บทที่๓๑

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่๓๑

หลังเลิกงานเป็นเอกก็แวะมาที่ตลาดสดชุมชนคลองรักษ์ เพราะคิดถึงทุกคนที่นี่ คิดถึงบรรยากาศในที่แห่งนี้ ที่ที่เขาเคยอยู่...และเมื่อเขาเดินเข้าไปในตลาดสดก็ตรงไปที่แผงขายผักของนางต้อย

“ช่วงนี้ขายดีไหมครับป้าต้อย” พอเดินมาถึงก็ถาม

นางต้อยพยักหน้ายิ้มๆ

“ก็ขายดีอยู่จ้ะ”

เป็นเอกเดินอ้อมแผงไปหานิชาภัทร ถูกหญิงสาวถามว่า

“ลมอะไรหอบแกมาถึงที่นี่น่ะฮึ!”

“ลมคิดถึงมั้งจ๊ะ” เขายิ้ม

นิชาภัทรส่งค้อนให้วงใหญ่

“หือ พูดเป็นเล่นไปนะแก”

“พูดเล่นที่ไหน ฉันพูดจริงต่างหาก”

“แกมากับฉันหน่อย มานี่เลย ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” หญิงสาวกึ่งดึงกึ่งลากแขนเพื่อนหนุ่มออกไปจากแผงอย่างรีบร้อน

“แกจะพาฉันไปไหนวะ” เขาถาม

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“เถอะน่ะ ฉันบอกว่าให้มาก็มาเถอะ ไม่ต้องถามเยอะได้ไหม”

“ฉันเดินเองได้”

เท่านั้นละเธอก็รีบปล่อยมือเขาทันที

“เออ รีบๆ ตามฉันมา” และเดินนำหน้าไป

เป็นเอกทำหน้าสงสัยแต่ก็เดินตามไปทันที

 

นิชาภัทรพาเป็นเอกมาที่สะพานข้ามคลองใกล้กับตลาดสด เธอยืนพิงกับสะพานและมองดูน้ำที่ไหลในคลอง ก่อนจะถูกชายหนุ่มถามว่า

“ตกลงแกมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน มายืนอยู่ตั้งนานไม่เห็นจะพูดอะไร”

“ฉันมีเรื่องจะสารภาพกับแก” เธอบอก

เป็นเอกทำหน้าแปลกใจ

“แกจะสารภาพอะไร เอ๊ะ หรือว่า...แกไปฆ่าคนตายมาใช่ไหม”

“จะบ้าหรือไง ไม่ใช่แบบนั้น”

“ถ้างั้นแกจะสารภาพอะไรกับฉันล่ะ” เขายังคงถามอีกครั้ง

หญิงสาวบิดตัวไปมา ยิ้มเขินๆ

“คือฉัน...”

“มีอะไรก็รีบพูดมาสิ”

“เอ้อ ฉัน...”

“ถ้าแกยังไม่พูดอีกนะ ฉันจะไปแล้วนะ” เขาทำท่าจะหมุนเดินออกไป

นิชาภัทรรีบดึงแขนเพื่อนไว้

“เดี๋ยวก่อนสิ เออๆ ฉันจะพูดแล้วก็ได้”

“ถ้างั้นก็พูดมาสิวะ” ชายหนุ่มหันกลับ

อีกฝ่ายผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ จะบอกว่า

“ฉัน...ฉันชอบแกว่ะ”

“หา! แกว่ายังไงนะ” แทบจะไม่เชื่อหูตัวเองจนต้องถามซ้ำ

“แหม แกไม่เห็นต้องให้ฉันพูดซ้ำเลยนี่” เธอยิ้มเขิน

เป็นเอกถึงกับหลุดขำ

“แกพูดจริงๆ เหรอ”

“ก็จริงน่ะสิ” เธอก็ยังเขินอีกอยู่ดี

“แปลกดีนะ อยู่ๆ ผู้หญิงก็มาบอกชอบผู้ชายก่อน ทั้งที่คำนี้ผู้ชายต่างหากที่ต้องเป็นคนพูดก่อน” เขาหัวเราะ

อีกฝ่ายจึงพูดว่า

“เดี๋ยวนี้ผู้ชายกับผู้หญิงเท่าเทียมกันแล้ว จะทำอะไรก็ไม่เห็นจะต้องผู้ชายทำก่อนเลยนี่”

“โอเคๆ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงว่ายอมแล้ว ก่อนจะวางลงและจับมือเพื่อนขึ้นมาแทน “ฉันเองก็ชอบแกเหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ พอรู้ตัวอีกทีก็มีแกเข้ามาอยู่ในหัวใจฉันแล้ว และฉันยังไม่แน่ใจก็เลยยังไม่บอกแก...ฉันคิดว่าฉันชอบแกอยู่ฝ่ายเดียวซะอีก ที่ไหนได้แกก็ชอบฉันเหมือนกัน”

“ฉันเองก็เหมือนกัน...ฉันเองก็ไม่รู้ว่าฉันไปชอบแกตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทุกครั้งที่มีแกอยู่ใกล้ๆ ฉัน ฉันก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก และอยากให้แกอยู่กับฉันแบบนี้ตลอดไป” เธอบอกความรู้สึกของเธอด้วยท่าทางเขินอาย

อีกฝ่ายยิ้ม

“เราต่างก็รู้สึกชอบกันและกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่...ตอนที่ฉันอยู่ที่นี่แกก็คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอด แกกับฉันผ่านอุปสรรคด้วยกันมาเยอะ และจะผ่านทุกสถานการณ์ไปด้วยกัน ฉันต้องขอบคุณแกมากนะที่แกไม่เคยทิ้งฉัน ต่อไปนี้พวกเราไม่ต้องปิดบังความรู้สึกอีกแล้ว เพราะพวกเราต่างก็บอกความรู้สึกให้กันและกันได้รับรู้แล้ว”

“ฉันจะอยู่เคียงข้างแกไปอีกนานแสนนาน จนกว่าฉันจะตายจากแก”

“อย่าพูดเรื่องความตายสิ ตอนนี้เรากำลังพูดแต่เรื่องดีๆ”

“ทำไม...แกเป็นห่วงฉันเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าไม่ให้เป็นห่วงแฟนแล้วจะให้ฉันเป็นห่วงใครล่ะ”

“ขี้ตู่ ใครบอกว่าฉันจะเป็นแฟนกับแก ฉันแค่บอกว่าฉันชอบแกเฉยๆ” เธอว่า

อีกฝ่ายหัวเราะ

“นั่นแหละ...ถ้าบอกว่าชอบก็คือได้เป็นแฟนกันแล้ว”

“ฉันไม่เข้าใจ”

“แกดูนั่นสิ” เขาชี้ไปทางหนึ่ง หลอกให้เธอมองตามมือของตัวเอง เมื่อเธอมองตามเขาก็ฉวยโอกาสหอมแก้มทันที

นิชาภัทรตกใจ ก่อนจะตีแขนเป็นเอก

“นี่แน่ะ ไอ้คนเจ้าเล่ห์”

“แหม! นิดหน่อยเท่านั้นเอง” เขาหัวเราะอีกครั้ง

หญิงสาวหยิกเอวเพื่อนหนุ่มอย่างหมั่นไส้

“นิดหน่อยใช่ไหม หา!”

“โอ๊ย! ฉันเจ็บ”

“เจ็บแหละดี ไอ้คนเจ้าเล่ห์”

“ยายตัวแสบเอ๊ย แกต้องให้ฉันทำโทษอีกครั้ง” ชายหนุ่มโน้มตัวจะหอมแก้มหญิงสาวอีก

แต่อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบทัน

“ครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมแกง่ายๆ หรอก แน่จริงก็ตามจับฉันให้ได้สิแล้วฉันจะยอม” เธอวิ่งออกไปทันที

เป็นเอกวิ่งตามไป ปากก็ตะโกน

“ฉันจะจับแกให้ได้”

“เออ ตามมาให้ไว” เธอตะโกนกลับ

เป็นอีกคู่ที่บอกความรู้สึกกันและกัน ว่าชอบกัน โดยที่ไม่รู้ว่าความรู้สึกมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอรู้ตัวอีกทีต่างก็ชอบกันและกันแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่มาจากส่วนลึกของหัวใจ รู้กันเพียงสองคนเท่านั้น

 

“อะไรยังไงเนี่ย หา! พากันออกไปไม่นาน พอกลับมาก็จับมือถือแขนกัน ช่วยอธิบายให้ข้าฟังทีสิ” นางต้อยโยนคำถามไปให้เป็นเอกกับนิชาภัทร เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินกลับมาพร้อมกับการจับมือถือแขนกัน นางก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้

สองหนุ่มสาวมองหน้ากันยิ้มๆ ก่อนที่ฝ่ายชายจะบอกว่า

“ป้าต้อยอย่าว่าอะไรพวกเราเลยนะครับ คือผมกับนิชาตกลงปลงใจที่จะเป็นแฟนกันครับ”

“หา! เอ็งว่ายังไงนะ” นางต้อยถึงกับตกใจ

“แม่ได้ยินไม่ผิดหรอกจ้ะ” หญิงสาวบอกกับผู้เป็นแม่

อีกฝ่ายมองหน้าเป็นเอกสลับกับลูกสาว ก่อนจะถามว่า

“มันจะเร็วไปไหมวะ”

“ไม่เร็วไปหรอกครับป้าต้อย มันช้าไปด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มยิ้ม “ความรู้สึกดีๆ ที่พวกเรามีให้กันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกทีพวกเรามีใจให้กันและกันแล้วครับ หรือพูดง่ายๆ ก็คือพวกเราชอบกันครับ”

“ข้ายังไม่อนุญาตให้พวกเอ็งคบกันโว้ย” นางต้อยว่า

เป็นเอกกับนิชาภัทรมองหน้ากันอย่างเศร้าๆ

“แม่จ๊ะ...”

“เอ็งไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไอ้นิชา”

“ให้พวกเราคบกันเถอะนะครับป้าต้อย ผมขอร้องนะครับ” ชายหนุ่มพยายามอ้อนวอน

อีกฝ่ายนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า

“ถ้างั้นข้าขอเอ็งสองอย่าง”

“ขอหลายๆ อย่างเลยก็ได้ครับ”

“สองอย่างพอ...อย่างแรกเลย ข้าขอให้เอ็งสัญญากับข้าว่าจะรักและซื่อสัตย์กับไอ้นิชาตลอดไป และอย่างที่สอง ข้าขอให้เอ็งสัญญากับข้าว่าจะไม่ทำให้ไอ้นิชาเสียใจและร้องไห้ ไม่งั้นข้าจะทวงลูกสาวของข้าคืน” นางพูดด้วยแววตาขึงขัง

เป็นเอกชูสามนิ้วแบบลูกเสือสามัญ

“ผมสัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญเก่า ว่าผมจะไม่ทำให้นิชาต้องเสียใจและร้องไห้ จะรักและซื่อสัตย์กับนิชาตลอดไป จนกว่าชีวิตของผมจะหาไม่ครับ”

“เอ็งสัญญากับข้าแล้วนะ”

“ครับ ลูกผู้ชายพูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น ไม่เปลี่ยนคำแน่นอนครับ” ชายหนุ่มยิ้มดีใจ

นางต้อยจึงถามว่า

“ไหนเมื่อเอ็งบอกว่าสัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญเก่าไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนเป็นลูกผู้ชายแล้วล่ะฮึ!”

“แหม! ป้าต้อยครับ มันก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ ว่าแต่...ป้าต้อยอนุญาตให้พวกเราคบกันแล้วใช่ไหมครับ”

“อืมม์ ในเมื่อพวกเอ็งชอบพอกัน ข้าก็ไม่รู้จะไปขัดขวางพวกเอ็งทำไม ข้าก็อนุญาตนั่นแหละ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองหนุ่มสาวก็ดีใจ จับมือถือแขนกันอีกครั้ง แต่ก็ได้ยินเสียงนางต้อยกระแอม ก็รีบปล่อยมือออกจากกันทันที

“ที่ข้าอนุญาตเพราะข้ารักลูกสาวของข้า ข้ามีลูกสาวคนเดียว ถ้าลูกสาวของข้ารักใครชอบใครข้าก็จะรักจะชอบคนนั้นด้วย และอีกอย่าง ข้าเห็นเอ็งมาตั้งแต่เด็ก เอ็งเป็นคนขยัน หนักก็เอาเบาก็สู้ และเอ็งชอบช่วยเหลือคนอื่น เอ็งชอบปกป้องคนอื่น ข้ามาคิดๆ ดูแล้วคนแบบเอ็งนี่แหละที่จะเป็นคู่ชีวิตของไอ้นิชา”

“ขอบคุณมากนะครับป้าต้อย ผมขอสัญญาว่าจะไม่ทำให้ป้าต้อยต้องผิดหวังเด็ดขาดครับ” ชายหนุ่มรีบสัญญาทันที

นางต้อยจ้องหน้าเป็นเอก

“ยัง...ยังอีก...ยังจะเรียกป้าต้อยอยู่อีก เรียกแม่เหมือนไอ้นิชาได้แล้ว”

“หา!” เขาแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“อะไรกันวะ ต้องให้ข้าพูดซ้ำ น่ารำคาญ”

“ครับๆ ป้าต้อย เอ๊ย แม่ต้อย” เป็นเอกยิ้ม

นิชาภัทรมองหน้าเพื่อนหนุ่มที่ตอนนี้เปลี่ยนสถานะเป็น ‘แฟน’ แทนแล้ว เธอยิ้มให้กับเขา

เป็นเอกจึงบอกกับนางต้อยว่า

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะอยู่ช่วยนิชากับแม่เก็บของก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน”

“ขอบใจจ้ะ พ่อลูกเขย” นางยิ้ม “ข้ามีอีกหนึ่งเรื่องที่ยังไม่ได้พูดกับพวกเอ็งนะ”

“เรื่องอะไรเหรอจ๊ะแม่” นิชาภัทรถาม

“ก็ข้าสังหรณ์ใจไว้อยู่แล้วว่าสักวันพวกเอ็งจะต้องรักกันชอบกัน แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ อ้อ แล้วนังเพียรมันก็อยากได้ไอ้นิชาไปเป็นลูกสะใภ้ด้วยละ มันเล็งไว้ตั้งแต่เด็กแล้ว” นางว่า

เมื่อเป็นเอกได้ยินเช่นนั้นก็พูดถึงคนบนฟ้าว่า

“แม่ครับ...ตอนนี้ผมได้ทำตามความต้องการของแม่แล้วนะครับ ผมกับนิชาเรากำลังคบกันอยู่ และคาดว่าอีกไม่นานเราจะแต่งงานกัน ถ้าแม่มองลงมาผมขอให้แม่จงเป็นสักขีพยานความรักของพวกเรานะครับ”

“ป่านนี้นังเพียรมันคงรับรู้แล้วละ”

นิชาภัทรต่อยไหล่แฟนหนุ่มเบาๆ ก่อนจะถามว่า

“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นายบอกว่าคาดว่าอีกไม่นานเราจะแต่งงานกัน ใครจะแต่งงานกับนายไม่ทราบ หา!”

“เอ้า! คนเป็นแฟนกันก็ต้องแต่งงานกันสิจ๊ะที่รัก จริงไหมครับแม่” ประโยคท้ายหันไปถามว่าที่แม่ยาย

อีกฝ่ายพยักหน้า

“จริงจ้ะ คนเป็นแฟนกันต่อไปก็ต้องแต่งงานกัน”

“ไม่เอาแล้ว...ไม่พูดกับแม่กับเป็นเอกแล้ว ไปเก็บของดีกว่า” หญิงสาวรู้สึกเขินอาย รีบทำเป็นเฉไฉจะไปเก็บของ

เป็นเอกมองตามแล้วยิ้ม

“เวลานิชาเขินก็น่ารักดีเหมือนกันนะครับเนี่ย ผมเพิ่งจะเคยเห็นมุมนี้”

“ที่ผ่านมาเอ็งก็เห็นนี่ว่าไอ้นิชามันไม่เคยมีแฟน ก็เอ็งนี่แหละที่เป็นแฟนคนแรกของมัน มันก็เลยเขินเป็นธรรมดา ไปๆ ไปช่วยข้าเก็บของ เห็นเอ็งบอกว่าจะอยู่ช่วยข้าเก็บของไม่ใช่เหรอ” นางต้อยถาม

ชายหนุ่มพยักหน้า

“ใช่ครับ ถ้างั้นก็ไปเก็บของกันเลยครับ” จากนั้นก็กระวีกระวาดไปช่วยแฟนสาวเก็บของ “ให้ฉันช่วยเก็บอะไรบ้างจ๊ะที่รัก”

“อย่าพูดคำนี้ได้ไหม ฉันฟังแล้วมันเลี่ยน” นิชาภัทรว่า

อีกฝ่ายหัวเราะ

“ถึงกับเลี่ยนเลยเหรอจ๊ะ ถ้างั้นเปลี่ยนเป็นคำว่าแฟนจ๋าก็แล้วกันนะ”

“แล้วแต่เลยค่ะ คุณเป็นเอก” ปากตอบ แต่หน้าก้มอยู่ ไม่หันมองเพราะยังเขิน

เป็นเอกอมยิ้มชอบใจ ก่อนจะช่วยเก็บของต่อทันที

ทั้งสามคนช่วยกันเก็บของกลับบ้านเพราะมืดแล้ว และต้องไปเตรียมตัวหุงหาอาหารกินกันอีก

เวลาเป็นเอกกับนิชาภัทรพูดจาหยอกล้อกันช่างเป็นภาพที่น่ารักเสียจริงๆ ใครได้เห็นก็ต้องอมยิ้มไปตามๆ กัน และใครจะคิดเล่าว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ไปไหนก็ไปด้วยกัน เวลามีเรื่องอะไรก็จะอยู่เคียงข้างกันตลอด ไม่ทิ้งกันไปไหน อยู่ๆ วันนี้กลับกลายมาเป็นแฟนกันเสียนี่ เป็นใครก็แปลกใจทั้งนั้น แต่มีอยู่หนึ่งคนที่ไม่แปลกใจ นั่นก็คือนางต้อย เพราะนางสังหรณ์ใจไว้ก่อนแล้วว่าเป็นเอกกับลูกสาวของนางจะต้องเป็นแฟนกันสักวัน แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ทั้งสองคนเป็นแฟนกันอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะเป็นเอกก็เป็นคนดี คงจะปกป้องลูกสาวของนางให้พ้นจากอันตรายได้แน่นอน นางเห็นเป็นเอกมาตั้งแต่เด็ก นางรู้จักนิสัยใจคอของเขาดี แล้วนางก็เชื่อใจและไว้ใจเขาให้เขาดูแลนิชาภัทรแทนนาง เท่านี้นางก็มีความสุขและหายห่วงแล้ว

 

 

เป็นเอกกลับมาถึงบ้านเกือบจะสี่ทุ่ม เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็ต้องผ่านห้องโถง เขากำลังจะเดินผ่านไปแต่ได้ยินเสียงทักพอดี

“อ้าว! ตาเอก แกไปไหนมาล่ะ ถึงได้กลับบ้านค่ำมืดดึกดื่น”

ชายหนุ่มมองเข้าไปในห้องโถงก็เห็นพ่อกับแม่ ย่าและพี่ชายนั่งอยู่ คนที่ถามเขาก็คือย่า เขารีบเดินเข้าไปในห้องโถง ยิ้มให้ทุกคน

“อ้าว! ผมคิดว่าทุกคนเข้านอนแล้วซะอีก”

“พวกเรายังไม่ง่วงก็เลยยังไม่เข้านอนน่ะ” ปราภพเป็นตอบคำถาม

คุณนภาลัยจึงถามหลานชายฝาแฝดคนเล็กอีกครั้ง

“แกยังไม่ได้ตอบคำถามย่าเลยนะ แกไปไหนมา ถึงได้กลับบ้านค่ำมืดดึกดื่นน่ะฮึ!”

เป็นเอกนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับปาณัท ก่อนจะตอบคำถามผู้เป็นย่า

“อ้อ พอดีหลังเลิกงานผมก็เลยแวะไปที่ตลาดสดชุมชนคลองรักษ์น่ะครับคุณย่า ผมไปที่นั่นเพราะ...”

“เพราะคิดถึงใครบางคน” ปาณัทชิงพูดก่อน

ผู้เป็นน้องชายก็เคลิ้มตาม

“ใช่ครับ ผมไปที่นั่นเพราะคิดถึงใครบางคน เอ๊ย...” หันไปทางพี่ชาย “นายเล่นเอาซะฉันเคลิ้มตามเลย”

อีกฝ่ายหัวเราะ ก่อนจะพูดว่า

“นายสารภาพมาเถอะ ว่านายไปที่นั่นเพราะอะไร เห็นหมู่นี้นายชอบแวะไปบ่อยๆ”

“ไม่ต้องปิดบังพวกเราหรอกจ้ะ” พรรณนิภายิ้ม

เป็นเอกจึงตัดสินใจบอก

“ที่ผมไปที่นั่นก็เพราะว่าผมไปหาแฟนครับ”

“นั่นไง ว่าแล้วเชียว” ผู้เป็นพ่อถึงกับหัวเราะ

“ไหนบอกกับย่าว่ายังไม่อยากมีแฟนไง ขอโฟกัสที่เรื่องงานก่อน แล้วนี่อะไรล่ะ” ผู้เป็นย่าถาม

ชายหนุ่มก็เลยตอบว่า

“ก็เพิ่งมีไงครับคุณย่า ผมกับนิชาเพิ่งจะรู้ใจตัวเอง พวกเราเพิ่งจะสารภาพความรู้สึกที่มีต่อกัน เป็นความรู้สึกชอบ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกทีพวกเราก็มีใจให้กันแล้ว จากเพื่อนก็เลยกลายเป็นแฟนแทนครับ”

“เขาถึงเรียกกันว่ารักแรกพบสินะ” ปาณัทยิ้ม

ผู้เป็นน้องชายดีดนิ้ว

“ประมาณนั้นแหละ”

“ย่าว่าแล้ว...ว่าแกกับหนูนิชาภัทรจะต้องเป็นแฟนกันเข้าสักวัน แล้วที่ย่าคิดไว้มันก็ไม่มีผิดเลย เห็นที่ผ่านมาแกปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ได้เป็นแฟนกับหนูนิชาภัทร บอกว่าเป็นแค่เพื่อนกัน สุดท้ายวันนี้ก็กลายเป็นแฟนกันจริงๆ” คุณนภาลัยว่า

“ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละครับคุณย่า ว่าผมกับนิชาเพิ่งรู้หัวใจตัวเอง ก็เลยสารภาพความรู้สึกที่มีต่อกันให้ได้รู้ครับ”

ปาณัทตบไหล่น้องชายเบาๆ

“แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องแสดงความยินดีกับนายด้วยนะ...ไอ้น้องชาย”

“ขอบคุณมากพี่ชาย” เป็นเอกพยักหน้า “ว่าแต่ เมื่อเช้านายไปเซอร์ไพรส์ขอน้องรินแต่งงานสำเร็จไหม”

“อืมม์ สำเร็จสิ...ระดับฉันแล้วถ้าทำไม่สำเร็จละแย่เลย เซอร์ไพรส์กว่าฉันก็คุณลุงชัชกับคุณป้าวันนี่แหละ พวกท่านไปที่โรงพยาบาลโดยที่ฉันไม่รู้ล่วงหน้า...ตอนแรกคุณลุงชัชเหมือนจะโกรธที่ฉันทำอะไรโดยไม่ปรึกษาท่าน แต่ฉันสัญญากับท่านว่าจะไม่ทิ้งให้น้องรินต้องเสียใจ ไม่ทำให้น้องรินต้องร้องไห้ และจะอยู่เคียงข้างน้องรินไปจนแก่จนเฒ่า ซึ่งก็ดูเหมือนท่านจะพอใจกับคำสัญญาของฉัน แถมยังอนุญาตให้ฉันเรียกท่านกับคุณป้าวันว่าคุณพ่อกับคุณแม่อีกด้วย” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มพลาง

เป็นเอกก็ตบไหล่พี่ชายเบาๆ เช่นกัน

“ฉันก็ขอแสดงความยินกับนายเหมือนกันนะ กำลังจะเป็นว่าที่เจ้าบ่าวแล้ว”

“ขอบใจมาก...น้องชาย”

พรรณนิภาจึงพูดว่า

“คุณชัชรินทร์เขาคงเห็นความดีในลูกชายของแม่ เขาถึงยอมอนุญาตให้ลูกแต่งงานกับหนูริน และยอมให้ลูกเรียกเขากับคุณรวัลยาว่าคุณพ่อและคุณแม่น่ะ”

“ว่าแต่...แล้วแกจะแต่งเมื่อไหร่ล่ะ” ผู้เป็นย่าถาม

“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกครับคุณย่า” เขายิ้ม “ผมว่าจะลาพักร้อนสักหนึ่งสัปดาห์แล้วพาน้องรินไปเที่ยวก่อนครับ แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยหาฤกษ์แต่งงาน”

“แล้วแกจะพาหนูรินไปเที่ยวที่ไหนล่ะฮึ!” ผู้เป็นพ่อถาม

ปาณัทจึงบอกว่า

“อ้อ ผมว่าจะพาน้องรินไปเที่ยวทะเลน่ะครับคุณพ่อ” และถามน้องชาย “นายสนใจจะพาคุณนิชาไปเที่ยวด้วยกันไหม”

เป็นเอกพยักหน้า

“ก็ดีเหมือนกัน นิชาคงอยากไปเที่ยว เดี๋ยวฉันจะลองไปชวนเธอดูนะ”

“อืมม์!”

แล้วพรรณนิภาก็ถามลูกชายฝาแฝดคนเล็ก

“แล้วนี่ลูกทานอะไรมาหรือยังจ๊ะ”

“เรียบร้อยแล้วครับคุณแม่” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ

คุณนภาลัยเอามือปิดปากแล้วหาว

“ย่าง่วงนอนแล้วละ ถ้างั้นย่าขอตัวไปนอนก่อนนะ” พูดจบท่านก็ลุกขึ้นเดินออกไป

คล้อยหลังผู้เป็นแม่ปราภพจึงบอกกับภรรยาและลูกชายฝาแฝดว่า

“นี่ก็ดึกแล้ว พวกเราไปนอนกันเถอะ”

“ค่ะคุณ” พรรณนิภาพยักหน้า

จากนั้นทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องโถงพร้อมกันทันที

 

 

ประภาจ้างนักสืบให้ตามหาทนายประจำตระกูลจนเจอ เมื่อรู้ที่อยู่เธอก็รีบพาลูกชายไปทันที เพราะอีกฝ่ายยังอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ห่างจากที่เดิมไม่ไกลนัก

เมื่อมาถึงเจ้าหล่อนก็กดออดตรงประตูรั้ว รออยู่นานมากแต่ก็ไม่เห็นมีใครมาเปิดประตูให้

“โธ่เอ๊ย! ทำไมยังไม่มีคนมาเปิดประตูสักทีเนี่ย”

“แน่ใจนะครับคุณแม่ ว่าใช่บ้านหลังนี้จริงๆ” ภูริชถาม

ผู้เป็นแม่พยักหน้า

“บ้านหลังนี้แหละ ไม่ผิดแน่นอน นักสืบเขาบอกแม่มา”

สักพักก็มีคนรับใช้เดินมาเปิดประตูเล็ก พลางถามว่า

“มาหาใครคะ”

“ฉันมาหาคุณอากฤษนัยน่ะ ท่านอยู่ไหม” ประภาถามกลับ

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“คุณผู้ชายไม่อยู่ค่ะ ท่านไปทำธุระที่ต่างจังหวัด”

“ฉันไม่เชื่อ” เธอผลักคนรับใช้ออกจากประตู ก่อนจะเดินเข้าไป โดยมีลูกชายเดินตาม

จี๊ด ซึ่งเป็นคนรับใช้ประจำบ้านคุณกฤษนัยรีบเข้าไปขวางทางสองคนแม่ลูก

“เข้าไม่ได้นะคะ คุณผู้ชายไม่อยู่จริงๆ ค่ะ”

“หลีกไป ฉันไม่เชื่อแกหรอก จนกว่าฉันจะเห็นกับตาของฉัน” เจ้าหล่อนผลักอีกฝ่ายจนล้ม ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในบ้านพร้อมกับลูกชายทันที

เมื่อเดินเข้ามาถึงข้างในบ้านเธอก็ตะโกนเรียกทนายประจำตระกูล

“คุณอากฤษนัยคะ...คุณอาอยู่ไหมคะ...”

สักพักก็ได้ยินเสียงคนพูด

“ใครกันมาเรียกฉัน หา! จี๊ด” เป็นเสียงของคุณกฤษนัยนั่นเอง ท่านถามจากห้องทำงาน ซึ่งก็อยู่ตรงหน้าประภา

“คนรับใช้มันโกหกพวกเราครับคุณแม่” ภูริชว่า

อีกฝ่ายไม่ตอบลูกชาย แต่จะเปิดประตูห้องทำงานของคุณกฤษนัย จี๊ดวิ่งตามมาทันรีบขวางไว้

“หยุดนะคะ เข้าไม่ได้ค่ะ คุณผู้ชายไม่ชอบใครให้เข้าไปรบกวนค่ะ”

“แกบังอาจมาโกหกฉันว่าคุณอากฤษนัยไม่อยู่ โกหกว่าท่านไปทำธุระที่ต่างจังหวัด” เธอไม่พอใจมาก

จี๊ดจึงบอกว่า

“ท่านสั่งไว้ว่าถ้ามีคนแปลกหน้ามาถามหาท่าน ให้บอกว่าท่านไปทำธุระที่ต่างจังหวัดค่ะ”

แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก คุณกฤษนัยเดินออกมาเจอกับประภาก็ทัก

“อ้าว! ยายภา มาหาอาเหรอ”

“ดิฉันห้ามไม่ให้เขาเข้ามา แต่เขาก็ดื้อดึงเข้ามาจนได้ค่ะ” จี๊ดบอกทันที

ประภาถลึงตาใส่คนรับใช้อย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันไปพูดกับคุณกฤษนัย

“ใช่ค่ะ ภามาหาคุณอา มาด้วยเรื่อง...”

“มาด้วยเรื่องพินัยกรรมสินะ” ท่านรู้ทัน

อีกฝ่ายยิ้มพอใจ

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ จะได้ไม่ต้องอ้อมค้อม ใช่ค่ะ ที่ภามาหาคุณอาเพราะเรื่องพินัยกรรม ภาอยากรู้ว่าในพินัยกรรมคุณแม่เขียนแบ่งทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานคนละเท่าไหร่กันคะ”

คุณกฤษนัยหันไปทางคนรับใช้

“เดี๋ยวแกไปเอาน้ำมาให้คุณสองคนนี้ดื่มหน่อยนะ”

“ค่ะ คุณผู้ชาย” จี๊ดรับคำเสร็จก็เดินออกไป

คล้อยหลังคนรับใช้คุณกฤษนัยก็บอกกับประภาว่า

“เชิญไปนั่งคุยที่ห้องรับแขกดีกว่า เห็นทีต้องคุยกันยาว” พูดจบท่านก็เดินนำหน้าไป

ทั้งสองคนแม่ลูกเดินตามไปที่ห้องรับแขกทันที เมื่อนั่งลงคุณกฤษนัยก็ถามประภาว่า

“ทำไมเธอถึงอยากรู้เรื่องพินัยกรรมล่ะ หรือกลัวว่าคุณนภาลัยจะแบ่งทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานไม่เท่ากันงั้นสิ”

“อย่ามาโยกโย้หน่อยเลยค่ะคุณอา ภาบอกว่าขอดูพินัยกรรมที่คุณแม่ทำไว้ คุณอาก็แค่ไปเอามาให้ภาดูแค่นั้นก็จบ” เธอพูดอย่างรำคาญ

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“คงให้ดูไม่ได้หรอก จนกว่าคุณนภาลัยจะถึงแก่กรรม มันเป็นความลับ”

“โอ๊ย! ทำไมคุณอาพูดยากจังคะ ได้เลยค่ะ ถ้าคุณอาไม่ไปเอาพินัยกรรมมาให้ภาดู งั้นเดี๋ยวภาไปหาเอง...ไป ตาภู” พูดจบประภาก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องพร้อมกับลูกชาย

คุณกฤษนัยรีบลุกตามไปทันที ปากก็ตะโกน

“ห้ามไปรื้อของในห้องทำงานอานะ”

ประภาเข้าไปในห้องทำงานของทนายประจำตระกูล มองหาที่เก็บพินัยกรรม เมื่อเห็นเจ้าของห้องเดินตามมาเธอก็ถาม

“คุณอาเก็บพินัยกรรมไว้ตรงไหนคะ”

“อาไม่บอก” ท่านไม่ยอมบอกง่ายๆ

เจ้าหล่อนจึงต่อรองเป็นเงิน

“คุณอาต้องการเงินเท่าไหร่คะ”

“คิดจะเอาเงินให้อาเพื่อแลกกับพินัยกรรมงั้นเหรอ อาบอกเลยว่าไม่สำเร็จหรอก”

“คุณอาจะบอกดีๆ หรือคุณอาอยากจะลงนรกคะ” เธอหยิบปืนออกมาจากกระเป๋าสะพาย หันกระบอกปืนไปหาอีกฝ่าย

คุณกฤษนัยแค่นหัวเราะ

“เอาเลยสิ ยิงอาเลย...ต่อให้เธอฆ่าอาให้ตายเธอก็ไม่มีวันรู้หรอกว่าพินัยกรรมอยู่ตรงไหน”

“ฆ่าไอ้แก่นี่เลยครับคุณแม่ ผมละหมั่นไส้” ภูริชยุ

“ภาให้เวลาคุณอาคิดสามนาที ว่าคุณอาจะยอมบอกที่เก็บพินัยกรรมดีๆ หรือคุณอาจะยอมตาย”

“อาขอตอบแบบไม่ต้องคิดตอนนี้เลย อาจะขอเลือกอย่างหลัง” ท่านบอกอย่างท้าทาย

ประภายิ้มร้ายใส่

“ได้เลย ถ้าคุณอาเลือกแล้ว งั้นภาก็จะจัดให้” สิ้นสุดคำพูดพร้อมกับเสียงปืนดังขึ้น และร่างของคุณกฤษนัยล้มลงจมกองเลือดสิ้นใจ

จี๊ดวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นคุณผู้ชายถูกยิงจนเสียชีวิตก็ตกใจ เธอกรี๊ด

“อ๊ายยย คุณผู้ชายขา...คุณผู้ชาย...”

ประภาตกใจที่เห็นคนรับใช้ของคุณกฤษนัย และในเมื่ออีกฝ่ายเห็นเหตุการณ์แล้วเธอก็จำเป็นต้องฆ่าปิดปาก เธอตัดสินใจยิงจี๊ดทันที จนร่างล้มลงแน่นิ่งสิ้นใจ เมื่อยิงเสร็จเธอก็มือไม้สั่นเทาด้วยความตกใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่เธอฆ่าคนตาย ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งถูกลูกชายถาม

“เอายังไงกันต่อครับคุณแม่”

“จะเอายังไงล่ะ ก็รีบๆ หาพินัยกรรมให้เจอ แล้วรีบออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า”

“แล้วศพของสองคนนี้ล่ะครับ”

“ปล่อยไว้แบบนี้แหละ ในห้องนี้ไม่มีกล้องวงจรปิด คงไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกเราเป็นคนฆ่าสองคนนี้...อย่ามัวแต่พูดอยู่เลย รีบไปหาพินัยกรรมเร็วเข้า” เธอรีบเก็บปืนเข้ากระเป๋า ก่อนจะไปค้นหาพินัยกรรมจนทั่วห้องแต่ก็ไม่เจอ แต่ยังเหลืออีกที่ นั่นก็คือเก๊ะตรงโต๊ะทำงาน เธอลองไปเปิดดูแต่ก็เปิดไม่ออกเพราะถูกล็อกเอาไว้ “โธ่เอ๊ย! เก๊ะก็ดันถูกล็อกอีก ทำยังไงดีล่ะเนี่ย”

“หากุญแจสิครับคุณแม่” ภูริชบอก

ผู้เป็นแม่พยักหน้า ก่อนจะค้นหากุญแจเปิดเก๊ะบนโต๊ะทำงาน แล้วก็เจอมันอยู่ใต้สมุดเล่มหนึ่ง เธอยิ้มดีใจ

“แม่เจอแล้วลูก”

“รีบเปิดเลยครับคุณแม่”

อีกฝ่ายจึงใช้กุญแจไขเก๊ะ เมื่อเปิดได้แล้วก็เห็นซองสีน้ำตาลอยู่ในนั้น เธอจึงเอาออกมา ก่อนจะปิดไว้คืน จากนั้นก็เอาเอกสารในซองออกมาดูก็เห็นเป็นพินัยกรรมจริงๆ เธอจึงยิ้มให้ลูกชาย

“แม่เจอพินัยกรรมแล้วลูก”

“ถ้างั้นเรารีบไปกันดีกว่าครับคุณแม่ เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้าแล้วพวกเราจะซวย” ชายหนุ่มว่า

ผู้เป็นแม่พยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับลูกชายทันที ปล่อยให้คุณกฤษนัยกับคนรับใช้นอนสิ้นใจจมกองเลือดอยู่อย่างอนาถ ช่างฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็นจริงๆ เพียงเพราะพินัยกรรมฉบับเดียวเท่านั้นที่ทำให้ประภากลายเป็นฆาตกรเช่นนี้ เธอช่างน่ากลัวขึ้นทุกวัน น่ากลัวจน...จนไม่ควรเข้าใกล้เลยทีเดียว และถ้ามีใครทำให้เธอโกรธหรือไม่พอใจเธอก็ฆ่าได้เช่นกัน เธอพร้อมที่จะกำจัดศัตรูทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ปาณัทกับเป็นเอก!

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.