นกพิราบไปรษณีย์: เมื่อ “ปีก” คือเครือข่ายการสื่อสารที่เก่าแก่ที่สุดของโลก

-A A +A
นกพิราบสีน้ำเงินเกาะอยู่บนมือของผู้หญิง มือสวมแหวนและข้อมือมีขอบลูกไม้สีขาว นกพิราบมีริบบิ้นสีเขียวผูกที่คอและมีจดหมายซองสีชมพูแขวนอยู่ เป็นภาพวาดแนววินเทจให้อารมณ์คลาสสิก

นกพิราบไปรษณีย์: เมื่อ “ปีก” คือเครือข่ายการสื่อสารที่เก่าแก่ที่สุดของโลก

ในวันที่โลกมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ส่งข้อความได้ภายในเสี้ยววินาที คงยากจะจินตนาการว่า ในอดีต การสื่อสารข้ามเมืองหรือข้ามทวีปอาจต้องพึ่ง “ปีก” ของสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า “นกพิราบ” สิ่งที่น่าทึ่งคือ พวกมันไม่ได้เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงหรือสัญลักษณ์แห่งความสงบ หากแต่เคยเป็น “นักส่งสารมืออาชีพ” ที่ช่วยพลิกหน้าประวัติศาสตร์โลกมาแล้วหลายครั้ง

จุดเริ่มต้นของการใช้ “นกส่งสาร”

ว่ากันว่ามนุษย์เริ่มรู้จักการใช้นกพิราบส่งข่าวมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ ราว 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวอียิปต์เลี้ยงนกพิราบไว้ในหอสูงริมแม่น้ำไนล์ เพื่อปล่อยไปตามเมืองต่าง ๆ ส่งข่าวสารระหว่างฟาโรห์และเมืองบริวาร ตัวอย่างหนึ่งที่บันทึกไว้คือ การใช้ส่งประกาศผลการแข่งขันกีฬาและข่าวการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์องค์ใหม่ ซึ่งถือเป็น “ระบบสื่อสารทางอากาศ” รุ่นแรกของโลก

ต่อมาในยุคกรีกและโรมัน นกพิราบกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของการสื่อสารทางทหาร โดยเฉพาะในสนามรบที่ต้องส่งข่าวกลับฐานบัญชาการอย่างรวดเร็ว เช่น ในสมัยสงครามโทรจัน หรือสมัยจักรวรรดิโรมันที่ขยายอำนาจออกไปหลายทิศ นกพิราบช่วยให้กองทัพสื่อสารกันได้แม้ไม่มีเส้นทางคมนาคมที่ปลอดภัย

ไม่ใช่พิราบบ้านธรรมดา แต่จะต้องเป็นพันธุ์นกที่ถูกเลือก

นกพิราบที่ใช้ส่งจดหมายไม่ใช่พิราบตามวัดหรือที่เห็นในสวนสาธารณะทั่วไป แต่เป็นพันธุ์เฉพาะที่เรียกว่า “Hom¬ing Pigeon” หรือ “นกพิราบสื่อสาร” ซึ่งพัฒนามาจากนกพิราบสายพันธุ์ Rock Dove (Columba livia) ที่มีความสามารถพิเศษในการ “จำบ้าน” ได้แม่นยำ

นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า นกชนิดนี้สามารถจดจำทิศทางด้วยการอาศัยสนามแม่เหล็กของโลก ร่วมกับการสังเกตแสงอาทิตย์ กลิ่นอากาศ และภูมิประเทศระหว่างทาง จึงทำให้มันบินกลับบ้านได้แม้ต้องเดินทางไกลหลายร้อยกิโลเมตร

ฝึกบินยังไงไม่ให้หลง

การฝึกนกพิราบส่งจดหมายต้องอาศัยความอดทนและความสัมพันธ์ระหว่างคนเลี้ยงกับนกอย่างมาก เจ้าของจะเริ่มจากการให้นกคุ้นเคยกับ “รัง” ของตัวเองก่อน โดยเลี้ยงไว้ในกรงที่ตั้งอยู่ในสถานที่ถาวร เรียกว่า “Loft” จากนั้นจะเริ่มฝึกให้มันบินไปในระยะใกล้ ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มระยะทาง เช่น จาก 1 กิโลเมตร เป็น 5 กิโลเมตร 10 กิโลเมตร จนถึง 100 กิโลเมตร

ทุกครั้งที่ปล่อยออกไป นกจะต้องบินกลับมาที่รังเดิมเสมอ เพื่อให้สมองจดจำเส้นทางได้ ในที่สุดมันจะสามารถกลับบ้านได้เองจากระยะทางไกลถึง 800-1,000 กิโลเมตร หรือในบางกรณีมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสภาพร่างกายของนก

วิธีส่งสาร: จดหมายเล็ก ๆ บนขาเล็ก ๆ

เมื่อจะใช้จริง คนเลี้ยงจะม้วนจดหมายหรือแถบกระดาษเล็ก ๆ ใส่ในกระบอกโลหะหรือพลาสติกขนาดเล็ก แล้วผูกไว้ที่ขาของนกหนึ่งข้าง จากนั้นจึงปล่อยนกออกจากกรงในพื้นที่ต้นทาง นกจะบินกลับ “บ้าน” ของมันโดยสัญชาตญาณ ซึ่งบ้านนั้นอาจอยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร จดหมายก็จะถึงมือผู้รับที่รออยู่ ณ จุดหมายปลายทาง

วิธีนี้ดูเรียบง่าย แต่ในยุคที่ยังไม่มีโทรเลข โทรศัพท์ หรืออินเทอร์เน็ต การส่งจดหมายด้วยนกพิราบถือว่าเป็นวิธีที่รวดเร็วและปลอดภัยที่สุด โดยเฉพาะในช่วงสงคราม

สงครามและนกผู้กล้า

นกพิราบส่งสารมีบทบาทสำคัญในหลายสงคราม โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ที่กองทัพยุโรปใช้นกพิราบเป็นเครื่องมือสื่อสารภาคสนาม เนื่องจากโทรเลขและวิทยุอาจถูกรบกวนหรือถูกดักฟังได้

หนึ่งในนกพิราบที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Cher Ami (แชร์อามี) ของกองทัพสหรัฐอเมริกา ซึ่งช่วยส่งข้อความขอความช่วยเหลือจากหน่วยทหารที่ถูกข้าศึกล้อมในฝรั่งเศสระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้จะถูกยิงบาดเจ็บและเสียขาไปหนึ่งข้าง แต่มันยังบินกลับฐานได้สำเร็จ และทำให้ทหารกว่า 200 ชีวิตรอดพ้นจากการถูกทำลายล้าง ปัจจุบันร่างของ Cher Ami ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ Smithsonian ประเทศสหรัฐอเมริกา

ระยะทางและความเร็วที่ไม่ธรรมดา

โดยทั่วไป นกพิราบไปรษณีย์สามารถบินได้เฉลี่ย 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และในสภาพอากาศดีสามารถบินต่อเนื่องได้ถึง 12 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก ระยะทางไกลที่สุดที่เคยบันทึกไว้คือกว่า 1,800 กิโลเมตร จากฝรั่งเศสถึงแอฟริกาเหนือ

สิ่งที่น่าทึ่งคือ ความสามารถในการกลับรังแม่นยำจนแทบไม่พลาด นักวิทยาศาสตร์เคยทดลองปล่อยนกจากจุดที่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร โดยหมุนกรงให้หลงทิศก่อนปล่อย แต่พวกมันก็ยังสามารถบินกลับรังได้ถูกต้องในเวลาที่ใกล้เคียงเดิม

นกพิราบกับโลกยุคใหม่

เมื่อเทคโนโลยีโทรเลข วิทยุ และอินเทอร์เน็ตเข้ามาแทนที่ ระบบ “นกส่งสาร” ก็เริ่มค่อย ๆ หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้หายไปทั้งหมด ปัจจุบันยังมีสมาคมและชมรม “นกพิราบสื่อสาร” ในหลายประเทศที่ยังคงเลี้ยงและแข่งขันกันอยู่ เช่น เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อังกฤษ และจีน

ในประเทศเบลเยียม การแข่งนกพิราบถือเป็น “กีฬาประจำชาติ” มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มีทั้งระบบจัดอันดับและการแข่งขันระดับโลก โดยผู้ชนะจะได้รับรางวัลมูลค่าหลายล้านบาท นกพิราบบางตัวถึงกับถูกประมูลในราคาสูงถึงหลายล้านยูโร เช่น “Armando” นกพิราบสายพันธุ์แชมป์ที่ถูกขายไปกว่า 40 ล้านบาทไทยในปี 2019

สถานการณ์ของนกพันธุ์ส่งสารในปัจจุบัน

แม้นกพิราบส่งสารจะไม่เป็นที่ต้องการในภารกิจจริงอีกต่อไป แต่สายพันธุ์แท้ของมันยังคงถูกอนุรักษ์ไว้โดยนักเพาะพันธุ์และนักสะสมทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและจีน ซึ่งมีการจัดงานแสดงสายพันธุ์ การแข่งขันความเร็ว และการเพาะเลี้ยงอย่างเป็นระบบ

ในประเทศไทยเอง ก็มีผู้เลี้ยงนกพิราบแข่งอยู่พอสมควร โดยเฉพาะในภาคใต้ เช่น สงขลา ปัตตานี ยะลา ที่นิยมเลี้ยงไว้แข่ง “นกพิราบบินกลับบ้าน” ซึ่งมีวิธีการคล้ายกับนกส่งสารในอดีต เพียงแต่เปลี่ยนจากการส่งจดหมาย เป็นการทดสอบความเร็วและความแม่นยำแทน

พิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ

  • ต่างประเทศ
    • พิพิธภัณฑ์นกพิราบแห่งเบลเยียม (The Pigeon Museum of Belgium) ตั้งอยู่ที่เมืองอันท์เวิร์ป แสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์การใช้นกส่งสาร และการแข่งขันนกพิราบในยุโรป
    • พิพิธภัณฑ์สงคราม Imperial War Museum (ลอนดอน) มีการจัดแสดงนกพิราบส่งสารที่ใช้ในสงครามโลก รวมถึงอุปกรณ์จริงอย่างกระบอกใส่จดหมาย
    • Smithsonian Museum (สหรัฐอเมริกา) ที่กล่าวถึงก่อนหน้า มีร่างของ Cher Ami จัดแสดงไว้พร้อมเรื่องราวการปฏิบัติภารกิจสุดระทึก
  • ในประเทศไทย: แม้ยังไม่มีพิพิธภัณฑ์เฉพาะทางเกี่ยวกับนกส่งสาร แต่ในบางมหาวิทยาลัย เช่น คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือศูนย์วิจัยนกในจังหวัดนครปฐม มีการเก็บตัวอย่างพันธุ์และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของนกพิราบไว้เพื่อการศึกษา รวมถึงชมรมผู้เลี้ยงนกพิราบแข่งขันที่จัดนิทรรศการเล็ก ๆ อยู่บ้างเป็นครั้งคราว

นกพิราบในมุมมองทางจิตใจ

หากมองให้ลึกลงไป “นกพิราบไปรษณีย์” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการสื่อสารทางกายภาพเท่านั้น แต่มันยังสะท้อน “ความไว้วางใจ” ที่มนุษย์ฝากไว้ในสิ่งมีชีวิตอื่น เราเชื่อมั่นว่ามันจะกลับมา เราเขียนข้อความใส่กระบอกเล็ก ๆ แล้วปล่อยให้บินหายไปบนท้องฟ้า ด้วยความหวังว่าข่าวนั้นจะถึงมือใครสักคน

ในยุคที่คนส่งข้อความเพียงปลายนิ้ว ความเชื่อใจแบบนั้นอาจฟังดูโรแมนติกและแปลกตา แต่มันคือรากฐานของการสื่อสารอย่างแท้จริง เพราะทุกข้อความ ไม่ว่าจะผ่านปีกนกหรือคลื่นสัญญาณ ล้วนเกิดจาก “ความหวังให้ใครบางคนได้อ่านมัน”

เสน่ห์ที่ยังไม่เลือน

แม้เวลาจะผ่านไปหลายศตวรรษ แต่นกพิราบส่งสารยังคงเป็นสัญลักษณ์ของ “การเชื่อมโยง” ระหว่างผู้คน ไม่ต่างจากอินเทอร์เน็ตในยุคนี้ เพียงแต่ในอดีต ปีกเล็ก ๆ เหล่านั้นคือสายใยที่เชื่อมเมือง เชื่อมประเทศ และบางครั้ง…เชื่อมชีวิตระหว่างสงครามกับความหวัง

วันนี้นกพิราบเหล่านั้นอาจไม่ได้ส่งจดหมายจริง ๆ อีกต่อไป แต่อาจส่งต่อแรงบันดาลใจให้เราระลึกถึงคุณค่าของ “การสื่อสารที่มีใจ” ซึ่งไม่มีเทคโนโลยีใดแทนที่ได้

บทสรุป

นกพิราบไปรษณีย์คือสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติและมนุษย์ร่วมกันสร้างขึ้น จากจิตวิทยาของการกลับรังตามสัญชาตญาณ กลายเป็นเครือข่ายสื่อสารอันทรงพลังที่ข้ามภูเขา ทะเลทราย และสงครามหลายยุคสมัย

ทุกครั้งที่เห็นนกพิราบบินข้ามฟ้า อาจลองคิดว่า ปีกคู่นั้นเคยเป็น “เส้นใยข้อมูลของโลกยุคเก่า” ที่ส่งข่าวรัก ข่าวรบ และข่าวชีวิตของผู้คนมาแล้วนับไม่ถ้วน บางทีในความเร็วของโลกยุคใหม่ เราอาจลืมไปว่าการสื่อสารที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ความไวของเทคโนโลยี แต่อยู่ที่ “หัวใจ” ที่ส่งต่อผ่านข้อความนั้นต่างหาก

ที่มาภาพ

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.