ตอนที่ 973 หลอมรวม 3 กฎ
ตอนที่ 973 หลอมรวม 3 กฎ
“อะเฮือก!”
กิเลนเพลิงซูย่ากระอักเลือดออกมาอีกครั้งพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียวลงไปกว่าเดิม
ขนอุยพยายามดิ้นรนจากในท้องของศัตรูอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่ามันจะถูกกระแสจิตอันโหดร้ายคอยกดดันอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
“อดทนเอาไว้ อีกไม่นานเราก็จะไปถึงอาคมสวรรค์กลืนอสูรแล้ว”
ศีรษะของโมฮาโผล่ออกมาจากบริเวณไหล่ของซูย่า หลังจากที่เขาได้ใช้วิชาเพื่อหลอมรวมร่างทั้งคู่เข้าด้วยกัน ร่างของกิเลนที่มีศีรษะด้านหนึ่งเป็นม้าและมีศีรษะด้านหนึ่งเป็นคนจึงกลายเป็นภาพอันแปลกประหลาดยากจะหาพบได้ในช่วงเวลาปกติ
ซูย่าอดทนรับความเจ็บปวดและพยายามก้าวเท้าไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในที่สุดโครงหินขนาดใหญ่ก็เริ่มปรากฏให้เห็นในระยะไกล
โครงหินนี้ประกอบไปด้วยหินสีดำสูงตระหง่าน 7 ก้อนเรียงต่อกันเป็นวงกลม โดยหินแต่ละก้อนมีความสูงมากถึง 10 กิโลเมตรและมีความหนาราวกับว่ามันเป็นภูเขาขนาดใหญ่
บนก้อนหินถูกฝังเอาไว้ด้วยหัวใจจักรวาลระดับต่าง ๆ อย่างมากมาย ซึ่งโครงหินเหล่านี้ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหนเลยนอกเสียจากอาคมสวรรค์กลืนอสูรที่โมฮาได้พูดถึงในก่อนหน้านี้นั่นเอง
ผู้ควบคุมอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าดาร์คไนท์ใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างอาคมแห่งนี้ขึ้นมา เพียงแค่จำนวนหัวใจจักรวาลที่ฝังอยู่ในก้อนหินแต่ละก้อนเพียงอย่างเดียวก็มีมูลค่าหลาย 10 ล้านคริสตัลส้ม เรียกได้ว่ามันคือทรัพย์สมบัติทั้งชีวิตของโมฮาก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
อาคมสวรรค์กลืนอสูรคือเขตอาคมที่จะบั่นทอนพลังของอสูรที่ถูกกักขังเอาไว้ไปเรื่อย ๆ และเมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปอสูรที่ถูกกักขังก็จะไม่เหลือพลัง ก่อนที่จะยอมจำนนในที่สุด
ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีอสูรชนิดไหนสามารถหลบรอดไปจากอาคมอันทรงพลังแห่งนี้ได้ โมฮาจึงคิดว่าแม้แต่อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่หาตัวจับยากในจักรวาลก็ไม่มีข้อยกเว้นด้วยเช่นกัน
ซูย่ารีบกระโจนไปข้างหน้าก่อนที่จะยึดเกาะหินสีดำเอาไว้ ต่อมาหินสีดำทั้งเจ็ดก็ถูกกระตุ้นให้ส่องแสงสว่างออกมาอย่างเจิดจ้าเป็นสัญญาณว่าเขตอาคมนี้ถูกเปิดใช้งานเรียบร้อยแล้ว
กิเลนเพลิงสูดลมหายใจเข้าไปสุดกำลัง จากนั้นมันก็บ้วนขนอุยเข้าไปยังเขตใจกลางอาคม
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งซูย่าและโมฮาต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า ก่อนที่ทั้งคู่จะทรุดตัวลงกับพื้นเพื่อพยายามฟื้นฟูพละกำลังที่พวกเขาได้สูญเสียไป
“ในที่สุดก็สำเร็จ! พวกเราจับอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว!!” โมฮาตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
ทันทีที่เขาพูดจบคู่หูเจ้านายกับอสูรร้ายก็ได้ยินเสียงกึกก้องมาจากระยะไกล ทั้งโมฮาและซูย่าจึงรีบมองไปยังใจกลางเขตอาคมพร้อมกับขมวดคิ้ว
ขนอุยยังคงสมกับเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ เพราะถึงแม้ว่ามันจะถูกจับขังภายในเขตอาคมอันแข็งแกร่ง แต่มันก็ยังคงดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งไม่คิดที่จะยอมแพ้ต่อโชคชะตาของมันง่าย ๆ
อิ้ว!
มารขาวเริ่มปลดปล่อยพลังงานออกมาด้วยความโกรธ โดยในขณะนี้มันพยายามใช้พลังงานที่เก็บสะสมมาทั้งหมดเพื่อทำลายเขตอาคมที่โมฮาภาคภูมิใจ
—
“ตายซะ!!” เซี่ยเฟยร้องคำรามด้วยใบหน้าที่ดุร้าย ซึ่งในระหว่างนั้นร่างของเขาก็พุ่งตัวออกไปราวกับสายฟ้า โดยมีเป้าหมายคือฟูลมูนผู้ซึ่งเป็นจอมเทพขั้นที่ 8
ปีกปีศาจกางออกไปถึง 9 เมตร และเมื่อมันได้เคลื่อนที่ผ่านสายลม มันก็ปลดปล่อยเสียงอันโหยหวนชวนขนลุกดังไปทั่วทั้งบริเวณ
เซี่ยเฟยกับฟูลมูนปะทะกันอย่างรุนแรง จากนั้นทั้งคู่ก็แยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว แต่ชายหนุ่มยังคงพยายามพุ่งเข้าจู่โจมชายชราอย่างโหดร้าย โดยไม่สนความต่างชั้นของพลังระหว่างพวกเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะด้วยความคับแค้นใจที่กำลังอัดอั้นอยู่เต็มอก เขาจึงจำเป็นจะต้องสังหารใครสักคนเพื่อระบายความโกรธออกไปให้ได้
ฟูลมูนรับมือเซี่ยเฟยอย่างรำคาญใจ ซึ่งในตอนแรกเขาคิดว่าภารกิจในคราวนี้สมควรจะเป็นภารกิจอันง่ายดาย แต่ใครจะไปรู้ว่าความเป็นจริงหมาป่าเดียวดายแห่งสกายวิงคนนี้จะเคลื่อนไหวได้เร็วมาก เพราะในพริบตาทั้งคู่ก็เกิดการปะทะกันไปแล้วเป็นจำนวนกว่า 1,000 ครั้ง
เซี่ยเฟยเปรียบเสมือนหมาบ้ากระโจนเข้าใส่ศัตรูอย่างไม่หยุดหย่อน ฟูลมูนจึงไม่ได้มีเวลาพักหายใจเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ทันใดนั่นเองชายชราก็ชูอุปกรณ์แปลก ๆ ขึ้นไปบนฟ้า ทำให้ลูกแก้ว 3 ลูกบนอุปกรณ์ส่องแสงขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
“การหลอมรวม 3 กฎ!? เขาคือผู้ฝึกฝนกฎหลัก 3 กฎพร้อม ๆ กัน!” ลินนิจอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
แม้ว่าตอนนี้จิตใจของเซี่ยเฟยจะตกอยู่ในความบ้าคลั่ง แต่คำว่าการหลอมรวม 3 กฎมันก็กำลังทำให้เขารู้สึกตกตะลึงอยู่จริง ๆ
การฝึกฝนกฎหลักทั้งสามพร้อม ๆ กันสมควรจะเป็นเพียงแค่เรื่องราวในตำนาน แต่แสงสว่างที่ฟูลมูนเรียกออกมาคือหลักฐานชั้นดีที่บ่งบอกว่าชายคนนี้คือผู้เชี่ยวชาญกฎแห่งสสาร, กฎแห่งมิติและกฎแห่งแสงในเวลาเดียวกัน
ความสามารถในการหลอมรวมพลังกฎเข้าด้วยกันเรียกได้ว่าเป็นพลังแห่งปาฏิหาริย์ แล้วการหลอมรวมพลังกฎ 3 กฎเข้าด้วยกันย่อมเป็นปาฏิหาริย์ซ้อนปาฏิหาริย์อีกที
หลักการควบคุมพลังกฎแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าหากว่าใครต้องการจะใช้พลังกฎที่แตกต่างกันในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็จำเป็นจะต้องใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อรักษาสมดุลย์ระหว่างกฎทั้งสามชนิดนี้เอาไว้
ธนูยาวที่อยู่ภายในมือของฟูลมูนคือสิ่งประดิษฐ์ที่ชื่อว่าธนูผนึกสวรรค์ ซึ่งมันเป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้รักษาสมดุลย์พลัง และทำให้พลังกฎทั้งสามภายในอุปกรณ์สามารถแสดงอำนาจออกมาได้ถึง 95%
ด้วยอุปกรณ์ชิ้นนี้มันก็สามารถกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าฟูลมูนสามารถใช้พลังกฎทั้งสามออกมาได้ในเวลาเดียวกัน โดยมีโอกาสที่พลังจะเกิดการขัดแย้งกันเพียงแค่ 5% เท่านั้น
ฟูลมูนเริ่มรวบรวมพลังเอาไว้ภายในคันธนู โดยพลังที่อยู่ภายในมือของเขานั้นแสดงแสง 3 สีที่แตกต่างกันออกมาอย่างชัดเจน
สีเหลืองคือพลังของกฎแห่งสสาร, สีแดงคือพลังของกฎแห่งมิติและสีขาวคือพลังของกฎแห่งแสง!
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมชายชราคนนี้ถึงไม่สามารถพัฒนาจนถึงจุดสูงสุดของจอมเทพได้สักที เพราะแท้ที่จริงแล้วเขาเลือกฝึกฝนกฎหลักถึงสามกฎในเวลาเดียวกัน
ด้วยพรสวรรค์ของชายชราที่สามารถพัฒนาพลังมาได้จนถึงระดับนี้ มันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าหากเขาเลือกทำการฝึกฝนเพียงแค่กฎใดกฎหนึ่งเพียงกฎเดียว เขาก็ควรจะพัฒนาจนกลายเป็นจอมเทพระดับสูงสุดไปได้ตั้งนานแล้ว
ลูกธนูสามสีถูกปลดปล่อยออกไปราวกับสายฟ้า โดยมีเป้าหมายคือเซี่ยเฟยที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง
แสงทั้งสามสีกระโจนออกไปราวกับมังกรที่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นน้ำ จากนั้นพวกมันก็ค่อย ๆ หลอมรวมเข้าด้วยกัน เมื่อลูกศรเข้าไปใกล้เป้าหมายของมันแล้ว พลังกฎทั้งสามก็ได้กลายเป็นคลื่นแสงขนาดใหญ่ที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า
ชายหนุ่มสูดลมหายใจก่อนที่จะประสานมือเอาไว้ยังด้านหน้า จากนั้นใบหญ้าทั้งแปดก็เริ่มถักทอประสานกันเพื่อสร้างแนวป้องกันอันแข็งแกร่ง
เซี่ยเฟยรู้ดีว่าคู่ต่อสู้ของเขาในคราวนี้แข็งแกร่งมากแค่ไหน และถ้าหากว่าเขาไม่สามารถหยุดลูกธนูอันทรงพลังในครั้งนี้เอาไว้ได้ เขาก็คงจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องลองสกัดกั้นพลังกฎที่รวมตัวกันในครั้งนี้เอาไว้ให้ได้ พลังของกฎแห่งความโกลาหลจึงถูกเรียกออกมาที่ฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็ว
ใบดาบสีดำสนิทที่โค้งงอเริ่มปรากฏออกมาเรื่อย ๆ ซึ่งใบดาบเสี้ยวจันทร์ที่ปรากฏออกมานี้ก็ให้ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับปีกปีศาจที่อยู่บนหลังของเซี่ยเฟย
ตอนแรกความเร็วของดาบเสี้ยวจันทร์ที่เคลื่อนตัวออกไปก็ไม่ได้เร็วมากนัก แต่หลังจากที่มันหลุดพ้นออกไปจากร่างของเซี่ยเฟย มันกลับค่อย ๆ เคลื่อนไหวออกไปเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ
ลินนิจเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะเขารู้ดีว่าดาบเสี้ยวจันทร์ที่ถูกเรียกออกมานี้เกิดมาจากพลังของกฎแห่งความโกลาหล
นับตั้งแต่ที่เซี่ยเฟยฝึกฝนกฎแห่งความโกลาหลมานานนับปี นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาประยุกต์ใช้เพื่อปลดปล่อยกฎแห่งความโกลาหลออกไปในระยะไกล
อย่างไรก็ตามทันทีที่พลังของกฎแห่งความโกลาหลถูกปลดปล่อยออกไปจากร่าง ใบหน้าของเซี่ยเฟยก็เกิดอาการซีดเซียวขึ้นมาอย่างชัดเจน แม้แต่ร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการโจมตีในครั้งนี้จำเป็นจะต้องทุ่มเทพลังออกมาอย่างมากมายมหาศาล
การปะทะครั้งแรกเกิดขึ้นระหว่างลูกธนูสามกฎและหงส์คราม ถึงแม้ว่าใบหญ้าทั้งแปดจะแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า แต่เมื่อมันต้องปะทะกับพลังที่รุนแรงมากกว่า ท้ายที่สุดใบหญ้าก็ถูกทำร้ายจนแตกกระจายในเวลาเพียงแค่ไม่นาน
แม้ว่าหงส์ครามจะไม่สามารถหยุดยั้งพลังกฎทั้งสามเอาไว้ได้ แต่การโจมตีนี้ก็สูญเสียพลังออกไปมากพอสมควร เรียกได้ว่าหงส์ครามได้ปฏิบัติภารกิจของตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว
ขั้นตอนต่อไปคือการรอดูว่าดาบเสี้ยวจันทร์ที่ถูกควบแน่นจากกฎแห่งความโกลาหลจะสามารถทำลายลูกธนูสามกฎที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากฟูลมูนได้หรือไม่
นี่คือการเผชิญหน้าที่จะกำหนดชะตาชีวิตของเซี่ยเฟย!
ลูกศรแสงสามสีปะทะเข้ากับดาบเสี้ยวจันทร์!!
พลังของกฎหลักตั้งสามข้อกำลังจะปะทะเข้ากับพลังของกฎแห่งความโกลาหล!!!
—
อิ้ว ๆ ๆ ๆ
ขนอุยส่งเสียงร้องคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่ดวงตาของมันถูกเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด
ฟูลมูนคือจอมเทพขั้นที่ 8 ผู้ซึ่งเป็นกบฏที่ย้ายฝั่งจากเผ่าเทพไปยังเผ่ามาร เขาเป็นผู้ที่ครอบครองธนูผนึกสวรรค์ และเขาก็ยังเป็นหนึ่งในนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้คำสั่งของพระเจ้าที่ถูกส่งตัวมาจัดการกับเซี่ยเฟยด้วย
ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมาฟูลมูนย่อมเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เซี่ยเฟยเคยเผชิญหน้ามาอย่างแน่นอน แต่ด้วยระดับพลังที่ห่างชั้นกันอย่างมาก มันย่อมทำให้เซี่ยเฟยตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย
โมฮาคือผู้ควบคุมอสูรร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าดาร์คไนท์ และเขายังเป็นอาจารย์ของเหวินหยิงผู้ซึ่งเป็นลูกสาวของราชาดาร์คไนท์
กิเลนเพลิงคืออสูรดาร์คไนท์ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่โมฮาเคยฝึกฝนมา ที่สำคัญไปกว่านั้นคืออสูรดาร์คไนท์ตัวนี้สามารถพิชิตอาวุธมายาดอกบัวห้วงสมุทรได้อีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นปัจจุบันขนอุยยังถูกกักขังอยู่ภายในเขตอาคมสวรรค์กลืนอสูร สถานการณ์ของเจ้าตัวน้อยจึงกำลังตกอยู่ในช่วงวิกฤตไม่ต่างไปจากเซี่ยเฟย
อย่างไรก็ตามถึงแม้ทั้งคู่จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีพลังมหาศาล แต่มันก็ไม่มีใครมีความคิดที่จะยอมแพ้ เพราะคติประจำใจที่ถูกสลักเอาไว้ในจิตวิญญาณของทั้งสองคือการยืนหยัดต่อสู้จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ขนอุยที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยพลังงานจึงพยายามพุ่งเข้าใส่เขตอาคมอย่างบ้าคลั่ง
การเคลื่อนไหวของเจ้าตัวน้อยในคราวนี้รุนแรงเป็นอย่างมาก จนทำให้ดาวเคราะห์ทั้งดวงซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคมสวรรค์กลืนอสูรเกิดอาการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
โมฮากับซูย่ามองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง เพราะพวกเขาไม่คิดว่าอสูรตัวเล็ก ๆ เท่าลูกบอลจะสามารถจู่โจมได้อย่างทรงพลังมากขนาดนี้
หลังจากที่จู่โจมอย่างบ้าคลั่งอยู่นาน ขนอุยก็เริ่มนั่งนิ่งอยู่เฉย ๆ จากนั้นมันก็ใช้ดวงตาอันเจ้าเล่ห์ของมันกวาดมองสำรวจทั่วทั้งบริเวณ
“นายท่าน อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้มันบ้ามาก คุณแน่ใจเหรอว่าคุณจะสามารถปราบปรามมันได้?” ซูย่าถามพร้อมกับกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่
ใบหน้าของโมฮายังคงซีดเผือดและเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะในแววตาของเขากำลังเต็มไปด้วยความสับสน
ตอนแรกเขามั่นใจมากว่าเขาจะสามารถพิชิตอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ได้ แต่หลังจากที่เขาได้นำตัวมันมาเขากลับได้พบว่าความเป็นจริงยากกว่าสิ่งที่เขาจินตนาการเอาไว้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นทั้งโมฮาและซูย่าก็ได้พบว่ามุมปากของขนอุยกำลังยกรอยยิ้มขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์ ไม่ต่างไปจากตอนที่เจ้านายของมันกำลังเผยรอยยิ้มก่อนที่จะก่อให้เกิดหายนะ
อสูรตัวนี้แทบจะลอกเลียนแบบพฤติกรรมเจ้านายของมันมาทุกระเบียบนิ้ว แม้แต่รอยยิ้มอันชั่วร้ายของเซี่ยเฟยก็ยังถูกสืบทอดมาจนถึงเจ้าตัวน้อยด้วย ไม่รู้ว่าในตอนนี้ภายในหัวของมันกำลังคิดแผนการอะไรอยู่กันแน่
ต่อมาขนอุยก็เริ่มลอยตัวขึ้นไปบนฟ้า แต่มันไม่ได้จู่โจมเข้าใส่เขตอาคมอย่างบ้าคลั่งอีกต่อไป แต่เลือกที่จะดูดพลังงานจากเขตอาคมเข้าไปภายในร่างของมันแทน
ไม่ว่าเขตอาคมจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่เขตอาคมจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมีพลังงานคอยหล่อเลี้ยงอยู่เท่านั้น แผนการของขนอุยคือการเปลี่ยนพลังงานทั้งหมดมาเป็นของมันเอง ซึ่งไม่เพียงแต่พลังงานเหล่านี้จะช่วยทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นเท่าน้น แต่มันยังจะสามารถทำลายเขตอาคมของศัตรูลงไปได้อีกด้วย
**************
ขนอุยฉลาดมากกกก สู้ ๆ ไอ้ตัวน้อย!! ไม่มีใครเปย์คริสตัลได้ดีกว่าพี่เฟยแล้ว 555
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 317
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น