ตอนที่ 936 เนอร์วาน่า
ตอนที่ 936 เนอร์วาน่า
ณ มิติฝึกฝน
เซี่ยเฟยได้เตรียมฮอร์ครักซ์, บลัดบิวเทียส, เทลออฟวิสดอมและลูกแก้วดาร์คไนท์เอาไว้เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับการสร้างอาวุธชิ้นใหม่ของเขาขึ้นมา
“ฮอร์ครักซ์ที่ริเวอร์ทิ้งเอาไว้สามารถหลอมรวมเข้ากับวัตถุดิบ 3 ชิ้นเท่านั้น นายแน่ใจจริง ๆ ใช่ไหมว่านายคัดเลือกพวกมันมาเป็นอย่างดีแล้ว?” ลินนิจกล่าว
“บลัดบิวเทียสคืออาวุธที่ดีที่สุดเท่าที่ผมมี เทลออฟวิสดอมก็คืออุปกรณ์เสริมที่ช่วยทำให้บลัดบิวเทียสสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ลูกแก้วดาร์คไนท์เป็นสิ่งที่ผมได้รับมาจากคางคกดาร์คไนท์ขนาดยักษ์ การนำมันไปหลอมรวมกับอาวุธน่าจะช่วยให้บลัดบิวเทียสสามารถสร้างอันตรายให้กับสิ่งมีชีวิตดาร์คไนท์ได้มากยิ่งขึ้น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ความคิดของนายเป็นความคิดที่ดี แต่ฉันขอเตือนเอาไว้ก่อนว่าฮอร์ครักซ์ชิ้นนี้คืออุปกรณ์วิญญาณที่ริเวอร์ทิ้งเอาไว้ ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการตั้งค่าของฮอร์ครักซ์ชิ้นนี้เลย ดังนั้นมันจึงมีโอกาสเป็นไปได้ที่การหลอมรวมครั้งนี้จะทำให้บลัดบิวเทียสแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง” ลินนิจกล่าว
“ผมรู้ความเสี่ยงทุกอย่างดี สิ่งที่ผมสนใจมีเพียงอย่างเดียวว่าหลังจากการเปลี่ยนแปลงนี้บลัดบิวเทียสจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหรือ” เปล่าเซี่ยเฟยกล่าว
“ถึงแม้ฉันจะรับประกันไม่ได้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอะไร แต่ฉันมั่นใจว่ามันจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน” ลินนิจกล่าวอย่างจริงจัง
“ในเมื่อมันจะแข็งแกร่งขึ้น ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาเริ่มกันเลย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
—
ชายหนุ่มเริ่มปฎิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ตามคำแนะนำของลินนิจ โดยการเชื่อมบลัดบิวเทียส, เทลออฟวิสดอมและลูกแก้วดาร์คไนท์เข้ากับฮอร์ครักซ์ตามลำดับ ก่อนที่จะทำการวางชิปของลินนิจเอาไว้บนฮอร์ครักซ์เป็นขั้นตอนสุดท้าย
“สิ่งที่นายจำเป็นจะต้องทำเหลือแค่การเปิดใช้งานฮอร์ครักซ์ ส่วนที่เหลือฉันจะเป็นคนจัดการเอง” ลินนิจกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ติ้ง!
เซี่ยเฟยใช้มีดบาดนิ้วก้อยก่อนที่จะหยดเลือดลงไปในร่องเล็ก ๆ ด้านบนฮอร์ครักซ์ กระบวนการนี้คือกระบวนการจดจำวิญญาณเพื่อให้อาวุธวิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้นมากลายเป็นอาวุธที่เขาสามารถใช้ได้เพียงแค่คนเดียว
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ทำการกดปุ่มที่อยู่ด้านข้างฮอร์ครักซ์เบา ๆ เพื่อเริ่มต้นกระบวนการสร้างอาวุธวิญญาณจากวัตถุดิบทั้งหมด
วิ้ง!
แสงสว่างสาดส่องออกมาจากฮอร์ครักซ์อย่างเจิดจ้า พร้อม ๆ กับวิญญาณของลินนิจที่ถูกดูดเข้าไปยังด้านใน
ก่อนหน้านี้ลินนิจมีการเชื่อมต่อกับเซี่ยเฟยอย่างใกล้ชิด การที่วิญญาณของเขาถูกกระชากออกไปจึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเวียนหัวมากพอสมควร ขณะเดียวกันกระบวนการนี้ก็ทำให้ชิปของอาร์คกลายเป็นเพียงชิปที่ไร้วิญญาณ เพราะลินนิจได้เปลี่ยนที่สิงสถิตเข้าไปในฮอร์ครักซ์แล้ว
เมื่อฮอร์ครักซ์ถูกเปิดใช้งานพลังงานปริมาณมหาศาลก็ถูกระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่ในตอนนี้พวกเขาอยู่ภายในมิติฝึกฝน ไม่อย่างนั้นความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นมาย่อมดึงดูดความสนใจของทุกคนอย่างแน่นอน
ไม่กี่วินาทีต่อมาบลัดบิวเทียส, เทลออฟวิสดอมและลูกแก้วดาร์คไนท์ก็ถูกดูดหายไป ซึ่งในระหว่างนั้นฮอร์ครักซ์ก็เริ่มหมุนอย่างรวดเร็วเพื่อหลอมรวมวัตถุดิบทุกอย่างเข้าด้วยกัน
—
กระบวนการหลอมของฮอร์ครักซ์ดำเนินต่อไปจนถึงเช้าตรู่ ก่อนที่แสงสว่างจะจางหายไปเผยให้เห็นดาบไขว้เล่มหนึ่งที่ลอยอยู่ตรงหน้าของเขา
ดาบเล่มนี้ให้ความรู้สึกถึงลมพายุอันรุนแรงและมีความร้อนแรงราวกับเปลวไฟ กลิ่นอายของมันดูไม่เหมือนกับสิ่งที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นเลย แต่มันเป็นเหมือนผลงานที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์
ใบดาบทั้งสองชิ้นไขว้กันอย่างเป็นธรรมชาติไม่มีด้ามจับอยู่บนอาวุธชิ้นนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ด้านทุกด้านของอาวุธจึงเต็มไปด้วยใบมีดอันคมกริบที่สามารถปลิดชีวิตสิ่งมีชีวิตทุกชนิดได้อย่างง่ายดาย
เซี่ยเฟยมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง เพราะแต่เดิมบลัดบิวเทียสเป็นเพียงแค่ดาบเล่มหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่ออกมาหลังจากกระบวนการหลอมรวมกลับกลายเป็นดาบไขว้ที่ให้ความรู้สึกคล้ายกับกงจักร
ใบมีดทั้งสี่ใบยื่นออกไปสี่ทิศทางที่แตกต่างกัน บนคมมีดทั้งแปดด้านเต็มไปด้วยฟันแหลมเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ตามใบดาบมีร่องเลือดที่วาดลวดลายอันแปลกประหลาด ซึ่งโดยรวมแล้วอาวุธชิ้นนี้มันก็อยู่เหนือเกินกว่าจินตนาการของอาวุธใด ๆ ที่มนุษย์เคยคิดค้นขึ้นมา
ในระหว่างที่เซี่ยเฟยกำลังประหลาดใจอยู่นั้น ดาบไขว้เล่มใหม่ก็เริ่มส่งเสียงพูดกับเขา
“เซี่ยเฟยพวกเราทำสำเร็จแล้ว! พวกเราสามารถหลอมรวมอาวุธวิญญาณขึ้นมาได้ และฉันก็ได้รับข้อความที่ริเวอร์ทิ้งไว้ด้วย” ลินนิจตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้น และอาจจะเป็นเพราะวิญญาณอมตะตนนี้ได้รับสถานที่สิงสถิตอันเหมาะสม พลังงานที่ลินนิจปลดปล่อยออกมาจึงดูมีความมั่นคงมากกว่าเดิม
“เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน ตอนนี้คุณเป็นยังไงบ้าง?” เซี่ยเฟยถาม
“ฮอร์ครักซ์คือสถานที่พักที่ดีที่สุดของวิญญาณอมตะอย่างเราอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นฮอร์ครักซ์นี้ยังถูกสร้างขึ้นมาจากเศษซากบางส่วนของอาร์ค ระดับพลังของมันจึงถือว่าสูงมากและมันคือที่สิงสถิตที่ดีที่สุดในจักรวาลนี้อย่างไม่ต้องสงสัย”
“ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะยังอ่อนแอแต่ถ้าหากฉันมีเวลาฟื้นฟูสักหน่อย ฉันก็ไม่เพียงแต่จะฟื้นฟูความแข็งแกร่งดั้งเดิมกลับมาได้เท่านั้น แต่ฉันยังจะมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมด้วย แม้แต่การฟื้นฟูความทรงจำมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ระหว่างที่ลินนิจกำลังพูดอยู่นั้นเซี่ยเฟยก็สังเกตเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ปรากฏขึ้นภายในใจ ราวกับว่าเขากำลังเห็นร่างกายของลินนิจจริง ๆ ซึ่งมันก็หมายความว่าการเชื่อมโยงระหว่างเขากับลินนิจในตอนนี้มีความใกล้ชิดมากขึ้นกว่าเดิม
ขวับ!
อาวุธชิ้นใหม่ได้ล่องลอยฉวัดเฉวียงขึ้นไปในอากาศ แม้แต่คลื่นลมที่ถูกพัดออกมาจากอาวุธชิ้นนี้ก็ยังให้ความรู้สึกถึงอันตราย
“ดูนี่สิ! ฉันสามารถควบคุมบลัดบิวเทียสได้อย่างอิสระ ถ้าหากนายยุ่งเกินกว่าจะควบคุมอาวุธชิ้นนี้ได้ อย่างน้อยฉันก็ช่วยควบคุมอาวุธจู่โจมศัตรูแทนนายได้ นายแค่ต้องส่งกระแสจิตบอกฉันมาว่านายต้องการจะฆ่าใคร ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”
“แต่ถ้าให้ดีนายคอยควบคุมอาวุธชิ้นนี้เองจะดีกว่า ท้ายที่สุดนายก็เป็นนักรบที่มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องนี้ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่มีทางไปเทียบกับนายได้” ลินนิจกล่าวอย่างตื่นเต้น
“คุณรู้ไหมว่าตอนนี้มันยังมีความสามารถแบบเดิมอยู่หรือเปล่า?” เซี่ยเฟยกล่าวถามหลังจากหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ขอโทษที ฉันลืมบอกนายไปเลยตอนนี้บลัดบิวเทียสมันไม่ใช่อาวุธธรรมดาอีกต่อไปแล้ว แต่มันควรจะถูกเรียกว่าอาวุธสังหารพระเจ้าน่าจะเหมาะสมกว่า” ลินนิจกล่าวขึ้นมาอย่างเขินอายเล็กน้อยเมื่อตระหนักว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นมากเกินไป
“อาวุธสังหารพระเจ้า?!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาอย่างตกตะลึง
“ใช่ มันคืออาวุธที่สังหารได้แม้กระทั่งพระเจ้า ในอดีตบลัดบิวเทียสสามารถสังหารได้เพียงแต่ร่างกายของเป้าหมายเท่านั้น แต่ในตอนนี้มันสามารถสังหารแม้กระทั่งวิญญาณของเป้าหมายได้อีกด้วย”
“แม้วิญญาณจะไม่มีตัวตนแต่วิญญาณก็มีอยู่จริง หลังจากที่พวกเราตายแต่เราก็ยังคงเหลือวิญญาณล่องลอยอยู่ในอากาศ หากใครมีความสามารถวิญญาณพวกนั้นก็จะสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ได้ ซึ่งถ้าหากว่านายได้ไปเจอศัตรูที่เกิดใหม่ได้อย่างริเวอร์ การสังหารเขาเพียงครั้งเดียวมันยังไม่เพียงพอเพราะเขาสามารถเกิดใหม่กลับมาล้างแค้นนายได้ทุกเมื่อ”
“แต่บลัดบิวเทียสจะทำให้ปัญหาพวกนั้นหมดไปโดยสมบูรณ์ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ศัตรูถูกอาวุธชิ้นนี้สังหาร แม้แต่วิญญาณของพวกเขาก็จะถูกทำลายลงไปด้วย แบบนี้ถ้าไม่เรียกมันว่าอาวุธสังหารพระเจ้าแล้วจะเรียกมันว่าอะไร”
“ฉันขอบอกได้เลยว่าตอนนี้บลัดบิวเทียสกลายเป็นฝันร้ายของทุกคนในจักรวาล แม้แต่จอมเทพหรือจอมมารถ้าถูกอาวุธชิ้นนี้สังหารพวกเขาก็ไม่มีทางได้กลับไปเกิดใหม่”
เมื่อได้ยินคำอธิบายแววตาของชายหนุ่มก็เปล่งประกายขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น เพราะในการต่อสู้กับศัตรูระดับสูงเขาไม่สามารถหาทางถอนรากถอนโคนศัตรูได้จริง ๆ และเมื่อไหร่ก็ตามที่ศัตรูได้รับโอกาสกลับไปเกิดใหม่ ศัตรูคนนั้นก็มีโอกาสจะกลับมาแก้แค้นเขาได้ทุกเมื่อ
แต่ในตอนนี้บลัดบิวเทียสสามารถสังหารศัตรูได้อย่างหมดจด ซึ่งศัตรูที่ถูกสังหารไม่เพียงแต่จะถูกกำจัดร่างกายลงไปเท่านั้น แต่วิญญาณของพวกเขาก็จะถูกกำจัดลงไปด้วย
“ตรงนี้คือจุดเก็บพลังงานที่ถูกบลัดบิวเทียสสังหาร เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเก็บสะสมพลังงานได้มากพอ มันก็สามารถวิวัฒนาการกลายเป็นอาวุธที่บ้าคลั่งกว่านี้ได้” ลินนิจกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปที่รอยนูนที่อยู่ตรงกลางบลัดบิวเทียส
“ตอนนี้มันกลายเป็นอาวุธระดับไหนแล้ว?” เซี่ยเฟยถามขณะเหยียดนิ้วออกไปสัมผัสอาวุธชิ้นใหม่เบา ๆ
“มันเป็นอาวุธกลืนวิญญาณเพียงชิ้นเดียวในจักรวาล แล้วนายคิดว่ามันควรจะอยู่ในระดับไหนล่ะ?” ลินนิจกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คำตอบนี้ยิ่งทำให้ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เพราะมันหมายความว่าบลัดบิวเทียสได้กลายเป็นอาวุธเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาลที่ไม่มีใครสามารถนำมาเทียบเคียงกับมันได้
“สรุปแล้วริเวอร์ทิ้งข้อความอะไรเอาไว้ให้กับคุณ?” เซี่ยเฟยถามหลังจากพยายามระงับอาการตื่นเต้น
“ริเวอร์เป็นคนที่น่าสงสารมาก แท้ที่จริงแล้วเขาได้รับภารกิจจากตระกูลในการเคลื่อนที่ผ่านประตูจักรวาลมา แต่น่าเสียดายที่เขาถูกไล่ล่าจนทำให้ภารกิจครั้งนั้นต้องล้มเหลว เขาจึงรู้สึกหดหู่ใจและโทษตัวเองอยู่ซ้ำ ๆ”
“เขายังไม่รู้ว่าฉันสูญเสียความทรงจำไปบางส่วน เขาเลยอธิบายสถานการณ์ไม่ละเอียดนัก แต่ข้อความบางส่วนก็มีประโยชน์มาก เช่น บนยานมีของที่สำคัญกับเขามาก ๆ อยู่ด้วย แต่มันได้หายไปหลังจากที่ยานระเบิด”
“เมื่อริเวอร์สร้างร่างกายตัวเองขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จ เขาก็พยายามตามหาของสิ่งนั้นเพียงลำพัง เพราะถึงแม้ภารกิจดั้งเดิมของเขาจะล้มเหลวไปแล้ว แต่เขาก็พยายามแก้ไขสถานการณ์ให้กลับมาดีที่สุด” ลินนิจอธิบาย
“นั่นก็หมายความว่าริเวอร์อาจจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการตามหาของชิ้นนั้น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ริเวอร์เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบมากกว่าชีวิต ในบรรดาข้อความที่เขาฝากเอาไว้มีข้อความบางส่วนอธิบายเกี่ยวกับประตูจักรวาลเอาไว้ด้วย”
“เขาบอกว่าเขาคาดการณ์เอาไว้มานานแล้วว่าวันหนึ่งผนึกของประตูจักรวาลจะถูกคลายออก และเขาก็เตือนว่าด้านนอกประตูคือนรกทั้งสำหรับฉันและสำหรับเขา ดังนั้นถ้าหากว่าฉันไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรที่จำเป็นจริง ๆ ห้ามฉันเข้าไปใกล้ประตูจักรวาลอย่างเด็ดขาด” ลินนิจอธิบายเพิ่มเติม
เซี่ยเฟยไม่ได้พูดอะไร เพราะท้ายที่สุดทั้งริเวอร์และลินนิจต่างก็หลบหนีศัตรูมาจากอีกฟากฝั่งของประตูจักรวาล มันจึงเป็นเรื่องปกติที่ริเวอร์จะไม่ต้องการให้ลินนิจกลับไปใกล้ประตูบานนั้น
แต่สิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดคือริเวอร์กำลังตามหาอะไรอยู่กันแน่ ถึงขนาดที่ถึงแม้เขาจะใช้เวลาตามหามานานหลายล้านปี แต่มันก็ดูเหมือนกับว่าเขายังตามหาของชิ้นนั้นไม่เจอ
“ตอนนี้บลัดบิวเทียสได้กลายเป็นอาวุธชิ้นใหม่แล้ว ฉันว่าเราควรจะตั้งชื่อใหม่ให้กับมันดีกว่า” ลินนิจกล่าว
รูปลักษณ์ของบลัดบิวเทียสไม่ได้มีความใกล้เคียงกับดาบสีแดงเล่มเดิมอีกต่อไป แม้กระทั่งความสามารถของมันก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การตั้งชื่อใหม่ให้กับอาวุธชิ้นนี้จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว
“ผมขอตั้งชื่อมันว่า 'เนอร์วาน่า' โอเคไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“นั่นสินะ ศัตรูที่ถูกดาบเล่มนี้สังหารจะเข้าสู่นิพพานอย่างแท้จริง ชื่อเนอร์วาน่าคือชื่อที่เหมาะสมกับมันแล้ว”
***************
ตั้งชื่อได้ดีอีกแล้ว ขอเสียงปรบมือหน่อยน๊าา
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 351
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น