ตอนที่ 875 โอโร่ฉบับปรับปรุง
ตอนที่ 875 โอโร่ฉบับปรับปรุง
“ความต่างระหว่างวิชาฉบับปรับปรุงกับวิชาฉบับดั้งเดิมมันจะต่างกันเกินไปไหมเนี่ย!” เซี่ยเฟยอุทานภายในใจอย่างตกตะลึง แต่ถึงแม้ว่าการเรียนวิชานี้จะยากลำบากมาก แต่เขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้จนกว่าจะพยายามถึงที่สุด
หลังจากชายหนุ่มได้อ่านบันทึกวิชามนตราอสรูฉบับดั้งเดิมโดยละเอียด แสงบริเวณนอกหน้าต่างก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นอย่างช้า ๆ
เนื้อหาภายในหนังสือมีอยู่อย่างมากมายและถึงแม้ว่าเขาจะอ่านด้วยพลังสายความเร็วของเขาแล้ว แต่มันก็จะจำเป็นจะต้องใช้เวลาทั้งคืน ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้มีความละเอียดอ่อนมากแค่ไหน
เซี่ยเฟยรู้สึกสับสนกับประโยคคำพูดสุดท้ายของบันทึกอยู่เล็กน้อยว่ามันมีสัตว์อสูร 3 ชนิดที่วิชานี้ไม่สามารถควบคุมได้คืออสูรดาวดับ, ดักแด้ดวงดาวและมังกร!
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าอสูรดาวดับกับดักแด้ดวงดาวคืออะไร แต่เรื่องเกี่ยวกับมังกรมันได้มีบันทึกเอาไว้บนดาวโลกผ่านนิทานปรัมปราต่าง ๆ อย่างมากมาย
“ในจักรวาลนี้มีมังกรอยู่จริง ๆ งั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยพึมพำขึ้นมาเบา ๆ
—
“เป็นไปไม่ได้! นี่มันจะเร็วเกินไปแล้ว” โอโร่กระโดดออกมาจากเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตอย่างตกตะลึง
หลังจากทำใจยอมรับเรื่องที่เขาไม่สามารถกลับไปเป็นไลอ้อนฮาร์ทได้อีกแล้ว โอโร่ก็เริ่มทำการฝึกฝนเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้ง และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึง เพราะความเร็วในการฟื้นฟูพลังอยู่ในระดับที่น่าตกใจ
เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตเป็นพืชชนิดพิเศษที่โอโร่ปลูกซ่อนไว้ภายในแดนเนรเทศ เพราะในสถานที่อันรกร้างแบบนี้มันย่อมมีความปลอดภัยมากกว่าราชวังของตระกูล ท้ายที่สุดเขาก็คือคนจากตระกูลไลอ้อนฮาร์ท หากศัตรูอยากจะทำลายล้างเขาจริง ๆ บางทีมันก็อาจจะจบลงที่การทำลายเผ่าพันธุ์ไลอ้อนฮาร์ทลงทั้งหมด
เมื่อราชวังไลอ้อนฮาร์ทถูกทำลายเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตที่ถูกเก็บไว้ก็อาจจะถูกทำลายลงไปด้วยเช่นเดียวกัน ในทางกลับกันถ้าหากว่าเขาได้มาซ่อนเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตเอาไว้ในแดนเนรเทศ มันก็มีโอกาสยากมากที่เมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะได้รับอันตราย เว้นแต่ว่ามันจะมีคนบ้าต้องการจะระเบิดดวงดาวขึ้นมาเล่น ๆ
ด้วยของเหลวสีขาวหนืดจากเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต มันจึงทำให้โอโร่สามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากที่เขาฟื้นฟูกำลังกลับมาเพียงแค่วันเดียว ตอนนี้เขาก็มีพลังฟื้นมาจนถึงระดับอัศวินกฎขั้นที่ 3 แล้ว
แม้ว่าพลังระดับอัศวินกฎจะไม่โดดเด่นมากนัก แต่ก็อย่าลืมว่าเขาเพิ่งฟื้นฟูพละกำลังกลับมาได้เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่โดยปกติการฟื้นฟูพลังมาจนถึงระดับนี้มันก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาไม่น้อยไปกว่า 1 เดือน
“นอกจากเซี่ยเฟยเปลี่ยนให้ฉันกลายเป็นมนุษย์ เขายังเพิ่มความเร็วในการฟื้นตัวให้กับฉันอีก 30 เท่าด้วยงั้นเหรอ? เขาทำแบบนี้ได้ยังไง?” โอโร่พึมพำขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงมากยิ่งกว่าความเร็วในการฟื้นฟูพละกำลังกลับคืนมาคือ พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาถูกขยายกว้างจาก 94% กลายมาเป็น 99% ซึ่งมันเป็นการเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 เกือบจะสมบูรณ์แบบ
พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการฝึกฝนของนักรบโดยตรง แล้วถึงแม้ว่าความแตกต่างระหว่าง 94% กับ 99% จะแตกต่างกันเพียงแค่ 5% แต่ในความเป็นจริงความต่างชั้นของ 5% นี้กลับเปรียบเทียบได้กับสวรรค์กับนรก
แม้ว่าการขยายพื้นที่สมองส่วนที่ 7 มาจนถึงระดับนี้จะไม่ได้ดีเทียบเท่ากับสมองของเซี่ยเฟย แต่อย่างน้อยโอโร่ก็กลายเป็นอัจฉริยะที่หาได้เพียงแค่ 1 ในหลาย 100 ล้านคนทั่วทั้งดินแดนกฎเท่านั้น
น่าเสียดายที่โอโร่ยังไม่รู้ความจริงว่าในตอนนี้เซี่ยเฟยได้พัฒนาพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของตัวเองขึ้นมาจนถึง 101% แล้ว
“ตอนแรกพลังของฉันอยู่ที่จอมมารขั้นที่ 2 ตอนนี้พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของฉันขยายออกใหม่อีก 5% มันก็หมายความว่าฉันน่าจะพัฒนาพลังกลับไปได้อย่างน้อยอยู่ที่จอมมารขั้นที่ 5 หรืออาจจะพัฒนากลายเป็นจอมมารระดับสูงไปเลยก็ได้!!
ฮ่า ๆ ~ ฮ่า ๆ ~ ฮ่า ๆ ~
โอโร่ส่งเสียงหัวเราะคล้ายกับคนบ้า เพราะในชีวิตก่อนพลังของเขาถูกฝึกขึ้นมาจนตันที่จอมมารขั้นที่ 2 เท่านั้น การที่พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ถูกเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น มันก็หมายความว่าเขาสามารถพัฒนาให้เหนือล้ำกว่าตัวเองในอดีตได้
ไม่มีใครไม่ชอบที่ตัวเองจะแข็งแกร่งขึ้น และโอโร่ก็เป็นคนแบบนั้นด้วยเช่นกัน แม้ในตอนแรกเขาจะรู้สึกโกรธแค้นเซี่ยเฟยที่ทำให้เขากลายเป็นมนุษย์ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกขอบคุณชายหนุ่มจนแทบจะก้มตัวลงกราบ
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในปัจจุบันมันก็ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะถึงแม้มันจะเป็นเรื่องดีที่เขาสามารถพัฒนาเหนือกว่าตัวเองในอดีตได้ แต่ตัวตนในปัจจุบันของเขาก็เป็นตัวตนที่ยากจะยอมรับในดินแดนกฎด้วยเช่นกัน
เขามีชีวิตในฐานะของราชันย์ไลอ้อนฮาร์ทมาเป็นเวลานานหลายล้านปีแล้ว จู่ ๆ เมื่อเขากลายเป็นมนุษย์จากทางฝั่งเทพ มันจึงทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมาก
เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นกรรมตามสนองอย่างแท้จริง เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามเกลี้ยกล่อมให้เซี่ยเฟยเข้าร่วมกับเผ่ามาร แต่ในตอนนี้มันกลับกลายเป็นว่าเขาต้องกลับมาเกิดใหม่ในร่างของสมาชิกภายในเผ่าเทพ
ขณะเดียวกันแม้ว่าในช่วงวัยเยาว์มนุษย์จะอ่อนแอ แต่เมื่อแก่ตัวลงมนุษย์จะค่อย ๆ ปลดปล่อยศักยภาพออกมามากยิ่งขึ้น
ภายในเผ่าไลอ้อนฮาร์ทมีจอมมารอยู่ทั้งสิ้นเพียงแค่ 4 คน ซึ่งเขาเป็นจอมมารที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาจอมมารทั้งสี่ แต่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์กลับมีจอมเทพอยู่มากถึง 24 คน ทั้ง ๆ ที่ประชากรของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันหลายสิบเท่า
‘อย่างน้อยการเป็นมนุษย์ก็คงจะไม่แย่เกินไปล่ะมั้ง แต่ฉันก็คงจะละทิ้งเผ่าพันธุ์ไปไม่ได้เหมือนกันสินะ’ โอโร่คิดกับตัวเองอยู่นาน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจว่าเขาจะถามเรื่องนี้กับเซี่ยเฟยทีหลัง
หลังจากอยู่กับชายหนุ่มชาวสกายวิงมานาน โอโร่ก็มักจะคิดภายในใจอยู่เสมอว่าเซี่ยเฟยจะต้องมีวิธีแก้ปัญหาที่เขาไม่สามารถจะแก้ปัญหาในเรื่องนั้น ๆ ได้
เซี่ยเฟยยังไม่รู้ความลับที่ซ่อนอยู่ในแหวนราชันย์ไลอ้อนฮาร์ทว่าเจ้าของแหวนสามารถติดตามร่องรอยไปหาแหวนวงนั้นได้ โอโร่จงใจปิดบังความลับในเรื่องนี้เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เซี่ยเฟยยึดแหวนของเขาไปในอนาคต
น่าเสียดายที่การสนทนาผ่านแหวนจำเป็นจะต้องใช้พลังงานสูงมาก และด้วยพลังงานในปัจจุบันของเขา มันก็ทำให้เขาสามารถพูดคุยกับเซี่ยเฟยได้นานที่สุดเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น
โอโร่เริ่มรวบรวมพลังเคลื่อนไหวด้วยท่าทางแปลก ๆ ก่อนที่เขาจะใช้วิชาเชื่อมพลังไปยังแหวนราชันย์ไลอ้อนฮาร์ทอย่างรวดเร็ว
แว๊บ!
เซี่ยเฟยสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ เขาถูกดึงตัวเข้าไปในภาพการสื่อสารเสมือนจริง
“ฉันคือโอโร่ ตอนนี้ฉันมีเวลาแค่ 3 นาที ฉันมีเรื่องสำคัญมาก ๆ ที่ต้องการคำตอบจากนาย” โอโร่แนะนำตัวอย่างเร่งรีบ
เซี่ยเฟยมองมนุษย์ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง เพราะในที่สุดสิ่งที่เขากังวลก็เกิดขึ้นมาแล้ว ใครจะไปรู้ว่าการใช้กฎแห่งความโกลาหลมันจะทำให้โอโร่ได้กลายเป็นมนุษย์เหมือนกับเขา
โอโร่อธิบายเรื่องของตัวเองขึ้นมาโดยสรุปขณะที่ยังคงนับเวลาอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าการพยายามติดต่อมาหาเซี่ยเฟยในตอนนี้ต้องใช้กำลังมากแค่ไหน และมันก็ทำให้บนหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่
“ก่อนอื่นคุณคิดว่าคุณที่เป็นมนุษย์กับคุณที่เป็นไลอ้อนฮาร์ท คุณในตัวตนไหนสามารถปกป้องเผ่าพันธุ์ได้ดีกว่า?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
“ตอนเป็นมนุษย์สิ” โอโร่ตอบไปอย่างเร่งรีบ เพราะการเป็นมนุษย์ทำให้เขาสามารถก้าวข้ามไปยังพลังในระดับที่เขาไม่เคยเอื้อมถึงมาก่อน เมื่อพูดถึงเรื่องการปกป้องผู้ที่มีพลังมากกว่าย่อมมีความได้เปรียบ
“เรื่องที่ 2 คุณต้องการแก้แค้นคนที่กักขังคุณเอาไว้หรือเปล่า?” เซี่ยเฟยถามอีกครั้ง
“แน่นอนสิ ฉันเฝ้ารอวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ” โอโร่ตอบกลับ
“แล้วตัวตนที่เป็นมนุษย์หรือตัวตนที่เป็นไลอ้อนฮาร์ทช่วยให้คุณแก้แค้นได้ดีกว่า?”
“มนุษย์”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ได้คำตอบแล้ว ตอนนี้คุณยังยึดติดกับร่างกายของตัวเองมากเกินไป จำเอาไว้ไม่ว่ารูปร่างหน้าตาของคุณจะเปลี่ยนไปเป็นยังไง แต่ข้างในคุณยังคงเป็นราชันย์ไลอ้อนฮาร์ท”
“ถ้าคุณเป็นไลอ้อนฮาร์ทแล้วแก้แค้นไม่ได้คุณยังจะยึดติดอยู่กับการเป็นไลอ้อนฮาร์ทอยู่ไหม? ในเมื่อตอนนี้คุณมีโอกาสแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว ทำไมคุณจะต้องทิ้งโอกาสดี ๆ แบบนี้ไปด้วยล่ะ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
โอโร่สะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นอย่างรุนแรง
เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อันดับแรกเขาจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว และเพื่อที่จะทำการแก้แค้นคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ เขาก็ทำได้เพียงแต่จะต้องยอมรับตัวตนใหม่ที่เป็นมนุษย์เท่านั้น
“รอฉันก่อนแล้วฉันจะรีบไปหา” โอโร่กล่าวก่อนที่การสื่อสารจะตัดขาดไปอย่างฉับพลัน
“แล้วผมจะรอ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้ากับความว่างเปล่า
—
การอยู่สถานที่เดิมนาน ๆ เป็นเรื่องไม่ปลอดภัย เมื่อรุ่งเช้ามาถึงอีกครั้งเซี่ยเฟยก็เริ่มออกเดินทาง
คราวนี้นักฆ่าที่กำลังไล่ล่าเขาอยู่มีระดับสูงกว่าเขามาก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องอยู่อย่างลำพังไปนาน 3 เดือน ช่วงเวลานี้เขาจึงทำได้เพียงแต่จะต้องพึ่งพากำลังของตัวเอง
แม้ว่าเขาจะเคยเผชิญหน้ากับศัตรูมาอย่างมากมาย แต่เขาก็ยังไม่เคยเผชิญหน้ากับราชันย์เลยสักครั้ง เขาจึงไม่แน่ใจว่าพลังของเขาในปัจจุบันมากพอที่จะเอาชนะราชันย์กฎได้หรือไม่
จุดมุ่งหมายของเขาในตอนนี้คือบริษัทฟิกส์ที่ตั้งอยู่ในเขต 3 เพื่อตามหาข่าวของลินนิจอดีตราชาแห่งเผ่าพันธุ์จักรกล ปัญหาคือดินแดนของเผ่าเทพกว้างใหญ่มากเกินไป การเดินทางครั้งนี้จึงจำเป็นจะต้องใช้เวลามากพอสมควร
หลังออกจากเมืองเซี่ยเฟยก็ได้พบกับหมอกหนาปกคลุมสภาพแวดล้อมทั่วทุกที่ไปจนหมด ซึ่งภายใต้หมอกแบบนี้ทั้งตัวเขาและศัตรูต่างก็ไม่สามารถที่จะหาเป้าหมายได้เหมือนกัน กุญแจสำคัญจึงขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถใช้หมอกได้อย่างชาญฉลาดมากกว่ากัน
เซี่ยเฟยวิ่งไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ด้วยความเร็วประมาณ 10,000 เมตรต่อวินาที ซึ่งความเร็วในระดับนี้เป็นความเร็วที่ดีที่สุดที่ทำให้เขาสามารถสังเกตสภาพแวดล้อมได้อย่างละเอียด
ชายหนุ่มเชื่อว่าอาณาเขตของหมอกไม่น่าจะใหญ่มากนัก ถ้าหากว่าเขาเร่งความเร็วจนสุดกำลังเขาก็ควรจะออกจากหมอกได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ไม่เกิน 10 นาที
“แปลกมาก ทำไมพวกแกถึงหาฉันเจอได้?” จู่ ๆ เซี่ยเฟยก็พูดขึ้นมาด้วยความรำคาญ เพราะมันมีร่าง 2 ร่างกำลังขวางทางเขาอยู่ในสายหมอก
หากเขาเดาไม่ผิดคนทั้งสองนี้น่าจะเป็นบลายกับเดฟ เพราะเลมต้องนั่งบนรถเข็นที่มีพลังงานอันโดดเด่น และพลังงานนั้นก็เป็นพลังงานที่ง่ายที่สุดต่อการสังเกต
แม้ว่าศัตรูจะโผล่ออกมาแค่สองคน แต่เซี่ยเฟยก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม เพราะนักฆ่าทั้งคู่ต่างก็ล้วนแล้วแต่มีพลังอยู่ในระดับราชันย์
“นี่คือเผ่าเทพ มันยังมีเรื่องอีกมากที่คุณยังไม่รู้ คราวนี้ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องระหว่างคุณกับเดฟ เพราะนอกเหนือจากสายตาที่ดีกับการวิเคราะห์สถานการณ์ที่เฉียบคม คุณก็ไม่มีอะไรที่สามารถดึงดูดฉันได้เลย หากคุณไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณคือคู่ต่อสู้ที่คู่ควร คุณก็ไม่ควรจะได้มาตายภายใต้คมดาบของฉัน” บลายกล่าวอย่างหยิ่งผยอง
หลังจากกล่าวจบบลายก็หายตัวไปปล่อยให้เซี่ยเฟยเผชิญหน้ากับเดฟเพียงลำพัง
แต่ในทันใดนั่นเองชายหนุ่มก็เร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน โดยเร่งการโจมตีไปที่บลายที่กำลังจะปลีกตัวจากไป
การตัดสินใจนี้เป็นการตัดสินใจที่บ้าบิ่นเกินไปหน่อย เพราะถ้าหากเขาปล่อยบลายไปเขาก็ยังพอมีโอกาสเล็กน้อยที่จะเอาชนะเดฟคนเดียวได้ แต่ถ้าหากว่าเขาบังคับบลายเข้าสู่สนามรบ มันก็หมายความว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับราชันย์กฎ 2 คนพร้อม ๆ กัน
“ฉันไม่ชอบขี้หน้าแกเลยว่ะ อีกอย่างคือใครบอกให้แกหนีไปจากฉันได้ว่ะ!” เซี่ยเฟยร้องคำรามขณะเร่งทำการโจมตี
***************
พี่เฟยบอกเข้ามาทั้งคู่เลยจะได้รีบจบไว ๆ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 289
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น