บทที่ 246: ร่ำเรียนในหุบเขาหมอเทวดา
“เช่นนั้นหรือ? จางเอ้อร์โก่ว” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่ฉายแววเจ้าเล่ห์ในขณะที่เธอพูดว่า “เช่นนั้นท่านหมายความว่าองค์หญิงคนนี้ใส่ร้ายท่านอย่างนั้นหรือ?”
ทันทีที่คำว่า ‘จางเอ้อร์โก่ว’ ถูกเอ่ยออกมา ใบหน้าเหี่ยวเฉาของราชครูก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธทันที
“ไป๋ไป่ ใครคือจางเอ้อร์โก่วหรือ?” ในที่สุดมู่เทียนฉงก็ถามขึ้นมาหลังจากเงียบฟังอยู่นาน
“ทูลท่านพ่อ จางเอ้อร์โก่วคือชื่อจริงของท่านราชครูเพคะ” มู่ไป๋ไป่โค้งคำนับให้ผู้เป็นพ่อและพูดเกี่ยวกับสิ่งที่องครักษ์เงาของเซียวถังอี้ค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ “จางเอ้อร์โก่วพื้นเพเป็นคนจิ่นโจว พระองค์สามารถส่งคนไปตรวจสอบที่จิ่นโจวก็ได้เพคะ”
“พูดไร้สาระ!” ราชครูตวาดเสียงดังพร้อมกับจ้องคนตัวเล็กเขม็งโดยที่เขาไม่แม้แต่จะรักษาท่าทีของตัวเองอีกต่อไป “กระหม่อมเป็นราชครู พระองค์อย่าได้คิดที่จะใส่ร้ายกระหม่อม”
“ท่านราชครู ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือเท็จ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่านหรือข้า” มู่ไป๋ไป่ยิ้มสดใสอย่างไม่สะทกสะท้าน “ท่านพ่อจะเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง”
“อวี้เซิ่ง” มู่เทียนฉงเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา “เราขอสั่งให้เจ้าเดินทางไปที่จิ่นโจวทันทีเพื่อตรวจสอบว่าสิ่งที่องค์หญิงหกพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่”
นักฆ่าหนุ่มที่กำลังมองดูเรื่องสนุกตรงหน้าอย่างมีความสุขมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “...”
เขาไม่ได้อยากออกเดินทางในเวลานี้!
เขายังต้องคอยตามติดเจียงเหยาอยู่!
จากนั้นอวี้เซิ่งก็จ้องไปที่มู่ไป๋ไป่อย่างไม่พอใจเป็นการทิ้งท้ายโดยที่เธอยิ้มจนตาปิดให้กับเขา
แน่นอนว่าคำสั่งของฮ่องเต้ถือเป็นที่สุด ไม่ว่าชายหนุ่มจะไม่เต็มใจมากเพียงใด แต่เขาก็ยังก้าวเท้าไปข้างหน้าและรับคำสั่งของอีกฝ่าย
“ไป๋ไป่ เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” มู่เทียนฉงออกคำสั่งเสร็จก็หันไปถามลูกสาวอีกครั้ง
“มีเพคะ!” มู่ไป๋ไป่กล่าวจบก็รีบดีดนิ้ว ก่อนที่จื่อเฟิงจะคุมตัวองครักษ์ไปข้างหน้า
ในขณะที่ทุกคนยังคงมองดูด้วยความสับสน ลี่เฟยที่อยู่ด้านข้างก็หน้าถอดสี
นางหันหลังกลับไปตั้งท่าจะหลบหนี แต่นางก็ถูกชายชุดดำที่ปรากฏตัวตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบขวางทางเอาไว้
“ลี่เฟยคิดจะไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ชิงหานขวางนางไว้ด้วยสีหน้าเย็นชา ขณะที่เขาพูดว่า “หากพระสนมต้องการจะออกไป พระสนมต้องฟังองค์หญิงหกตรัสให้จบก่อนค่อยไป”
หญิงสาวสั่นสะท้านไปทั้งตัว นางไม่คาดคิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะหาตัวคนผู้นั้นพบเข้าจริง ๆ
และที่สำคัญ ถ้าตัวตนของราชครูเป็นไปตามที่มู่ไป๋ไป่พูดจริง ๆ ละก็…
โอสถทั้งหมดที่นางเฝ้ากินมาตลอดหลายปีที่ผ่านมามันจะไม่ใช่ของปลอมหรอกหรือ?
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางทำตามที่ราชครูบอกมาหลายปี แต่นางกลับไม่สามารถตั้งครรภ์ได้จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้
ลี่เฟยที่คิดได้เช่นนั้นก็กัดริมฝีปากล่างจนห้อเลือด พร้อมกับที่ใบหน้าของนางค่อย ๆ ซีดลง
“คนผู้นี้เป็นใคร?” มู่เทียนฉงขมวดคิ้วขณะที่เขามองไปยังองครักษ์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นโดยมีจื่อเฟิงควบคุมตัวเอาไว้
มู่ไป๋ไป่ตอบในใจว่าเป็นคนรักของลี่เฟย แต่เธอไม่กล้าพูดเช่นนั้นออกไปต่อหน้าท่านพ่อ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตอนนี้ที่นี่เต็มไปด้วยพระสนมของฝ่าบาท
ถ้าเธอบอกไปตามตรงว่ามู่เทียนฉงถูกภรรยาสวมเขาต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้ มันจะไม่ทำให้เขาเสียหน้าหรอกหรือ?
อย่างน้อยเธอก็ยังคงต้องรักษาหน้าท่านพ่อของเธอเอาไว้บ้าง
“ไป๋ไป่ขอบอกเรื่องเกี่ยวกับบุคคลนี้ให้ท่านพ่อฟังเพียงคนเดียวได้หรือไม่เพคะ?” มู่ไป๋ไป่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นคงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ที่จะพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก”
มู่เทียนฉงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าและกวักมือให้ลูกสาวเข้ามาหาตน
คนตัวเล็กถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วค่อย ๆ ก้าวไปยืนต่อหน้าผู้เป็นพ่อ ก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างลี่เฟยกับองครักษ์คนนั้น
นอกจากนี้เธอยังมอบสิ่งของที่พบจากตัวองครักษ์ให้แก่อีกฝ่าย
หลังจากฮ่องเต้หนุ่มได้รู้ความจริง ใบหน้าของเขาก็มืดมนจนทุกคนสังเกตเห็นได้ชัดเจน
ในขณะที่ผู้คนที่มาร่วมงานอยากรู้ว่าองค์หญิงหกพูดอะไรกับฝ่าบาท ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ยังคงหวาดกลัวกับชื่อเสียงที่โหดเหี้ยมของชายผู้นี้ จึงไม่มีใครกล้าวิจารณ์เรื่องนี้ออกมาตามตรง
ส่งผลให้ภายในอุทยานแห่งนี้ตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน
“ทหาร!” หลังจากเวลาผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่อาจทราบได้ มู่เทียนฉงก็ออกคำสั่ง “โยนคนพวกนี้เข้าไปในคุก แล้วส่งตัวลี่เฟยไปที่ตำหนักเย็น”
องครักษ์คนที่คุกเข่าอยู่ตรงกลางลานไม่ตอบโต้ใด ๆ ยามที่เขาได้ยินว่าตนนั้นถูกโยนเข้าคุกหลวง
มีเพียงลี่เฟยเท่านั้นที่ยังคงร้องไห้อย่างไม่ยินยอม
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องจะทูล…” หญิงสาวร้องห่มร้องไห้ในสภาพน่าสมเพช “ไม่ว่าองค์หญิงหกจะพูดอะไร ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหก…”
“ฝ่าบาท…”
ในเวลานี้ลี่เฟยไม่สนใจอีกต่อไปว่าสิ่งที่ฝ่าบาทตรัสก่อนหน้านี้จะแฝงไปด้วยอคติต่อนางมากเพียงใด
สิ่งที่นางรู้ก็คือถ้านางต้องการเอาชีวิตรอดไปให้ได้ นางต้องไม่ยอมรับสิ่งที่นางเคยทำมาก่อน
บัดนี้ภายในสวนมีเพียงเสียงร้องไห้ระงมของลี่เฟย แต่มู่เทียนฉงก็ยังคงเมินเฉยจนกระทั่งนางถูกลากตัวออกไปจากอุทยาน จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองราชครูที่ตกตะลึงอยู่กับที่
ราชครูซึ่งเล่นกลอุบายมาหลายปีและหลอกลวงผู้คนมานับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
เมื่อเขาสบสายตาอันโหดเหี้ยมของฮ่องเต้ เขาก็รู้สึกขาอ่อนแรง
“ท่านราชครู ขอเชิญท่านไปใช้ชีวิตในคุกหลวงสักพักก่อนที่ความจริงจะกระจ่าง” เสียงของมู่เทียนฉงฟังดูเย็นชามากกว่าที่เคย
จนกระทั่งราชครูถูกลากตัวออกจากอุทยานไป เขาก็ยังไม่สามารถพูดออกมาจนจบประโยคได้
ในเวลาเพียง 1 ถ้วยชา สถานการณ์ทุกอย่างพลิกผันอย่างรวดเร็วจนหลายคนตั้งตัวไม่ทัน
ทุกคนได้แต่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสับสน เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ไป๋ไป่ วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า เราได้ทำลายวันดี ๆ ของเจ้าเสียแล้ว ดังนั้นเราก็ควรจะขอโทษเจ้า” มู่เทียนฉงมองไปที่มู่ไป๋ไป่อีกครั้ง คราวนี้แววตาของเขาอ่อนลงมาก
ในความเป็นจริง เขามีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับที่มาของราชครูตั้งแต่อีกฝ่ายปรากฏตัว
อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นอวี้เซิ่งไม่ได้อยู่ข้างกายเขา เขาจึงไม่มีคนที่เขาสามารถไว้ใจส่งไปตรวจสอบที่มาของราชครูที่ผิดปกติให้กระจ่าง
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเก็บอีกฝ่ายไว้ในวังหลวงอย่างไม่เต็มใจ
ซึ่งมู่ไป๋ไป่ก็ได้แก้ปัญหาใหญ่ในครั้งนี้ให้เขาได้สำเร็จ
แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เขารู้สึกผิดที่หลงเชื่อทุกคำพูดของตาเฒ่านั่นว่าองค์หญิงหกเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติ
แม้ว่าราชครูจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่เขาก็บอกเป็นนัย ๆ ว่าคนที่เป็นต้นเหตุของภัยพิบัตินั้นคือมู่ไป๋ไป่
ซึ่งการกระทำดังกล่าวมันชัดเจนมากว่าอีกฝ่ายต้องการจะจัดการมู่ไป๋ไป่
พอคิดถึงจุดนี้ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองโง่มากจริง ๆ
“ท่านพ่อไม่ผิดเพคะ คนที่ผิดคือคนที่จงใจหลอกลวงท่าน” มู่ไป๋ไป่คุกเข่าลงก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “แต่ไป๋ไป่มีเรื่องจะทูลขอท่านพ่อ”
“พูดมาสิ” มู่เทียนฉงมองลูกสาวตรงหน้าด้วยท่าทางใจดี “ขอเพียงเป็นสิ่งที่เราทำได้ เราจะรับปากเจ้าอย่างแน่นอน”
“ไป๋ไป่อยากจะขอให้ท่านพ่ออนุญาตให้ไป๋ไป่เดินทางไปร่ำเรียนที่หุบเขาหมอเทวดา” มู่ไป๋ไป่สูดหายใจเข้าลึก ๆ และเอ่ยความคิดของเธอออกไปหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา
“ไม่ได้!” ผู้เป็นพ่อปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ไป๋ไป่ เจ้าโกรธพ่อหรือ? เจ้าไม่ต้องกังวล หลังจากที่พ่อได้รู้ความจริง—”
“ท่านพ่อ ไป๋ไป่ไม่ได้โกรธท่าน” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองมู่เทียนฉงด้วยท่าทางจริงจังขณะที่เอ่ยปากว่า “ไป๋ไป่จะไม่มีวันโกรธท่านพ่อ”
“เหตุผลที่ไป๋ไป่ต้องการไปร่ำเรียนวิชาแพทย์ก็เพราะว่าไป๋ไป่ได้ประสบเหตุการณ์มากมายที่ชายแดน”
“สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของไป๋ไป่นับไม่ถ้วนก็คือ ไป๋ไป่หวังว่าตัวเองจะมีวิชาการแพทย์ติดตัว ไป๋ไป่จะสามารถช่วยเหลือประชาชนของเป่ยหลงได้”
“ครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสที่ดี”
“ไป๋ไป่ได้พบกับหมอเทวดาเจียงเหยา ตอนนี้นางก็อยู่ในวังหลวงด้วยเช่นกัน ไป๋ไป่อยากจะกราบเป็นลูกศิษย์ของนาง จึงอยากขอให้ท่านพ่อทรงอนุญาตไป๋ไป่ด้วยเพคะ”
คำพูดของคนตัวเล็กนั้นล้วนออกมาจากใจจริง มันจริงใจมากจนทำให้มู่เทียนฉงไม่อาจคิดหาเหตุผลมาหักล้างเด็กคนนี้ได้
ฮ่องเต้หนุ่มมองลึกเข้าไปในดวงตาขององค์หญิงหกที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าและรู้สึกว่าภายในเวลาเพียงครึ่งปี ลูกสาวของเขาดูเหมือนจะเติบโตขึ้นมากแล้ว
บางที… นี่อาจจะเป็นเพราะการเดินทางไปยังชายแดนทำให้เด็กน้อยคนนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เรียบร้อยยยย จัดการมารผจญไปหนึ่งได้ถึงสอง แถมยังได้ออกจากวังหลวงอย่างที่น้องต้องการด้วย


แสดงความคิดเห็น