื่มได้แล้ว!”
เซียวถังถังเห็นว่าพี่ชายของตนไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย นางจึงคว้าจอกสุราจากมือของเขาออกมา
ทว่านางคว้าได้เพียงอากาศเพราะอีกฝ่ายเบี่ยงหลบทัน
“นั่งดี ๆ” เซียวถังอี้ผลักน้องสาวตัวยุ่งให้กลับไปนั่งที่ของตัวเอง “แล้วคอยดูต่อไปเงียบ ๆ เถอะ”
“ท่านจะให้ข้าทนอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร!” เด็กหญิงรู้สึกไม่พอใจและพยายามขัดขืน แต่ไม่ว่านางจะดิ้นรนมากเพียงใด คนเป็นพี่ชายก็ยังสามารถปรามนางไว้ได้ด้วยฝ่ามือใหญ่ “ไม่จำเป็นจะต้องคิดให้เยอะข้าก็รู้ว่าคนที่ราชครูพูดถึงคือองค์หญิงหก”
“แล้วจากนั้นฝ่าบาทก็จะทรงมีคำสั่งให้ทำพิธีบูชายัญองค์หญิงหกหรืออะไรทำนองนั้น”
“พวกเราเป็นสหายขององค์หญิง เราจะทนอยู่เฉยปล่อยให้นางถูกคนใส่ร้ายได้อย่างไร”
ทางด้านเซียวถังอี้ที่ไม่รู้จะจัดการกับน้องสาวได้อย่างไร สุดท้ายเขาจึงทำการสกัดจุดให้นางอยู่นิ่ง ๆ
“เจ้าลองคิดดูนะ เจ้าคิดว่าองค์หญิงหกจะคิดเรื่องนี้ไม่ได้หรืออย่างไร?” จากนั้นเด็กหนุ่มก็หันหัวเล็ก ๆ ของอีกฝ่ายไปด้านข้างแล้วพูดว่า “ดูสิ องค์หญิงหกของเจ้ามีแผนของนางเอง”
เมื่อพี่ชายกล่าวเช่นนี้ เซียวถังถังก็เพิ่งเข้าใจว่าตนเป็นกังวลมากไปเอง
ในเวลาเดียวกัน ท่าทางของมู่เทียนฉงกลับอ่อนลงเนื่องจากคำพูดของมู่ไป๋ไป่ แต่ดวงตาของเขายังคงแสดงออกถึงความไม่พอใจเมื่อเขามองไปที่ราชครู “ท่านราชครู เราหวังว่าท่านจะจดจำเอาไว้”
“เราแต่งตั้งให้ท่านเป็นราชครูได้ เราก็สามารถทำลายท่านได้เช่นกัน”
ยามที่ราชครูสบตากับบิดาของแผ่นดินเขาก็ตัวสั่นสะท้าน แต่เมื่อเขาขึ้นบนหลังเสือแล้ว เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันพูดว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา ทุกสิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแคว้นเป่ยหลง กระหม่อมระลึกพระคุณของพระองค์ไว้ขึ้นใจพ่ะย่ะค่ะ”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน กระหม่อมมองดูท้องฟ้าแล้วสรุปได้ว่าเป่ยหลงกำลังจะพบกับหายนะ”
“ความแห้งแล้งและสงครามก่อนหน้านี้เป็นสัญญาณจากสวรรค์ที่ส่งมาถึงเรา”
“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ!” หรงเฟยอุทานเสียงดัง และจ้องไปที่มู่ไป๋ไป่ด้วยดวงตาเป็นประกาย “ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามท่านราชครูได้หรือไม่ว่า เราจะผ่านพ้นภัยพิบัตินี้ไปได้อย่างไร?”
“ก่อนหน้านี้ข้ากับไทเฮาได้ไปที่วัดฮู่กั๋วเพื่อสวดมนต์ขอพรให้กับแคว้นเป่ยหลง มันไม่ได้ผลอะไรเลยหรือ?”
“ถ้าเป็นภัยพิบัติธรรมดา การสวดมนต์ขอพรนั้นย่อมมีประโยชน์” ราชครูพยักหน้าและแสร้งพูดขึ้นมาว่า “แต่ภัยพิบัติในครั้งนี้เกิดจากคนคนเดียว”
“ดังนั้นหากบุคคลนั้นยังไม่ถูกกำจัดออกไป แคว้นเป่ยหลงคงไม่อาจหลีกเลี่ยงภัยพิบัติในครั้งนี้ไปได้”
“ทุกครั้งที่เกิดขึ้น จะมีชีวิตสูญสิ้น ผู้คนนับหมื่นต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก…”
“มีเพียงต้องกำจัดบุคคลนี้เพียงเท่านั้น!” หรงเฟยตอบอย่างกระตือรือร้นทันที “ท่านราชครูพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าท่านรู้แล้วว่าบุคคลนั้นเป็นใคร เช่นนั้นก็ขอให้ท่านราชครูรีบบอกฝ่าบาท ให้พระองค์ได้ขจัดภัยร้ายนี้ออกไปในเร็ววัน”
ขณะนี้มู่ไป๋ไป่ก้มหน้าลงต่ำฟังบทสนทนาที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยของราชครูกับหรงเฟย และแอบเยาะเย้ยอยู่ในใจ
ก่อนหน้านี้เธอเคยคิดว่าราชครูกับลี่เฟยสมรู้ร่วมคิดที่จะส่งเธอให้เข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น
ทว่าปัจจุบันดูเหมือนว่าพวกเขาหมายจะเอาชีวิตเธอมากกว่า
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าได้โทษที่เธอไม่ปรานีก็แล้วกัน!
“บุคคลที่เป็นต้นเหตุของภัยพิบัติคือองค์หญิงหก” เมื่อราชครูเห็นว่าแผนการใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็พูดด้วยสีหน้าเศร้าใจว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมทราบว่าพระองค์ทรงโปรดปรานองค์หญิงหกมาก”
“แต่องค์หญิงหกเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของแว่นแคว้น กระหม่อมหวังว่าฝ่าบาทจะละทิ้งความรู้สึกส่วนพระองค์ และคิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ”
“เป็นไปไม่ได้!” ซูหว่านผุดลุกขึ้นตะโกนเสียงดัง “ไป๋ไป่ไม่ใช่ภัยพิบัติของแคว้น!”
“หว่านผิน ในฐานะมารดา กระหม่อมเข้าใจความรู้สึกของพระสนมที่พยายามปกป้องคนในสายเลือดของตัวเอง” ราชครูกล่าวพลางถอนหายใจ “แต่กระหม่อมขอถามพระสนมหน่อยว่า ก่อนที่นางจะอายุ 4 ขวบ นางแตกต่างจากคนทั่วไปหรือไม่?”
แน่นอนว่าซูหว่านรู้สึกอึดอัดกับคำถามนี้
ทุกคนในวังหลวงรู้ดีว่ามู่ไป๋ไป่เคยมีปัญหาเรื่องสติปัญญามาก่อน ดังนั้นในจุดนี้จึงทำให้ทุกคนหันไปมองมู่ไป๋ไป่กันเป็นตาเดียว
“นั่นเป็นเพราะองค์หญิงหกไม่มี 3 จิต 7 วิญญาณครบสมบูรณ์จึงทำให้นางสติไม่ดี” ราชครูลูบเคราตัวเองขณะพูดเรื่องไร้สาระด้วยท่าทางจริงจัง “ตอนนี้พระองค์กลับมาเป็นปกติแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะมันแลกมาด้วยชะตากรรมของแคว้นเป่ยหลง”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น เพราะคิดว่าสิ่งที่ชายชราพูดนั้นค่อนข้างจะคุ้นหู
“สิ่งที่ราชครูหมายถึงก็คือโชคลาภของแคว้นเป่ยหลงของเราได้กลายเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงองค์หญิงหกอย่างนั้นหรือ?” หรงเฟยยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับทำตาโต “และหากองค์หญิงหกเติบโตขึ้น โชคชะตาของแคว้นก็จะถูกกลืนกินไปมากขึ้นเรื่อย ๆ?”
“พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูพยักหน้ารับเบา ๆ “หรงเฟยเข้าใจถูกต้องแล้ว นี่คือเหตุผลที่กระหม่อมจำเป็นต้องทูลเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน”
“ขอฝ่าบาททรงตัดสินด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
มู่เทียนฉงเลิกคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าหล่อเหลาอันแสนเย็นชาของเขาแสดงอารมณ์เพียงเล็กน้อยซึ่งมันทำให้ผู้คนไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าชายผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่
“ไป๋ไป่ เจ้ามีอะไรจะพูดเกี่ยวกับข้อกล่าวหาของราชครูหรือไม่?” ฮ่องเต้หนุ่มที่เงียบไปนานจู่ ๆ ก็หันไปถามลูกสาว
มู่ไป๋ไป่รีบยืดตัวตรงแล้วตอบว่า “ทูลท่านพ่อ ไม่มีเพคะ”
ขณะเดียวกัน ซูหว่านกับเซียวถังถังต่างมีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดขององค์หญิงหก
“แต่หม่อมฉันมีบางอย่างจะกราบทูลเกี่ยวกับตัวตนของท่านราชครู” คนตัวเล็กหยุดไปสักครู่แล้วพูดต่อว่า “นับตั้งแต่ที่หม่อมฉันได้ยินว่าราชครูคนใหม่มีความสามารถในการควบคุมลมฝนได้ หม่อมฉันก็รู้สึกสงสัยในตัวของท่านราชครู”
“ด้วยความเลื่อมใส หม่อมฉันจึงได้ส่งคนไปยังบ้านเกิดของท่านราชครูเพื่อสร้างอนุสาวรีย์และอารามเพื่อเป็นการตอบแทน”
“แต่ไม่คาดคิดว่าหม่อมฉันจะได้ยินเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับท่านราชครูเข้าโดยบังเอิญ”
คำกล่าวนั้นทำให้สีหน้าของราชครูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หืม?” มู่เทียนฉงเลิกคิ้ว “เจ้าลองเล่าให้เราฟังสิ”
“หม่อมฉันเห็นว่าทั้งผมและเคราของท่านราชครูเปลี่ยนเป็นสีขาว หม่อมฉันก็คิดว่าท่านราชครูมีอายุมากแล้ว…”
“องค์หญิงหกจะไปเข้าใจอะไร” หรงเฟยจงใจพูดขัดจังหวะ “ท่านราชครูอยู่ทัดเทียมสวรรค์ เขาอาจจะอายุมากกว่าที่องค์หญิงคิด”
“จริงหรือเพคะ?” มู่ไป๋ไป่ยิ้มให้หรงเฟย ก่อนจะเอ่ยถามว่า “แล้วเหตุใดคนที่บ้านเกิดของท่านราชครูถึงบอกว่าเขามีอายุเพียง 30 ปีเศษเท่านั้นล่ะเพคะ?”
คำถามของเด็กหญิงส่งผลให้รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวชะงักค้างไปทันที ในขณะที่ทุกคนอุทานออกมาพร้อมเพรียงกัน
“เป็นไปได้อย่างไร?”
“ภายนอกของราชครูดูแก่กว่าปู่ทวดของข้าอีก เขาจะอายุเพียงแค่ 30 ปีเศษได้อย่างไรกัน?”
“ใช่ ๆ … เป็นไปไม่ได้…”
ในระหว่างการสนทนาของผู้คน ลี่เฟยก็หันไปมองราชครูด้วยสายตาประหลาดใจ พร้อมกับที่สีหน้าของนางค่อย ๆ เปลี่ยนไป
“พวกท่านไม่เชื่อหรือ? ไป๋ไป่เองก็ไม่เชื่อเช่นกัน” มู่ไป๋ไป่ยกมือขึ้นแล้วพูดเสียงหวาน “แต่นั่นคือสิ่งที่คนในบ้านเกิดของท่านราชครูพูด”
“หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนบ้านของท่านราชครูด้วย เขาบอกว่าเขาเฝ้าดูท่านราชครูเติบโตมาด้วยตาของเขาเอง”
“เขาพูดว่าตอนเด็ก ๆ ท่านราชครูร่างกายอ่อนแอ ทำให้เขาหมกมุ่นอยู่กับการฝึกตน จนทำให้เขาแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ปี”
“หลังจากนั้น ท่านราชครูก็มักจะเก็บตัวบำเพ็ญเพียร”
“ครั้งสุดท้ายที่เพื่อนบ้านเห็นท่านราชครู ผมของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีขาว หลังค่อมเหมือนคนอายุ 100 ปีเสียแล้ว”
“ไร้สาระ!” ใบหน้าของราชครูเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม “กระหม่อมเป็นนักพรตที่กักตัวฝึกฝนบนภูเขามานาน กระหม่อมมีเพียงพืชผักอยู่เป็นเพื่อน กระหม่อมไม่มีเพื่อนบ้านอย่างที่พระองค์พูด ไม่จำเป็นต้องพูดถึงบ้านเกิดของกระหม่อมด้วยซ้ำ!”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: โดนเจ้าตัวเล็กสวนกลับเข้าให้แล้ว ราชครูจะแก้เกมยังไงล่ะทีนี้


แสดงความคิดเห็น