ประเพณีไทยนาวาน หรือการลงแขกเกี่ยวข้าว...ที่เกือบไร้ผู้สืบทอด

-A A +A
ประเพณีไทยนาวาน หรือการลงแขกเกี่ยวข้าว...ที่เกือบไร้ผู้สืบทอด

ประเพณีไทยนาวาน หรือการลงแขกเกี่ยวข้าว...ที่เกือบไร้ผู้สืบทอด

หมวดบทความ: 

ประเพณีไทยนาวานหรือลงแขกเกี่ยวข้าวที่เกือบไร้ผู้สืบทอด

แนวปฏิบัติของบรรพบุรุษ หรือประเพณีหลายอย่างของไทย ในปัจจุบันนี้ ได้เริ่มเสื่อมความนิยมไปตามกาลเวลา ซึ่งในจำนวนนี้ยังรวมไปถึงประเพณีนาวานหรือลงแขกเกี่ยวข้าวอีกด้วย ซึ่งหากสอบถามวัยรุ่นในปัจจุบัน หรือสอบถามคนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ หลายคนก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ประเพณีนาวานคืออะไร ด้วยเหตุดังกล่าว บทความนี้จึงจะได้นำมาบอกเล่าถึงประเพณีนาวาน ทั้งนี้เพื่อเป็นการอนุรักษ์และช่วยกันสืบทอดความรู้ สืบทอดประเพณีนี้ให้ยังคงอยู่ต่อไป

จากการลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลเรื่อง “ประเพณีนาวาน” หรือประเพณี “ลงแขกเกี่ยวข้าว” ณ บ้านนาค้อ ตำบลกุดโดน อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ทำให้ผู้เขียนทราบและตระหนักว่า ประเพณีนี้ใกล้ที่จะศูนย์หายไปตามกาลเวลาที่ผ่านไปแล้ว เพราะมีเพียงผู้รู้ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังพอให้คำตอบที่ชัดเจนได้ มิหนำซ้ำ ผู้ที่มาร่วมให้ข้อมูลก็ล้วนแต่มีอายุเฉลี่ยแล้วอยู่ในช่วงวัยหกสิบปีขึ้นกันทั้งนั้น ซึ่งแม้แต่ผู้ให้ข้อมูลเองก็ยังได้ยอมรับด้วยตนเองว่า ทุกวันนี้หาคนทำประเพณีนี้ได้น้อยมาก หากจะเอาเพียงในหมู่บ้านก็ไม่เห็นใครทำมาหลายปีแล้ว

จากการสัมภาษณ์คุณพ่อสมัย ภูจอมทอง คุณพ่อบุญรอด อาดดวงดี และผู้รู้ประจำหมู่บ้านคนอื่นๆ ทำให้ทราบรายละเอียดของประเพณีนาวานว่า ประเพณีนี้ก็คือการที่ญาติพี่น้อง คนรู้จัก หรือคนในหมู่บ้านเดียวกัน ได้ชักชวน หรือไหว้วานกันให้มาช่วยทำนา ซึ่งก็จะช่วยกันทำไปทีละนาทีละนา ทำช่วยคนนั้นเสร็จก็ไปช่วยคนนี้ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบกัน ซึ่งจำนวนคนที่มาช่วยนั้นจะไม่กำหนด ขึ้นอยู่กับว่า ใครรู้จักคนมาก โดยไม่มีการเกี่ยงเลยว่า นาคนนั้นเยอะกว่าคนนี้น้อยกว่า แต่ที่ช่วยกันก็ด้วยต้องการแบ่งเบางานของกันและกัน ช่วยเหลือกันตามความสามารถ มีอะไรก็เอามาแลกกัน เปลี่ยนกันกิน อยู่ด้วยกันอย่างมีน้ำใจ

หลังจากไหว้วานผู้ที่จะมาช่วยได้แล้ว ผู้ที่เป็นเจ้าของนา หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “เจ้าภาพ” ก็จะต้องหารถไปรับคนที่จะมาช่วยเพื่อพาไปนาตั้งแต่เช้า นอกจากนี้ ยังต้องเตรียมหุงหาอาหารไว้พร้อม เพื่อเป็นการเลี้ยงตอบแทนคนที่ไปช่วย โดยข้าวปลาอาหารส่วนใหญ่ก็เป็น ไก่ (เพราะในสมัยนั้นชาวบ้านไม่นิยมฆ่าวัว อีกอย่างเนื้อวัวมีราคาแพง) เนื้อปลาที่หาได้จากนาของเจ้าภาพ ส้มตำ (ตำบักหุ่ง) ในส่วนที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับเหล่าผู้ชายทั้งหลายก็คือยาชูกำลังเช่นเหล้าผสมแป้ง หรือเหล้าโท (เหล้าสาโท) ซึ่งสูตรไหนจะเด็ดดวง สูตรไหนจะอร่อยถูกปาก ก็ขึ้นอยู่กับสูตรหรือส่วนผสมของผู้ทำเอง หรือในบางพื้นที่หรือบางคน ก็อาจจะมีเหล้าดองยา หรือยาดองเอาไว้ชูกำลังอีกอย่างหนึ่งก็ได้เช่นกัน

ต่างคนต่างช่วยกันคนละไม้ละมือ บ้างเกี่ยวข้าวในนาท่ามกลางเปลวแดดเหงื่อไหลใคลย้อยไปตามๆ กัน บ้างลงหาปลาในสระน้ำเพื่อนำมาปิ้ง ยิ่งถ้าได้ปลาช่อนมาต้มใส่เครื่องปรุง เช่น ข่าอ่อน หัวหอมแดง มะขามเปียก ตะไคร้ มะมาว พริกแห้ง และส่วนผสมอื่นๆ ยิ่งเพิ่งทำนามาเหนื่อยๆ ได้ซดน้ำร้อนๆ รสชาติเผ็ดเค็มอมเปลี้ยวนิดๆ จะรู้สึกดีอย่าบอกใครเชียว

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ต่างก็ช่วยกันตำส้มตำ คนตำก็ตำ คนปอกก็ปอก ช่วยกันทำคนละอย่างสองอย่าง พลางพูดคุยกันไปด้วยอย่างสนุกสนามเต็มไปด้วยสีสันแห่งวิถีชีวิตของชาวชนบท ซึ่งถึงแม้นว่าจะไม่รวยเงิน ทว่าก็รวยน้ำใจ อยู่กินกันอย่างพอเพียงมีความสุขตามอัตภาพ พึ่งพาหากินกันตามธรรมชาติสภาพแวดล้อมตามถิ่นฐานของตน

นอกจากชาวบ้านที่ช่วยกันทำนาแล้ว ในสมัยก่อน ยังได้มีการนิมนต์พระไปช่วยทำนาอีกด้วย เพราะในอดีต นอกจากทำกิจของสงค์แล้ว พระท่านก็แทบไม่ได้ยุ่งยากเหมือนทุกวันนี้ อีกอย่าง ในสมัยนั้น การช่วยเหลือชาวบ้านทำนา ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อถึงคราวทำบุญ ก็ได้ชาวบ้านนี่แหละที่ช่วยหาข้าวปลาอาหารและทำสิ่งต่างๆ ช่วยทางวัดเช่นกัน แต่ในทุกวันนี้ ไม่เหมือนสมัยก่อน พระท่านมีกิจมากขึ้น ประกอบกับคิดว่าไม่เหมาะไม่ควรที่จะนิมนต์ท่านมาช่วยทำนาเหมือนแต่ก่อน จึงทำให้ไม่ได้มีการไปนิมนต์พระท่านมาทำนาอีก

นอกจากจะช่วยกันทำนาแล้ว เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ เหล่าพี่น้องยังได้ช่วยกันขนข้าวขึ้นเล้า ช่วยกันตำข้าว และยังช่วยกันในกิจการงานอื่นๆ แสดงให้เห็นถึงน้ำใสใจจริง ที่ต้องการช่วยเหลือกัน แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กันอย่างไม่เห็นแก่ตัว แสดงให้เห็นถึงความรักความสามัคคีกันในชุมชน

ทว่าเมื่อลองมองย้อนกลับมายังปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า วิถีชีวิตของคนเรา ยิ่งนับวันยิ่งห่างไกลจากธรรมชาติออกไปทุกที จากการให้ข้อมูลของผู้รู้ได้กล่าวว่า ทุกวันนี้การทำนาตอนนี้ได้หันไปใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีกันหมดแล้ว เช่นรถเกี่ยวข้าว รถไถ นอกจากนี้ปุ๋ยที่ใช้ ก็ไม่ใช่ปุ๋ยจากธรรมชาติตามเดิม แต่หันไปใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งให้ผลเร็วกว่า จึงเป็นที่แน่นอนว่า งบประมาณที่ใช้ในการทำนาก็สูงตามไปด้วย เป็นเหตุให้จำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากจะทำสิ่งใดก็ตามแต่ ก็ต้องมีเงินเป็นปัจจัยหลัก หากจะไปทำนาช่วยผู้อื่นก็ต้องคิดเป็นเงินเท่ากับค่าแรงงานขั้นต่ำ ซึ่งในตอนนี้ก็คือวันละสามร้อยบาท เพราะเป็นเช่นนี้ ทำให้ประเพณีนาวานเริ่มหายไปจากสังคมไทยลงไปทุกขณะ ซึ่งถึงแม้จะยังมีพอให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าน้อยลงเต็มที

ดังนั้นหากจะพอเป็นไปได้ ก็อยากจะให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงประเพณีนาวานอันมีค่านี้เอาไว้ ทั้งนี้นอกจากช่วยเหลือซึ่งกันและกันแล้ว ยังเป็นการทำให้เราได้รู้จักการแบ่งปัน การสอนให้เรามีความเมตตาต่อบุคคลอื่น ลดความเห็นแก่ตัวลง เพิ่มความช่วยเหลือเผื่อแผ่กันขึ้น หากทำได้เช่นนี้ สังคมไทยคงจะน่าอยู่กว่าเดิมอีกมากมาย

 

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.