Porpiang Writer 1 : The Superhero Arc บทที่ 10 บ้านของพอเพียง

Porpiang Writer 1 : The Superhero Arc

-A A +A

Porpiang Writer 1 : The Superhero Arc บทที่ 10 บ้านของพอเพียง

หมวดหนังสือ: 

วันอังคารที่ 14 เมษายน ค.ศ. 2020

บ้านเลขที่ 303/18 ซอยไฮเอคโค่ 86 หมู่บ้านเดอะแรบบิท เมืองเซ็นเตอร์ซิตี้ กรุงเทพมหานคร

 

        วันนี้พอเพียงอยู่ในบ้านกับเล็กซ์แค่สองคน พ่อกับแม่ของเขาไปพักที่ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา บ้านของพอเพียงเป็นคฤหาสน์สามชั้น มีโรงรถ สวนพืชผักทำกินเอง และสระว่ายน้ำกว้าง ๆ ด้วย ในคฤหาสน์มีห้าห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องอาหาร และหนึ่งห้องรับแขก นี่ยังไม่นับห้องอื่น ๆ อีกด้วย

        ห้องทำงานของพอเพียง คือตู้คอมพิวเตอร์ พอเพียงเทค อาร์เทมิส อัลติเมต ออลอินวัน (PorpiangTech Artemis Ultimate All-in-One) พีซีที่มีสเปกเครื่องสูงสุดของพอเพียงเทค อาร์เทมิส อัลติเมต (PorpiangTech Artemis Ultimate) รวมกับไส้ในของคอนโซลยุคเดียวกัน คือเพลย์สเตชั่น 4 โปร (Sony PlayStation 4 Pro) เอ็กซ์บ็อกซ์วันเอ็กซ์ (Microsoft Xbox One X) และดรากอน 2 แอดวานซ์ (PorpiangTech Dragon 2 Advance) แถมติดพอร์ตด็อกกิ้งของนินเท็นโดสวิตช์ โดยที่ระบบปฏิบัติการของพีซีอาร์เทมิส คือระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 โปร (Windows 10 Pro) มาพร้อมกับโปรแกรมออฟฟิศ 365 (Office 365) และโปรแกรมเวิร์กสเตชั่นแบบต่าง ๆ อีกมากมาย

        ส่วนจอมอนิเตอร์ที่เขาใช้คือ พอเพียงเทค เกมมิ่ง มอนิเตอร์ เคิร์ฟ ซูเปอร์-อัลตร้า-ไวด์ เอ็กซ์ 3214 (PorpiangTech Gaming Monitor Curved Super-Ultra-Wide X3214) จอเกมมิ่งมอนิเตอร์แบบโค้งที่มีความกว้างระดับ 32:9 และสามารถแบ่งจอในสัดส่วน 16:9 ได้สองจอ คือจอหนึ่งเป็นพีซี อีกจอหนึ่งอาจจะเป็นเกมคอนโซล เป็นต้น โดยจะอยู่ตรงกลาง ส่วนอาร์เทมิส ออลอินวัน จะอยู่ด้านขวาของจอ ส่วนด้านซ้ายของจอมอนิเตอร์คือชั้นวางคร่อมของสีขาว ที่ด้านบนคือเราเตอร์กระจายสัญญาณหกเสาสีขาว สกายเวิร์ธ จีเอ็น 542 วีเอฟ (Skyworth GN542VF) เราเตอร์ที่อยู่ในแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตบ้าน ทรู ออนไลน์ กิกะเท็กซ์ ไฟเบอร์ (True Online Gigatex Fiver) ส่วนใต้ชั้นวางคือกล่องแอนดรอยด์ทีวี/สมาร์ตทีวี/ไอพีทีวีที่มีชื่อว่า ทรู วิชั่นส์ อินโน ไฮบริด พลัส (True Visions Inno Hybrid+) ซึ่งมันก็คือกล่องทรูไอดีทีวี (True ID TV) ที่ใช้แพ็คเกจช่องแบบทรูวิชั่นส์และรับสัญญาณจากสายเคเบิลนั่นแหละ โดยจะต่อสายเคเบิลจากเราเตอร์กิกะเท็กซ์เข้ากับทรูวิชั่นส์อินโนไฮบริดพลัสโดยตรง

 

        ในด้านของโรงรถ ตอนนี้เริ่มมีรถชิรอนเพิ่มเข้ามาบ้างแล้ว ทั้งบูกัตติ ชิรอน เพียร์ สปอร์ต (Bugatti Chiron Pur Sport) รุ่นมาตรฐาน ที่สีภายนอกและภายในเป็นแบบเดียวมาตั้งแต่ชิรอนคลาสสิก แต่จะต่างตรงที่ว่าดีไซน์ของกระจังหน้าและกระจังท้ายมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยให้มันดูเหมือนกับรถแข่งบนสนามแข่ง รวมไปถึงติดปีกหลังถาวรไว้ให้ด้วย ส่วนภายในห้องโดยสารก็มีธรรมเนียมการสลักชื่อรุ่นไว้ที่หมอนพิงศีรษะและแผงคอนโซลกลางเหมือนเดิม รุ่นนี้สลักชื่อชิรอนเพียร์สปอร์ตไว้ที่เดิม ๆ เสมอ

        บูกัตติ ชิรอน รุ่น 110 (ซอง-ดิซ) อ็อง บูกัตติ (Bugatti Chiron 110 (Cent-Dix) Ans Bugatti Edition) ตัวถังเป็นสีน้ำเงินสตีลบลูด้าน ใต้ปีกหลังจะทำสีธงชาติฝรั่งเศส ฝาเติมน้ำมันทั้งสองข้างจะมีโลโก้ 110 อ็องบูกัตติ หลังกระจกมองหลังจะมีแถบธงชาติฝรั่งเศส ส่วนภายในนั้น เก้าอี้โดยสารจะมีขอบสีน้ำเงินดีปบลูทำจากหนัง ส่วนทั้งห้องคือสตีลบลู หมอนพิงศีรษะใส่โลโก้ 110 อ็องบูกัตติ และธงชาติฝรั่งเศสพาดตั้งแต่หมอนพิงศีรษะไล่ลงไปจนถึงใต้เบาะ

        บูกัตติ เจ็นโตดีซี (Bugatti Centodieci) เป็นรถยนต์สีขาวที่มีลักษณะใกล้เคียงจากบูกัตติ อีบี 110 (Bugatti EB110) ลักษณะด้านหน้าคล้ายกับอีบี 110 แต่ถูกดีไซน์ให้ทันสมัยขึ้น เพราะตะแกรงหน้ารูปเกือกม้าของอีบี 110 และเจ็นโตดีซีนั้นมีขนาดเล็กที่สุดในตระกูลรถบูกัตติแล้ว ภายในนั้นถูกตกแต่งด้วยสีขาว ทำจากวัสดุอัลแคนทาร่าทั้งห้อง โดยรวมแล้วดูคล้ายกับชิรอนมาก แต่มันสลักชื่อเจ็นโตดีซีไว้ที่หมอนพิงศีรษะและแผงคอนโซลกลาง

        บูกัตติ ดิโว (Bugatti Divo) เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างแบล็คแอตแลนติกกับวิชั่นกรันทูริสโม มีปีกหลังลู่ลมคล้าย ๆ กับชิรอนเพียร์สปอร์ต กระจังหน้ามีตะแกรงรูปเกือกม้า ติดธงชาติฝรั่งเศสไว้ที่แผงข้างประตูใกล้ล้อหน้า มีไฟหน้าเป็นเส้นตั้งฉาก ต่อให้มันคล้ายกับชิรอนก็แทบจะดูไม่เหมือนกับชิรอนเสียทีเดียว ท่อไอเสียของดิโวเป็นทรงสี่เหลี่ยม มีครีบคั่นกลางพาด แต่ที่ปัดน้ำฝนเป็นที่ปัดคู่เหมือนรถยนต์ทั่วไป ภายในดูคล้ายกับชิรอน ตกแต่งด้วยสีดำผสมสีน้ำเงินเขียว ตัวพวงมาลัยกับเบาะนั่งทำจากวัสดุอัลแคนทาร่า ตัวถังของรถดิโวคือสีเงินด้านทั้งคันและแถบล่างเป็นสีน้ำเงิน

        บูกัตติ ชิรอน คลาสสิกอีกคันหนึ่งคือคันที่ทำจากเลโกขนาดเท่าของจริง ภายนอกด้านหน้าเป็นสีน้ำเงินอ่อน ด้านหลังเป็นสีน้ำเงินเข้ม ภายในผสมระหว่างสีเบจกับสีดำ ซึ่งเหมือนกับชิรอนคลาสสิกที่ใช้ในการเปิดตัวเมื่อปี 2016 นั่นเอง

        บูกัตติ ชิรอน ซูเปอร์สปอร์ต 300 พลัส (Bugatti Chiron Super Sport 300+) ตัวถังลายคาร์บอนไฟเบอร์สีดำเจ็ตแบล็คเงามีแถบส้มคู่พาดตั้งแต่หัวจรดท้าย ซึ่งก็เหมือนกับบูกัตติ เวย์รอน 16.4 ซูเปอร์สปอร์ต เวิลด์ เรคอร์ด (Bugatti Veyron 16.4 Super Sport World Record) กับบูกัตติ เวย์รอน 16.4 แกรนด์สปอร์ต วิเทสส์ เวิลด์ เรคอร์ด (Bugatti Veyron 16.4 Grand Sport Vitesse World Record) โดยทั้งฝาครอบเครื่องยนต์ โครงรูปตัวซีฝั่งประตูรถ และตะแกรงรูปเกือกม้าเป็นสีดำทั้งหมด โลโก้บูกัตติหน้าตะแกรงถูกทำให้เป็นโทนสีดำเช่นเดียวกับเวย์รอนเวิลด์เรคอร์ดทั้งสองรุ่น ด้านท้ายของตัวถังนั้นยาวกว่าชิรอนรุ่นอื่น ๆ สัก 25 เซนติเมตรด้วยเหตุผลที่ไว้ใช้ทำความเร็วสูงสุด มีการเปลี่ยนกระจังหน้าและกระจังท้ายให้ต่างจากชิรอนเพียร์สปอร์ต ท่อไอเสียของรถคันนี้เป็นท่อแนวตั้งคู่ ภายในห้องโดยสารถูกตกแต่งด้วยสีดำเบลูก้าลายสีส้มนิดหน่อย วัสดุของเก้าอี้โดยสารและพวงมาลัยทำจากวัสดุอัลแคนทาร่า มีการสลักชื่อรุ่นซูเปอร์สปอร์ต 300 พลัสไว้ที่แผงคอนโซลกลางและหมอนพิงศีรษะ

        และยังมีโซนรถพิเศษโดยเฉพาะนั่นก็คือ โซนรถบูกัตติสีดำ (Black Bugatti Zone) ฉากโดยรอบของโซนนี้จะถูกฉาบด้วยสีดำแวนต้าแบล็คทั้งฉาก (Vantablack) สีดำที่เกิดมาจากสารคาร์บอนนาโนทูบจำนวนมหาศาลรวมกันด้วยความหนาแน่น และบางกว่าเส้นผมของมนุษย์เสียอีก ซึ่งดูดซับแสงได้ถึง 99.96 เปอร์เซ็นต์ และไม่มีอุปกรณ์ไหนวัดค่าความดำของสีนี้ได้เลย จนทำให้แวนต้าแบล็คเป็นหนึ่งในสีดำที่ดำมืดที่สุดในโลก นอกจากนี้แวนต้าแบล็คยังมีชนิดย่อย ๆ ขึ้นมาอีก เช่น เอส-วีไอเอส (S-VIS) เป็นสีดำแวนต้าแบล็คที่ทำจากคาร์บอนนาโนทูบ ซึ่งจะถูกใช้เคลือบพื้นผิวอุปกรณ์บางชนิดสำหรับใช้ในอวกาศ และก็เข้มเอามาก ๆ ในขณะที่วีบีเอ็กซ์ 2 (VBx2) เป็นแวนต้าแบล็คที่ไม่ใช้คาร์บอนนาโนทูบและอาจจะเข้มน้อยกว่าด้วย ซึ่งสีดำแวนต้าแบล็คถูกวิจัยขึ้นมาโดยบริษัทเซอร์เรย์ นาโนซิสเต็มส์ (Surrey Nanosystems) และสีดำแบบนี้ก็ถูกเอาไปใช้ในการโปรโมตรูปแบบต่าง ๆ มากมาย แต่การที่วัตถุสีดำแบบนี้อยู่ในที่มืดอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี หลัก ๆ เลยก็คือจะมองไม่เห็นวัตถุที่มีสีดำแบบนี้เพราะแสงไม่สะท้อนเลย และบริษัทที่วิจัยสีนี้ก็ไม่คิดที่จะทำวัตถุสีนี้ออกวางตลาดทั่วไปอยู่แล้ว แม้กระทั่งนาฬิกาข้อมือก็ยังมีทำเป็นนาฬิกาข้อมือแวนต้าแบล็คเลย แต่มันเป็นแค่ตัวเรือนนาฬิกา แต่สายรัดไม่ได้ทำสีแวนต้าแบล็คขนาดนั้น แต่ก็ดูเวลายากเอาเรื่องเหมือนกัน

        แต่สีดำแบบนี้ถูกนำไปใช้โปรโมตในหลาย ๆ ด้านอยู่เยอะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นห้องทึบเพื่อการเล่นเกม หรือจะเป็นกระป๋องสเปรย์ระงับกลิ่นกายแอ็กซ์แบล็ค (ในยุโรปเรียกยี่ห้อนี้ว่าลิงซ์) ที่ถูกทาเป็นสีแวนต้าแบล็คซะเลย เหลือแต่โลโก้แอ็กซ์/ลิงซ์ที่ส่องสว่างท่ามกลางสีดำแวนต้าแบล็ค หรือจะเป็นวงการรถยนต์ที่ก่อนหน้านี้สีแวนต้าแบล็คเคยถูกเอาไปใช้กับรถบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์ 6 (BMW X6) รถเอสยูวีของยี่ห้องบีเอ็มดับเบิลยู จนกลายเป็น บีเอ็มดับเบิลยู วีบีเอ็กซ์ 6 (BMW VBX6) จนเกิดเป็นข่าวโด่งดังอยู่พักหนึ่ง โดยที่ทางบีเอ็มดับเบิลยูไม่มีแผนที่จะขายรถคันนี้แน่นอน แต่พอเพียงได้ติดต่อขอทางบริษัทให้ทาสีนี้ให้กับโซนบูกัตติสีดำด้วยตัวเองเพื่อให้ดูขลังยิ่งขึ้น โดยจะมีรถบูกัตติ ไทป์ 57 เอสซี แอตแลนติก หมายเลข 57453 ซึ่งถูกกู้คืนมาจากเกาะเดดลี่เทคโดยไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ ทั้งสิ้นเลย

        รถคันถัดไปที่อยู่ในโซนบูกัตติสีดำคือ บูกัตติ ลา โวชัว นัวร์ (Bugatti La Voiture Noire) รถสีดำที่ถูกสร้างมาเพื่อเคารพจุดเด่นของรถแบล็คแอตแลนติกและชอง บูกัตติ โดยที่ด้านท้ายของรถนั้นถ้ามองจากด้านข้างจะค่อนข้างโค้งลงมาน้อยกว่าซูเปอร์คาร์ทั่วไป ไฟท้ายเป็นเส้นโค้งลงทั้งซ้ายขวา ไม่ใช่ไฟท้ายเส้นตรงแบบชิรอน ปีกหลังที่กางและหุบได้โค้งตามรูปทรงของรถ ท่อไอเสียกลม ๆ หกท่อเรียงเป็นแนวนอนอยู่ท้ายรถ และกระจกประตูรถกับหน้ารถมีการเชื่อมกันอย่างแนบเนียน มีครีบคั่นกลางที่ไล่ตั้งแต่หัวจรดท้ายเหมือนกับแบล็คแอตแลนติกกับวิชั่นกรันทูริสโม และมีที่ปัดน้ำฝนคั่นกลางที่เชื่อมกับครีบหลังได้อย่างแนบเนียนเหมือนกับวิชั่นกรันทูริสโม มีไฟหน้าที่ต่างจากชิรอนอย่างมาก มันเป็นแถบแนวตั้ง ไม่ใช่แนวนอนแบบชิรอน และโลโก้บูกัตติที่อยู่บนตะแกรงเป็นโทนสีแดงตามปกติ ตัวถังสีดำเงาลายคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วนภายในห้องโดยสารของลา โวชัว นัวร์ มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับชิรอน ซึ่งสีเพดานห้อง พื้นห้อง และแผงคอนโซลกลางเป็นสีเบจ ส่วนเบาะที่นั่งคนขับ ประตู แผงคอนโซลหน้า และพวงมาลัยเป็นสีน้ำตาลเข้ม พวงมาลัยกับที่นั่งคนขับทำจากวัสดุหนัง ในขณะที่คันโยกเกียร์ถูกเคลือบด้วยลายไม้เหมือนกับหัวคันโยกเกียร์ของแบล็คแอตแลนติก และมีการสลักชื่อรุ่นลา โวชัว นัวร์ไว้ที่หมอนพิงศีรษะและแผงคอนโซลกลาง

        บูกัตติ ชิรอน นัวร์ คลาสสิก (Bugatti Chiron Noire Classic) ชิรอนที่ตัวถังสีดำเงาลายคาร์บอนไฟเบอร์ รวมไปถึงโครงรูปตัวซีข้างประตูกับฝาครอบเครื่องยนต์เป็นสีดำเงาด้วย ยกเว้นตะแกรงรูปเกือกม้าและตัวกรอบตะแกรงเป็นสีแพลตินั่ม โลโก้บูกัตติที่ติดอยู่บนตะแกรงเป็นโทนสีแดงตามปกติ ส่วนภายในถูกตกแต่งด้วยสีน้ำตาลที่แผงคอนโซลหน้า ประตู และที่นั่งคนขับ ผสมกับสีเบจที่แผงคอนโซลกลาง พื้นห้อง และเพดานห้อง มีการสลักชื่อรุ่นนัวร์เป็นตัวอักษรสีดำไว้ที่แผงคอนโซลกลาง ธรณีประตู หมอนพิงศีรษะ รวมถึงภายนอกก็จะสลักชื่อรุ่นนัวร์ไว้ที่ใต้ปีกหลังและแผงข้างประตูใกล้ล้อหลังด้วย

        บูกัตติ ชิรอน นัวร์ อิลิกองส์ (Bugatti Chiron Noire Elegance) ตัวถังแบบเดียวกับชิรอนนัวร์คลาสสิก แต่ตะแกรงรูปเกือกม้าเป็นสีดำเงา โลโก้บูกัตติบนตะแกรงถูกทำให้เป็นโทนสีดำเหมือนกับรถเวิลด์เรคอร์ดของเวย์รอนซูเปอร์สปอร์ตและเวย์รอนวิเทสส์ กับรถชิรอนซูเปอร์สปอร์ต 300 พลัส ภายในถูกตกแต่งด้วยสีดำทั้งห้อง พวงมาลัยกับที่นั่งคนขับทำจากวัสดุหนัง มีการสลักชื่อรุ่นนัวร์เป็นตัวอักษรสีดำไว้ในที่เดียวกับนัวร์คลาสสิก

        บูกัตติ ชิรอน นัวร์ สปอร์ทีฟ (Bugatti Chiron Noire Sportive) ตัวถังสีดำด้านลายคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งคัน และท่อไอเสียท้ายรถก็เป็นสีดำเหมือนกัน ในส่วนของล้อรถยนต์เป็นสีดำเพื่อให้ดูดุดันยิ่งกว่าชิรอนนัวร์อิลิกองส์และชิรอนนัวร์คลาสสิก ภายในของชิรอนรุ่นนี้ถูกตกแต่งด้วยสีดำยิ่งกว่าสองรุ่นดังกล่าว เพราะบางส่วนถูกตกแต่งด้วยสีดำด้านผสมด้วย

        บูกัตติ ชิรอน นัวร์ แวนต้าแบล็ค (Bugatti Chiron Noire Vantablack) คราวนี้มาแหวกแนวกว่า เพราะนี่คือรถคันที่สองของโลกที่ใช้สีดำแวนต้าแบล็คทำสี โดยรุ่นที่ใช้ทำสีนั้นก็คือ ชิรอนนัวร์สปอร์ทีฟ โดยส่วนที่ยังไม่ได้ถูกทำให้เป็นสีดำแวนต้าแบล็คมีทั้งไฟหน้า ตะแกรงรูปเกือกม้า กระจังหน้ารถ กระจกรถ ฝาครอบเครื่องยนต์ และด้านท้ายรถ ซึ่งมีสีแบบเดียวกับชิรอนนัวร์สปอร์ทีฟ และชื่อรุ่นนัวร์ที่สลักไว้ที่ภายนอกรถจะเรืองแสงมากขึ้นเมื่อแสงกระทบ และภายในก็ไม่ต่างจากชิรอนนัวร์สปอร์ทีฟเลยแม้แต่นิดเดียว

 

        และในวันนี้ บ้านของพอเพียงค่อนข้างเงียบเหงาเล็กน้อย เพราะว่าปีนี้คนเริ่มทยอยไปบ้านญาติกันตอนวันสงกรานต์ และนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ที่แปลกกว่าคือไม่ค่อยมีใครมาบ้านของพอเพียงเลย แสดงว่าคงไม่มีใครว่างมาที่บ้านนี้กัน

        พอเพียงนั่งทำงานเขียนนิยายอยู่ที่บ้าน ในหัวก็คิดเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตของเขา และก็ทำให้เขานึกถึงช่วงปี 2016 ที่เขาได้พบกับเซสเตอร์ ราชาแห่งกาลเวลา และได้พูดถึงไททันมหาจักรวาลอย่างเรียลลิเทียสอีก พอเพียงไม่ใช่คนที่ระลึกชาติได้ขนาดนั้น แต่ทำไมเซสเตอร์ถึงรู้กันแน่

        แต่คำตอบกลับมาถึงเร็วกว่าที่คิด เมื่อมีดวงวิญญาณที่ปรากฏเป็นรูปร่างของชายหนุ่มอัศวินสุดหล่อ ที่มีชุดสีเทาทั้งตัว หน้าตาดูคล้ายกับพอเพียง แต่ไม่ได้สวมแว่น ซึ่งปรากฏอยู่ข้างหลังพอเพียง จนพอเพียงถึงกับต้องหันไปดู

        “คุณคือ เรียลลิเทียสเองเหรอครับ?” พอเพียงถาม

        “ใช่” เรียลลิเทียสตอบ “ฉันอยู่ในร่างของนายมาตลอด แต่นายไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำใช่ไหม?”

        “ผมจะไปรู้ได้ยังไงกันครับ?” พอเพียงแย้ง “ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครอีกคนอยู่ในร่างของผมมาตลอดจนกระทั่งเซสเตอร์ทักมา”

        “เอาล่ะ ตั้งแต่นายได้เจอกับราชาแห่งกาลเวลาเมื่อปี 2016 ฉันเองก็คิดว่าน่าจะต้องบอกความจริง และเรื่องราวบางอย่างที่เกี่ยวกับกิกะเวิร์สแห่งเมกะเวอร์เซียส (Gigaverse of Megaversious) โดยรวมมาเล่าให้นายฟังแล้วล่ะ” เมกะเวิร์สไททันหนุ่มบอกกับพอเพียง แล้วก็ได้อธิบายคร่าว ๆ เกี่ยวกับกิกะเวิร์สแห่งเมกะเวอร์เซียสความว่า

        “กิกะเวิร์สแห่งเมกะเวอร์เซียส ถือกำเนิดขึ้นมาจากการระเบิดตัวเองของเมกะเวอร์เซียส เมกะเวิร์สไททันหนึ่งเดียวในกิกะเวิร์ส (Megaversious The Megaverse Titan) มีพลังสูงสุดในหมู่เมกะเวิร์สไททันทั้งปวง แต่เศษซากของเมกะเวอร์เซียสนั้นไม่ได้หายไปทั้งหมด บางส่วนกลายเป็นรูปปั้นหินของเมกะเวอร์เซียส ส่วนเมกะเวอร์ซัลคราวน์ (Gigaversal Crown) มงกุฎของเมกะเวอร์เซียสได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย จนทุกวันนี้ยังไม่มีผู้ใดหามันเจอเลย

        “มงกุฎเมกะเวอร์ซัลคราวน์คือมงกุฎที่รวบรวมลูกแก้วอันทรงพลังนั่นคือ เมกะเวอร์ซัลเพิร์ลส์ (Megaversal Pearls) มันมีเจ็ดเม็ด และมันก็หายไปเช่นกัน ไม่มีใครค้นพบมันเลยในชั่วขณะหนึ่ง แต่ละเม็ดจะมีความสามารถที่แตกต่างกัน – เอาง่าย ๆ หกเม็ดแรกให้นึกถึงมณีอินฟินิตี้เจ็มส์ (Infinity Gems) ของมาร์เวล เพราะชื่อและความสามารถของลูกแก้วหกเม็ดแรกจะเหมือนกับอินฟินิตี้เจ็มส์เป๊ะเลย สิ่งที่มันจะต่างกันก็คือ อินฟินิตี้เจ็มส์มีแค่หกเม็ด แถมมันมีพลังแค่ระดับจักรวาลใดจักรวาลหนึ่ง แต่ลูกแก้วเมกะเวอร์ซัลเพิร์ลส์มีเจ็ดเม็ด และมีพลังระดับกิกะเวิร์สเลย เรียกว่าห่างชั้นตั้งหลายขุมไปเลยก็พอเรียกได้เต็มปากอยู่หรอกนะ

        “เม็ดแรก โซลเพิร์ล (Soul Pearl) ลูกแก้วสีม่วง ควบคุมวิญญาณของสิ่งมีชีวิตในกิกะเวิร์ส สามารถปรับแต่งดวงวิญญาณให้เป็นดีหรือร้ายก็ได้ เม็ดที่สอง เพาเวอร์เพิร์ล (Power Pearl) ลูกแก้วสีแดง มอบพลังมหาศาลให้กับผู้ใช้งาน และเสริมพลังให้กับวัตถุมีพลังอื่น ๆ ได้อีกด้วย เม็ดที่สาม ไทม์เพิร์ล (Time Pearl) ลูกแก้วสีเขียว ควบคุมเวลาในกิกะเวิร์สได้ดั่งใจ ไม่ว่าจะย้อนอดีต ไปอนาคต และควบคุมเวลาของสิ่งต่าง ๆ ในพหุมิติได้ ไม่ว่าจะเป็นการย้อนอดีต ไปอนาคต รวมถึงการควบคุมเวลาของสิ่งต่าง ๆ ในกิกะเวิร์สได้อีกด้วย ส่วนเม็ดที่สี่ สเปซเพิร์ล (Space Pearl) ลูกแก้วสีน้ำเงิน ควบคุมพื้นที่ ส่งทุกอย่างไปได้ทุกที่ภายในพริบตาเดียว เม็ดที่ห้า (Reality Pearl) ลูกแก้วสีเหลือง สามารถปรับแต่งความเป็นจริงในกิกะเวิร์สให้เป็นไปตามปรารถนา เม็ดที่หก ไมนด์เพิร์ล (Mind Pearl) ลูกแก้วสีส้ม สามารถเข้าถึงจิตใจของสิ่งมีชีวิตและควบคุมพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตได้ และเม็ดสุดท้าย อีลิตเพิร์ล (Elite Pearl) ลูกแก้วสีขาว ซึ่งมีจิตและพลังที่แท้จริงบางส่วนของเมกะเวอร์เซียสอยู่ภายใน และผู้ครอบครองจะสามารถติดต่อกับเมกะเวอร์เซียสที่อยู่ในอีลิตเพิร์ลด้วย

        “และหลังจากที่หายไปอยู่ครู่หนึ่ง มันก็ได้ถูกค้นพบแล้ว โดยมันอยู่ในที่ต่าง ๆ ดังนี้ :

        “โซลเพิร์ล กลายเป็นแก่นกลางของเครื่องปฏิกรณ์วิญญาณ (Soul Reactor) เพาเวอร์เพิร์ล กลายเป็นอัญมณีที่ติดอยู่ที่ก้นดาบวิเศษเล่มต่าง ๆ ในแต่ละพหุมิติและทรงพลังเหนือกว่าดาบวิเศษเล่มอื่น ๆ ที่ปราศจากลูกแก้วเสริมพลัง ยกเว้นดาบเมกะเวอร์ซัลซอร์ด (Megaversal Sword) ที่ฉันจะขอพูดในภายหลังแล้วกัน บ่อยครั้งที่เพาเวอร์เพิร์ลถูกเปลี่ยนไปใส่ที่ก้นดาบวิเศษหลายเล่ม หมายความว่าลูกแก้วนี้จะบัฟพลังวิเศษให้กับดาบวิเศษที่ใส่ลูกแก้วนี้เลยก็ว่าได้ แต่ล่าสุดมันติดอยู่กับดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ (Excalibur) ของกษัตริย์อาร์เธอร์ (King Arthur) ที่ถูกสร้างโดยเมอร์ลิน (Merlin The Great And Powerful Wizard) และอยู่ในไพรมารี่เมกะเวิร์สด้วย (Primary Megaverse)

        “ส่วนไทม์เพิร์ลถูกซ่อนไว้ในไทม์คิวบ์ (Time Cube) ลูกบาศก์เวลา สเปซเพิร์ล ก็อยู่ในปลายคฑาเทเลคิเนซิสเซ็ปเตอร์ (Telekinesis Sceptre) ในเมกะเวิร์สหมายเลข 103 เรียลลิตี้เพิร์ล ถูกใส่ไว้ในสร้อยล็อกเก็ตในเมกะเวิร์สหมายเลข 105 ไมนด์เพิร์ลถูกใส่ไว้ในแหวนไมนด์ริง (Mind Ring) และอีลิตเพิร์ลนั้นยังไม่มีร่องรอยใด ๆ ที่จะค้นพบในตอนนั้นเลย

        “แต่การระเบิดของเมกะเวอร์เซียสนอกจากจะเป็นกิกะเวิร์สแล้ว ยังก่อให้เกิดลูกที่เป็นเมกะเวิร์สไททันสองพี่น้องซึ่งเป็นสองคนแรกของกิกะเวิร์สด้วย นั่นก็คือ ไพรมาเรียส (Primarious The Son of Megaversious) ผู้ปกครองไพรมารี่เมกะเวิร์ส กับ เซคคอนดาเรียส (Secondarious The Son of Megaversious) ผู้ปกครองเซคคอนดารี่เมกะเวิร์ส (Secondary Megaverse) ซึ่งพวกเขาอยู่ร่วมกันเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน แต่ภัยร้ายของมันเริ่มเกิดขึ้นมา เมื่อศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดในกิกะเวิร์ส จอมปีศาจร้ายอินเฟอร์นอส ดิ อันไนฮิเลเตอร์ (Infernos The Annihilator) ผู้ที่พยายามจะทำลายล้างกิกะเวิร์สทิ้ง ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะทำลายล้างกิกะเวิร์สให้จงได้ แต่ไพรมาเรียสกับเซคคอนดาเรียส ด้วยความที่เป็นบุตรแห่งเมกะเวอร์เซียสอยู่แล้ว จึงคิดพยายามหาอาวุธมาประชันกับจอมปีศาจร้ายให้จงได้ จนกระทั่งได้รวบรวมเมกะเวอร์ซัลเพิร์ลหกเม็ดแรก โดยที่ในขณะนั้นยังไม่ได้พบกับอีลิตเพิร์ลเลย แต่พวกเขาก็ได้นำลูกแก้วทั้งหกมารวบรวม และให้เมอร์ลินประดิษฐ์ดาบเล่มใหม่นั่นก็คือ เมกะเวอร์ซัลซอร์ด อาวุธประจำตัวกษัตริย์อาร์เธอร์เล่มใหม่นั่นเอง การต่อสู้ระหว่างกษัตริย์อาร์เธอร์กับอินเฟอร์นอสจบลงด้วยชัยชนะของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งหลังจากชนะศึกเป็นครั้งแรก พระองค์ก็ได้กลับไปปรับปรุงดาบของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยการสร้างดาบเล่มใหม่ คลาสสิกเมกะเวอร์ซัลซอร์ด (Classic Megaversal Sword) มาแทนที่ดาบเล่มเดิม ส่วนดาบเล่มเดิมถูกเรียกว่า เลกาซี่เมกะเวอร์ซัลซอร์ด (Legacy Megaversal Sword) ส่วนอินเฟอร์นอสเมื่อพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกก็ได้กลับไปกบดานในที่ของตัวเอง และพยายามเรียนรู้วิธีที่จะใช้พลังของเมกะเวอร์ซัลเพิร์ล โดยพยายามดิ้นรนที่จะสร้างอาวุธเป็นของตัวเองให้ได้ จนเกิดเป็น ดาร์กเมกะเวอร์ซัลซอร์ด (Dark Megaversal Sword) ดาบปีศาจที่มีพลังแห่งความมืดด้วยในตัว และพร้อมที่จะทำสงครามชิงเมกะเวอร์ซัลเพิร์ลอีกครั้ง ก่อให้เกิดเป็นสงครามเมกะเวอร์ซัลวอร์ครั้งที่หนึ่ง (Megaversal War I)

        “ผลจากสงครามครั้งนี้ กษัตริย์อาร์เธอร์ก็ยังคงเป็นฝ่ายชนะอยู่เหมือนเดิม แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวการค้นพบลูกแก้วอีลิตเพิร์ล ซึ่งลูกแก้วเม็ดนั้นเป็นเม็ดสำคัญมาก ถ้าได้ลูกแก้วเม็ดนั้นมาครอบครอง จะถือได้ว่ามีพลังสูงที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่กษัตริย์อาร์เธอร์เท่านั้นที่ทราบข่าว อินเฟอร์นอสเองก็ทราบข่าวเช่นกัน แต่สุดท้ายผู้ที่ได้ครอบครองลูกแก้วลูกที่เจ็ดก่อนคือกษัตริย์อาร์เธอร์ และสามารถอัพเกรดดาบให้สามารถสวมลูกแก้วได้ครบเจ็ดลูก พร้อมกับเอาชนะอินเฟอร์นอสได้ในสงครามเมกะเวอร์ซัลวอร์ครั้งที่สอง (Megaversal War II) แต่หลังจากสงครามเมกะเวอร์ซัลวอร์ครั้งที่สองนี้ มันกลับเกิดเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ทั้งเมกะเวิร์สหมายเลข 013 ที่มีอาณาจักรโลธาเรีย (Lotharia Kingdom) ก็โชคร้ายไม่แพ้กัน เมื่อไนท์แมเรียส (Nightmarious) ปีศาจแห่งฝันร้ายได้คืบคลานเข้ามากลืนกินเมกะเวิร์สหมายเลข 013 และสาปให้เมกะเวิร์สแห่งนี้กลายเป็นนรกขนาดยักษ์ ที่แม้แต่โลธาเรียก็เป็นนรกบนดิน หนำซ้ำหวยยังมาลงที่เจ้าชายเกฟเวอร์รัส (Prince Gaverous) ที่เจ้าปีศาจได้สาปให้เขามีพลังแห่งความมืด กลายเป็นมหาจอมมารสูงสุด แต่ถึงแม้เมกะเวิร์สหมายเลข 013 จะเป็นนรกมากแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นนรกที่ยังเป็นมิตรกับผู้มาเยือนนอกเมกะเวิร์สเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม เมกะเวิร์สหมายเลข 013 จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ก็ต่อเมื่อสมดุลของกิกะเวิร์สจะถูกปรับแก้ให้มันดีขึ้น เพราะตอนนี้เพราะอินเฟอร์นอสทำให้สมดุลกิกะเวิร์สพังไม่เป็นท่า และมันก็เริ่มมีคำทำนายที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจจะปรับสมดุลกิกะเวิร์สแห่งเมกะเวอร์เซียส ซึ่งมันค่อนข้างจะคลุมเครือไม่ชัดเจนเพราะมันถูกพบตั้งแต่หลังจากช่วงสงครามเมกะเวิร์สครั้งที่สอง ฉันจะอ่านให้ฟังว่ามันเขียนไว้ว่ายังไง...

        “‘ผู้มีอำนาจจะปรับสมดุลกิกะเวิร์สแห่งเมกะเวอร์เซียสใกล้เข้ามาแล้ว...เกิดยามที่กิกะเวิร์สเสียสมดุล ณ เรียลลิตี้เมกะเวิร์ส (Reality Megaverse) เมื่อขึ้นต้นเดือนที่หนึ่ง ปีสองพันศักราช ก่อนการอวตารของเรียลลิเทียสหนึ่งเดือน เมื่อถึงเวลาอันสมควร กิกะเวิร์สที่ไม่สมดุลจะเกิดสงคราม สงครามที่เขาผู้นั้นจะปรับสมดุลของกิกะเวิร์ส และพาทุกชีวิตออกจากวงจรอุบาทว์นี้ให้จงได้ และเขาผู้นั้นจะมีอำนาจที่ความชั่วร้ายทั้งปวงหารู้จักไม่...’”

        เกิดความเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นคนที่ทำลายความเงียบเป็นคนแรกคือพอเพียง

        “ทำไมฟัง ๆ ดูแล้วเหมือนคำทำนายในแฮร์รี่ พอตเตอร์จังเลยแฮะ” พอเพียงถาม

        “มันเป็นคำพยากรณ์เก่าแก่ที่ถูกค้นพบหลังจากสิ้นสุดสงครามเมกะเวิร์สครั้งที่สอง” เรียลลิเทียสบอก

        “ขึ้นต้นเดือนที่หนึ่ง, ปีสองพันศักราช, ก่อนการอวตารของเรียลลิเทียสหนึ่งเดือน?” พอเพียงพูด “หรือว่า เขาจะเกิดวันเดียวกับสองฝาแฝดเดลวิน??”

        “หืม? เกิดวันเดียวกันงั้นเหรอ?” เรียลลิเทียสถาม

        “ใช่ครับ” พอเพียงบอก “ถ้าผู้ปรับสมดุลเกิดวันเดียวกับพวกเดลวิน งั้นก็หมายความว่า เขาน่าจะเคยโดนซีมเลสฮิวแมนตามล่ามาแล้วครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็อาจจะไปพัวพันกับเรื่องอะไรแบบนี้ก็ได้”

        “แม้แต่เมกะเวิร์สของฉันก็ยังมีเรื่องวุ่นวายอีกอย่างนั้นเหรอเนี่ย อืม...” เรียลลิเทียสพูด “พวกอัน-แฟนทาสต์ (Un-Fantast) นี่น่าสนใจเสียจริง”

        “อัน-แฟนทาสต์?”

        “ก็เป็นพวกมนุษย์ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้น่ะสิ” เรียลลิเทียสตอบ “นายเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะฉันอวตารลงมาเป็นตัวนาย เคยสงสัยไหมว่าสีนัยน์ตาและสีข้อมือของนายที่ได้มา มันอาจไม่ใช่แค่สีที่แยกพลังของอารมณ์ของจริง ๆ”

        “ผมก็ไม่สงสัยนี่ ทำไมเหรอ?” พอเพียงถาม เขาหันมามองข้อมือตัวเองแล้วกลับมามองเรียลลิเทียส

        “ฉันไม่ได้เป็นเมกะเวิร์สไททันคนเดียวนะ” เมกะเวิร์สไททันตอบ “ตัวฉันเกิดจากการหลอมรวมกันระหว่างเมกะเวิร์สไททันสองพี่น้องตระกูลมัลติเวอร์เซียส (The Multiversious Family) ตระกูลที่ดูแลสมดุลพหุจักรวาลต่าง ๆ ซึ่งเมกะเวิร์สไททันคนพ่อคือ มัลติเวอร์เซียส (Multiversious) มีลูกชายสองคน ฟิกชันเนียส (Fictionious) ผู้สร้างฟิกชั่นเมกะเวิร์ส (Fiction Megaverse) ส่วนคนน้องชายคือ ดาร์กเนสซัส (Darknessous) หน้าที่ของพวกเขาคือ ดูแลพหุจักรวาลและปกป้องไม่ให้ความชั่วร้ายใด ๆ เข้ามารุกรานกับพหุจักรวาลที่มีประชากรสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่เมกะเวิร์สไททันคนน้องอย่างดาร์คเนสซัส เป็นคนหัวรุนแรง ชอบแก้ปัญหาด้วยการใช้อารมณ์และกำลัง ฟิกชันเนียสที่เป็นพี่ชายมักจะไม่ถูกใจการกระทำของน้องชายสักเท่าไรนัก แต่วันหนึ่งฟิกชันเนียสได้สืบทอดพลังที่มากกว่าการควบคุมพหุจักรวาล ดาร์กเนสซัสต้องการที่จะได้พลังนั้นด้วยจึงนำไปสู่การแย่งชิงพลัง

        “แต่การต่อสู้เพื่อแย่งชิงพลังนั้น จบลงด้วยการที่เมกะเวิร์สไททันทั้งสองได้รวมร่างกันกลายเป็น ไฮบริเดียส (Hybridious) และฟิกชั่นเมกะเวิร์สกับดาร์กเนสเมกะเวิร์ส (Darkness Megaverse) หลอมรวมกลายเป็นไฮบริดเมกะเวิร์ส (Hybrid Megaverse) และกลายเป็นปัญหาเรื้อรังมานานนับศตวรรษ จนทำให้กษัตริย์อาร์เธอร์จากไพรมารี่เมกะเวิร์สต้องยื่นมือเข้ามาช่วยใช้เวทมนตร์แยกร่างฟิกชันเนียสกับดาร์กเนสซัสออกจากกัน เพื่อให้เมกะเวิร์สทั้งสองแยกออกจากกันตามเมกะเวิร์สไททันไปด้วย และพระองค์ทำสำเร็จ แต่ร่างกายและจิตใจของไฮบริเดียสกับไฮบริดเมกะเวิร์สก็ยังไม่หายไป และกลายเป็นเมกะเวิร์สไททันคนที่สามแห่งตระกูลมัลติเวอร์เซียสด้วย

        “แต่มันก็ไม่หยุดเพียงแค่นั้น แม้สองพี่น้องจะคืนดีกันแล้ว แต่สงครามเมกะเวอร์ซัลวอร์ครั้งที่สาม (Megaversal War III) ที่เกิดขึ้นหลังจากการทะเลาะกันของตระกูลมัลติเวอร์เซียส เมื่ออินเฟอร์นอสได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการรุกรานเมกะเวิร์สของตระกูลมัลติเวอร์เซียส คราวนี้ฟิกชันเนียสและดาร์กเนสซัสตัดสินใจจัดการกับอินเฟอร์นอสด้วยตัวของพวกเขาเอง แต่การต่อสู้ครั้งนี้ มันทำให้ร่างทั้งสองรวมกันอีกครั้ง และคราวนี้มันหลุดไปอยู่ในห้วงมิติที่คาดไม่ถึง ซึ่งกลายมาเป็นตัวฉันในเวลาต่อมา แต่ร่างกายหลักของสองพี่น้องและเมกะเวิร์สของพวกเขาได้หายไปในพริบตา ดังนั้น เมื่อไฮบริเดียสสามารถต่อกรกับอินเฟอร์นอสจนกระทั่งเอาชนะมาได้ เขาจึงใช้พลังแยกร่างของตัวเองเป็นฟิกชันเนียสและดาร์กเนสซัสเป็นรอบที่สอง และทำให้เมกะเวิร์สทั้งสองสามารถกลับมาอีกครั้ง แน่นอนไฮบริเดียสกับไฮบริดเมกะเวิร์สยังคงอยู่เหมือนเดิม

        “ซึ่งแน่นอน ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องตระกูลมัลติเวอร์เซียสแม้จะเริ่มต้นได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็ยังไปได้สวยตราบนานเท่านาน แต่ไม่นานเรื่องมาคุก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ฉันบอกไม่ได้เลยว่ามันเกิดขึ้นที่เมกะเวิร์สหมายเลขไหน และพหุจักรวาลหมายเลขใด แต่ที่แน่ ๆ มันเกิดขึ้นที่จักรวาลเรล์มออฟเทลส์ (Realm of Tales Universe) สองพี่น้องตระกูลเรล์มส์ (The Realms Family) ซึ่งเป็นไททันจักรวาล (Universe Titan) โดยพวกเขามาเพื่อดูแลสมดุลของโลกในแต่ละจักรวาลนั้น ๆ แต่นิสัยของทั้งสองคนนี่ไม่ต่างจากพี่น้องตระกูลมัลติเวอร์เซียสเลยสักนิดเดียว แต่ออริเจียส (Origious) ไททันจักรวาลคนพี่กลับจบการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยวิธีที่แย่กว่า คือการสร้างจักรวาลเรล์มออฟเทลส์ เพื่อคุมขังไททันจักรวาลคนน้องอย่าง อินดิเชียส (Indicious) และใช้เวทมนตร์ดึงความทรงจำออกมา พร้อมกับใช้ร่างกายจำลองของตัวเองจัดการปิดตายอินดิเชียสให้ได้ แต่ปัญหาคือมันไม่ง่ายขนาดนั้นเลย ประกอบกับว่าอินเฟอร์นอสรู้ตัวแล้วว่า อินดิเชียสอาจจะเป็นภัยกับตัวเองในอนาคตก็ได้ จึงเข้าไปโจมตีที่จักรวาลเรล์มออฟเทลส์เป็นที่แรกเพื่อประกาศทำสงครามเมกะเวอร์ซัลวอร์ครั้งที่สี่ (Megaversal War IV) ที่ตรงนั้นเลย

        “ฉันเองก็รู้รายละเอียดไม่มากนักหรอก แต่ขอบอกได้เลยว่า ถ้าเกิดเรายังไม่รู้ว่าผู้ปรับสมดุลกิกะเวิร์สอยู่ที่ไหนในโลกใบนี้ก่อนที่อินเฟอร์นอสจะรู้ตัวเข้าเสียก่อน มันอาจจะเป็นหายนะเลยก็ว่าได้นะ”

        “ถ้าอย่างนั้น ผมน่าจะต้องตามหาผู้ปรับสมดุลอะไรนั่นให้เจอให้ได้” พอเพียงพูด “เพราะว่าบางทีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอาจจะไม่ใช่นิวเคลียร์ แต่มันอาจจะเป็นเจ้าอินเฟอร์นอสก็ได้ที่จะทำสงครามกับพวกอัน-แฟนทาสต์ เพราะผมนึกถึงสุนทรพจน์ของเจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ตอนทดลองระเบิดนิวเคลียร์ครั้งแรกว่า...

        “‘เรารู้ว่าโลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บางคนหัวเราะ บางคนร้องไห้ คนส่วนใหญ่ยังคงปิดปากเงียบ ผมจำประโยคหนึ่งจากคัมภีร์ของฮินดูภควัทคีตา พระวิษณุพยายามชักชวนเจ้าชายว่าควรทำหน้าที่ของเขาเอง และเพื่อทำให้เขาประทับใจ ก็ได้จำแลงกายเป็นร่างหลายพันกร และตรัสว่า บัดนี้ข้าคือมรณา ผู้ทำลายโลก ผมเชื่อว่าทุกคนก็คิดอย่างนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง’”

        “แสดงว่ามันยังมีอีกมากที่นายยังไม่รู้อีกสินะ เพราะทั้งกิกะเวิร์สนั้นมีเวลาไม่มากที่จะจบความชั่วร้ายทุกอย่าง ถ้าเราเตรียมตัวไม่ทัน กิกะเวิร์สจะต้องสูญสิ้นแน่นอน” เรียลลิเทียสพูด

        “เข้าใจแล้วครับ” พอเพียงพูด “ผมจะได้นำข้อมูลทั้งหมดนี้ไปเล่าให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องฟังเอง”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.