บทที่๓๒

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่๓๒

“คุณยายของแกน่ะลำเอียง ดูสิ แบ่งทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานก็ไม่เท่ากัน ไอ้พี่น้องฝาแฝดกับพ่อแม่ของมันได้เยอะกว่า แบบนี้มันก็ไม่โอเคนะลูก” ประภาพูดกับลูกชายขณะที่นั่งอยู่บนรถ โดยที่รถยังแล่นไปตามถนนเรื่อยๆ

หลังจากได้เปิดดูพินัยกรรมที่ผู้เป็นแม่ทำ เจ้าหล่อนก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เพราะในพินัยกรรมระบุไว้ว่าปราภพกับพรรณนิภา และปาณัทกับเป็นเอกคือคนที่ได้ทรัพย์สมบัติมากกว่าคนอื่น ซึ่งเธอคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ แต่เธอจะไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน

“ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ไม่โอเคนะครับคุณแม่ เท่ากับคุณยายรักลูกรักหลานไม่เท่ากัน คุณยายลำเอียง...แทนที่คุณยายจะแบ่งทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานคนละเท่าๆ กัน แต่นี่อะไร คุณยายกลับแบ่งให้คนโน้นมากกว่า คนนี้น้อยกว่า โอ๊ย!” ภูริชพูดไปขับรถไปอย่างอารมณ์เสีย

ประภาจัดการฉีกพินัยกรรมทิ้งอย่างไม่ไยดี

“มันจะไม่มีฉบับจริงอีกต่อไป...ในเมื่อคุณยายท่านทำกับพวกเราแบบนี้ก่อน เพราะฉะนั้นพวกเราก็ต้องเอาคืนท่าน”

“คุณแม่หมายความว่ายังไงครับ”

“ก็หมายความว่า...แม่จะทำพินัยกรรมฉบับปลอมขึ้นมาแทนที่ฉบับจริงไงล่ะ”

“เป็นความคิดที่สุดยอดมากเลยครับคุณแม่ เอ้อ แล้วยังไงต่อครับ”

“แล้วยังไงต่อน่ะเหรอ” เธอยิ้ม “ในพินัยกรรมฉบับปลอมจะมีแค่ชื่อของพวกเราสามคนพ่อแม่ลูกเท่านั้นที่ได้รับทรัพย์สมบัติของตระกูลทั้งหมด รวมทั้งบ้านและบริษัท โดยที่ไอ้พี่น้องฝาแฝดกับพ่อแม่ของมันจะไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง”

“คุณแม่ของผมฉลาดที่สุดเลยครับ”

“ถ้าฉันไม่ฉลาดแล้วฉันจะเป็นแม่ของแกได้เหรอ”

“เอ้อ จริงด้วยครับคุณแม่” ชายหนุ่มยิ้มแหยๆ “ว่าแต่...หลังจากทำพินัยกรรมฉบับปลอมเสร็จแล้วจะเป็นยังไงต่อไปครับคุณแม่”

“ต่อจากนั้นก็ต้องรอให้คุณยายของแกเสียชีวิตก่อนแล้วค่อยจ้างทนายสักคนไปเปิดพินัยกรรมให้”

“โห! อีกนานแน่ะครับ กว่าคุณยายจะเสียชีวิต”

“ไม่นานหรอก”

“คุณแม่รู้ได้ยังไงครับ”

“แกคอยดูก็แล้วกันน่ะ”

ประภาคิดแผนชั่ว ด้วยการจะทำพินัยกรรมฉบับปลอมขึ้นมาแทนที่ฉบับจริง ซึ่งเธอได้ฉีกทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว...เพราะเธอคิดว่าถ้าเกมส์ไหนไม่ยุติธรรม เธอก็ไม่จำเป็นต้องทำตามกติกาอีกต่อไป เธอจะขอทำตามคำสั่งของหัวใจเธอที่เรียกร้องมาเท่านั้น

 

ทันทีที่ประภาเข้ามาถึงข้างในบ้านก็ถูกคุณนภาลัยปากระดาษหลายแผ่นเข้าไปที่ใบหน้าแบบไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับใบหน้าของท่านที่บ่งบอกว่าโกรธและโมโหมาก

“นี่มันอะไร หา!”

ประภากับภูริชรีบก้มลงหยิบกระดาษคนละหนึ่งแผ่นมาดูทันที และเมื่อเห็นว่าเป็นภาพอะไรทั้งสองคนก็ถึงกับหน้าซีด เพราะมันเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในบ้านของคุณกฤษนัยที่ถูกปรินท์ออกมาเป็นเอกสาร มีทุกภาพตอนที่สองคนแม่ลูกเดินเข้าไป รวมถึงในห้องทำงานคุณกฤษนัย ที่ประภาบอกไม่มีกล้องวงจรปิดแต่กลับมี

“ไหนคุณแม่บอกว่าที่นั่นไม่มีกล้องวงจรปิดไงครับ” ภูริชยิงคำถาม

ผู้เป็นแม่ทำหน้าเครียด

“โอ๊ย! ใครจะไปรู้ล่ะว่าที่นั่นมันมีกล้องวงจรปิด ฉันมองหาทั่วแต่ก็ไม่เห็นมี” ก่อนจะหันไปพูดกับแม่ “คุณแม่คะ เรื่องนี้ภาอธิบายได้นะคะ คือ...”

“ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น ฉันไม่อยากฟังคำแก้ตัวจากปากของฆาตกรเลือดเย็นอย่างแก นี่แกอยากรู้เรื่องพินัยกรรมจนถึงขั้นต้องฆ่าคนตายเลยเหรอ แกทำได้ยังไงน่ะ หา...” ท่านมองหน้าลูกสาวอย่างโกรธมากๆ “หรือกลัวว่าฉันจะแบ่งทรัพย์สมบัติให้แกกับลูกน้อยที่สุดงั้นสิ คนอย่างแกมันโลภมากจริงๆ”

“ที่ภาเป็นแบบนี้เพราะใครล่ะคะ...ก็เพราะคุณแม่นั่นแหละค่ะที่ไม่เคยสนใจภาตั้งแต่เล็กจนโต คุณแม่เอาแต่เวลาไปสนใจพี่ปราภพ อะไรๆ ก็พี่ปราภพ จนลืมไปเลยว่าภาก็เป็นลูกของคุณแม่คนหนึ่งเหมือนกัน” พูดพลางน้ำตาไหลพลาง “แล้วเงินก็แทบจะไม่ให้ใช้ หรือให้อย่างมากก็แค่หมื่นเดียว เงินแค่นั้นมันกระจอกค่ะ มันซื้อของได้น้อยมาก”

ปราภพเดินเข้ามาได้ยินพอดีจึงต่อว่าน้องสาวอย่างไม่พอใจ

“มันชักจะมากไปแล้วนะยายภา มาว่าคุณแม่แบบนี้ได้ยังไง แกขอโทษคุณแม่เดี๋ยวนี้นะ”

“ภาไม่ขอโทษค่ะ” เธอปาดน้ำตาทิ้งและพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

ประมุขของบ้านจึงบอกว่า

“เดี๋ยวฉันจะเล่าให้แกฟังว่าเพราะอะไรฉันถึงไม่ค่อยได้ดูแลแกตั้งแต่เด็ก...ก็เพราะตอนนั้นฉันต้องทำงานไง ที่สมาคมมีงานให้ทำทุกวัน และฉันก็ต้องไปทำทุกวัน แต่ฉันก็ได้จ้างพี่เลี้ยงให้มาดูแลแกแทนฉัน...ส่วนพ่อของแกก็ไปทำงานที่บริษัท ไม่มีใครว่างเลยสักคน และตาปราภพเองตอนนั้นก็ติดแม่ด้วย ฉันถึงต้องพาไปที่สมาคมด้วยไง...”

“พี่ปราภพได้ไปกับคุณแม่ ส่วนภาได้อยู่กับพี่เลี้ยง นั่นไง! ชัดเจน คุณแม่ลำเอียงที่สุดค่ะ” เธอว่า

เมื่อลูกสาวพูดจบคุณนภาลัยก็ตวัดมือไปที่ใบหน้าของเจ้าหล่อน

“แกหยุดว่าฉันได้แล้ว เพราะฉันเป็นแม่ของแก แล้วแกก็กรุณาฟังฉันให้จบด้วย”

“นี่คุณแม่ตบหน้าภา” เธออึ้งไป

“ฉันตบเพื่อให้สติกับแกต่างหาก ไม่ให้มันเตลิดไปมากกว่านี้...เอาละ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้แกฟังต่อ ถึงตอนนั้นฉันจะปล่อยให้แกอยู่กับพี่เลี้ยง แต่ฉันก็ทิ้งเงินไว้ให้พี่เลี้ยงพาแกไปซื้อของเล่นและของทาน และพาแกไปเที่ยว”

“มันไม่เหมือนกันค่ะคุณแม่” ประภาน้ำตาไหลพรั่งพรูอีกครั้ง “คุณแม่ดูแลกับพี่เลี้ยงดูแลมันต่างกันค่ะ ถึงพี่เลี้ยงเขาจะดูแลแต่เขาก็ไม่ได้ให้ความอบอุ่นกับภาเหมือนคุณแม่นะคะ เขาก็ทำได้แค่ดูแลภาตามคำสั่งของคุณแม่ก็แค่นั้น”

“ที่แท้แกก็อยากได้ความอบอุ่นนี่เอง”

“ไม่ใช่แค่ภาค่ะ แต่ลูกๆ ทุกคนเขาก็อยากได้ความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่กันทั้งนั้น...แต่นี่อะไร พี่ปราภพได้ความรักความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ไปคนเดียว แบบนี้จะไม่ให้ภาพูดว่าคุณแม่ลำเอียงได้ยังไงกันล่ะคะ”

คุณนภาลัยรู้สึกผิดขึ้นมา ท่านจับมือทั้งสองข้างของลูกสาวขึ้นมาพลางน้ำตาก็ไหล

“แม่ขอโทษนะยายภา ที่แม่ไม่ค่อยได้ดูแลเอาใจใส่แกเลย ถ้าแม่ดูแลเอาใจใส่แกให้มากกว่านี้แกก็คงจะไม่ใช่คนแบบนี้ และแกคงจะเป็นคนดีเหมือนอย่างคนอื่นเขา คนผิดคือแม่เอง แม่ขอรับผิดทั้งหมด แต่แม่ขอให้แกรู้ไว้อย่างหนึ่ง ว่าถึงแม้แม่จะไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่และใกล้ชิดแกเหมือนอย่างที่แม่คนหนึ่งเขาทำกัน แต่แม่ก็รักแก รักเท่ากับตาปราภพเลย...ตลอดเวลาที่ผ่านมาแกก็คิดว่าแม่ไม่รัก หรือคิดว่าแม่รักแค่พี่ชายคนเดียว แต่ความจริงมันไม่ใช่เลย...ก็อย่างที่แม่เคยบอกกับแกนั่นแหละ แม่อยากถอยออกมาเพื่อให้แกได้เรียนรู้อะไรๆ ด้วยตัวเองตั้งแต่เด็ก ซึ่งตอนที่ตาปราภพยังเด็กแม่ก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าไม่เชื่อถามพี่ชายแกดูสิ”

“ที่คุณแม่พูดเป็นจริงทุกอย่าง คุณแม่ไม่ได้โกหกแก แกได้โปรดเชื่อคุณแม่เถอะนะยายภา” ปราภพบอกกับน้องสาว

ประภารู้สึกสับสนกับชีวิต ถึงขั้นร้องไห้โฮออกมาอย่างหนัก จนผู้เป็นแม่ต้องกอดปลอบใจ

“ไม่เป็นไรนะลูก ร้องออกมาเลย”

ผู้เป็นลูกสาวผลักแม่ให้ออกห่าง ก่อนจะพูดว่า

“ไม่ภาไม่เชื่อหรอกค่ะ ว่าคุณแม่จะรักภาจริงๆ เพราะในพินัยกรรมระบุว่าพี่ปราภพกับลูกชายฝาแฝดของเขาได้ทรัพย์สมบัติมากกว่าภากับตาภู ทุกอย่างชี้ชัดแล้วค่ะคุณแม่”

“โอ๊ย พินัยกรรมฉบับนั้นมันไม่ใช่ของจริงแล้ว ล่าสุดแม่แก้ไขพินัยกรรมใหม่แล้ว ลูกหลานทุกคนจะต้องได้ทรัพย์สมบัติเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้มากกว่าหรือน้อยกว่าอย่างแน่นอน แม่พูดจริงๆ” ที่ท่านพูดคือเรื่องจริง เมื่อสามวันที่แล้วท่านได้บอกทนายประจำตระกูลว่าให้แก้ไขพินัยกรรมใหม่ โดยจะแบ่งทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานคนละเท่าๆ กันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังนั่นเอง!

“คุณแม่พูดจริงเหรอคะ” เธอคล้ายจะเชื่อ

ประมุขของบ้านพยักหน้า

“จริงจ้ะ แม่ไม่โกหกแกหรอก”

“ถ้างั้นคุณแม่ก็ไปเอามาให้ภาดูก่อนสิคะ ภาถึงเชื่อร้อยเปอร์เซ็น”

“แม่ให้ดูไม่ได้จริงๆ”

“งั้นก็หมายความว่าคุณแม่โกหกภา”

“แม่ไม่ได้โกหก”

“ถ้างั้น...”

เจ้าหล่อนยังพูดไม่จบก็มีตำรวจสี่นายเดินเข้ามา แล้วตำรวจนายหนึ่งก็พูดว่า

“ขออนุญาตเชิญคุณประภากับคุณภูริชไปที่โรงพักด้วยครับ”

ทั้งสองคนแม่ลูกถึงกับหน้าซีดเผือด ก่อนที่ประภาจะถามผู้เป็นแม่ว่า

“นี่คุณแม่แจ้งตำรวจจับภากับลูกงั้นเหรอคะ”

“ยอมมอบตัวกับตำรวจเถอะนะยายภา โทษหนักจะได้เป็นเบา เพราะคดีฆ่าคนตายมันร้ายแรง”

“สุดท้ายคุณแม่ก็ไม่ได้รักภาอย่างที่ปากคุณแม่ว่า เพราะถ้าคุณแม่รักภาจริงๆ คุณแม่จะไม่แจ้งตำรวจจับภาเลย” เธอมองหน้าผู้เป็นแม่อย่างเสียใจ

คุณนภาลัยจับมือลูกสาวขึ้นมา พยายามพูดเกลี้ยกล่อม

“เพราะแม่รักแก แม่ถึงอยากให้แกกลับตัวเป็นคนดี แม่อยากให้แกมอบตัวกับตำรวจ และเดี๋ยวแม่จะหาทางประกันตัวแกออกมาสู้คดี จากนั้นแม่จะหาทนายเก่งๆ ไปช่วยแก”

“ภาจะไม่เชื่อคุณแม่อีกต่อไปค่ะ ไป! ตาภู” พูดจบเธอก็วิ่งชนตำรวจจนล้ม วิ่งออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว โดยมีลูกชายวิ่งตามและพาแม่ขึ้นรถขับหลบหนีไปทันที

ตำรวจพากันวิ่งตามออกมาก็ไม่ทันแล้ว

“ขับตามคนร้ายไป” ตำรวจนายหนึ่งบอก

แล้วทุกคนขึ้นไป จากนั้นรถก็แล่นออกไป

คุณนภาลัยมองตามแล้วทำท่าจะเซ

“โอ๊ย! ตาปราภพ แม่จะเป็นลม”

“เดี๋ยวคุณแม่เข้าไปนั่งพักในห้องโถงดีกว่านะครับ” ปราภพประคองผู้เป็นแม่เข้าไปนั่งบนโซฟาในห้องโถง ก่อนจะเรียกหาคนรับใช้

“แม่ใบบัว...แม่ใบบัวอยู่ไหน”

สักพักหัวหน้าคนรับใช้ก็มา

“มีอะไรให้อิฉันรับใช้เหรอคะคุณปราภพ”

“ช่วยดูแลคุณแม่แทนฉันที คุณแม่จะเป็นลม เดี๋ยวฉันจะออกไปช่วยตำรวจตามหาตัวยายภา”

“บอกตำรวจว่าให้จับเป็นเท่านั้นนะ แม่ไม่อยากเห็นยายภาต้องตาย” คุณนภาลัยพูดพลางร้องไห้

ผู้เป็นลูกชายพยักหน้า

“ได้ครับคุณแม่ เดี๋ยวผมจะบอกตำรวจให้ ถ้างั้นผมก็ขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินออกไป

ใบบัวขยับเข้ามาใกล้ประมุขของบ้าน เอายาดมจ่อที่จมูกของท่าน

“ไม่ต้องเครียดนะคะคุณท่าน เดี๋ยวความดันจะขึ้นอีกค่ะ”

“แกจะไม่ให้ฉันเครียดได้ยังไง ฉันเป็นห่วงลูกสาวของฉัน และถึงแม้ว่ายายภาจะไม่ใช่ลูกที่ดีของฉันแต่ฉันก็รักมัน เพราะฉันเป็นคนคลอดมันออกมา” ท่านว่า

แล้วพรรณนิภาก็เร่งฝีเท้าเข้ามาด้วยสีตื่นตระหนก พร้อมกับนั่งลงข้างๆ แม่สามี ก่อนจะบอกว่า

“พอดีคุณปราภพโทรไปบอกดิฉันตอนที่บ้านเพื่อนน่ะค่ะคุณแม่ ว่ายายภา...เอ้อ...ฆ่าคุณกฤษนัยเสียชีวิต มันคือเรื่องจริงเหรอคะคุณแม่”

ประมุขของบ้านพยักหน้าเศร้าๆ

“เรื่องจริงจ้ะ”

“คุณพระ!” เธอถึงกับตกใจ “เพราะอะไรยายภาถึงตัดสินใจทำแบบนั้นล่ะคะคุณแม่”

“เรื่องมันยาว เดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟังทีหลัง” ท่านว่า ก่อนจะไปมองที่หน้าห้องและถามว่า “อ้าว! แล้วไหนตาป้องกับตาเอกล่ะ พวกเขารู้เรื่องกันหรือยัง”

“รู้แล้วค่ะคุณแม่ ตอนนี้พวกเขาไปช่วยคุณพ่อกับคุณตำรวจตามหาคุณอาภาอยู่ค่ะ”

ผู้เป็นแม่สามีพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่พูดอะไร

พรรณนิภาจึงบอกกับใบบัวว่า

“แม่ใบบัวจ๊ะ มีอะไรทำก็ไปทำเถอะจ้ะ เดี๋ยวฉันจะดูแลคุณแม่เอง”

“ค่ะ คุณพรรณ” แล้วหัวหน้าคนรับใช้ก็ขยับออกห่าง ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องโถงทันที

ผู้เป็นลูกสะใภ้จับมือแม่สามีขึ้นและพูดปลอบใจ

“คุณแม่ไม่ต้องเครียดไปนะคะ ทำใจให้สบายค่ะ เดี๋ยวอาการของโรคหัวใจจะกำเริบอีกค่ะ...นะคะคุณแม่”

“จ้ะ แม่จะพยายามเครียดให้น้อยลง” ท่านฝืนยิ้ม ในใจยังนึกเป็นห่วงลูกสาวกับหลานชาย

ไม่รู้ว่าป่านนี้ทั้งสองคนจะหนีไปที่ไหน ท่านก็ได้แต่ภาวนาว่าถ้าตำรวจเจอทั้งสองคนก็ขอให้ตำรวจจับเป็น เพราะท่านไม่อยากให้สองคนแม่ลูกเป็นอะไรไป ถึงแม้ประภากับภูริชจะไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงทั้งสองคนก็เป็นลูกสาวกับหลานชายของท่าน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านคนหนึ่ง และท่านจะไม่ยอมสูญเสียพวกเขาไปอย่างเด็ดขาด

 

“คุณเขม...คุณหายหัวไปอยู่ที่ไหนคะ ตอนนี้ฉันกับลูกกำลังลำบาก กำลังถูกตำรวจไล่ล่าอยู่” ประภาโทรหาเขมนันท์ขณะนั่งอยู่บนรถ โดยผู้เป็นลูกชายขับรถเร็วมาก กะว่าไม่ให้ตำรวจตามทัน

เขมนันท์จึงถามกลับมาว่า

“คุณไปฆ่าไอ้ทนายมาหรือไง”

“ก็ใช่น่ะสิคะ มันท้าให้ฉันฆ่ามัน ฉันก็เลยจัดให้มันตามคำขอ” เจ้าหล่อนว่า

“แล้วเรื่องพินัยกรรม...”

“เอาไว้ฉันจะเล่าให้คุณฟัง แต่ตอนนี้คุณมาช่วยพาฉันกับลูกหนีไปให้ไกลๆ หน่อย ที่ที่ตำรวจหาตัวไม่เจอ”

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะเช่าบ้านให้พวกเราอยู่ด้วยกัน”

“ได้ค่ะ ที่ไหนคะ”

“ที่...” เขมนันท์บอกที่อยู่กับภรรยาเสร็จก็วางสายไปทันที

แล้วภูริชก็ถามแม่ว่า

“คุณพ่อว่ายังไงบ้างครับคุณแม่”

“พ่อของแกจะหาบ้านเช่าให้พวกเราอยู่”

“แล้วตอนนี้พวกเราจะที่ไหนกันดีครับ”

“ก็ไปที่บ้านเช่าที่พ่อของแกหาไว้ให้ไง เขาบอกที่อยู่มาแล้ว” ผู้เป็นแม่บอก

ชายหนุ่มพยักหน้า

“โอเคครับ คุณแม่”

แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขารีบหยิบขึ้นมาดูชื่อที่โทรเข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ใครก็ถึงกับหน้าซีด บอกกับแม่ว่า

“ไอ้ป้องโทรมาครับคุณแม่”

“ไม่ต้องรับ ตัดสายทิ้งไป” ผู้เป็นแม่สั่ง

ภูริชทำตามทันที

 

“นายภูมันตัดสายทิ้งแล้วครับคุณพ่อ” ปาณัทบอกกับพ่อขณะขับรถอยู่ เขาใช้หูฟังไร้สายเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ พยายามต่อสายหาภูริช แต่อีกฝ่ายกลับตัดสายทิ้ง

“โทรอีกสิตาป้อง โทรเรื่อยๆ จนกว่ามันจะรับสาย” ผู้เป็นพ่อว่า

ชายหนุ่มพยักหน้า

“ครับ คุณพ่อ” จากนั้นก็จัดการโทรหาภูริชอีก แต่กลับมีเสียงตอบกลับมาว่า ‘หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้ง’ นั่นก็หมายความว่าอีกฝ่ายปิดเครื่องหนีไปแล้ว “มันปิดเครื่องหนีแล้วครับคุณพ่อ”

“เดี๋ยวพ่อจะลองโทรหายายภาดู” ว่าแล้วปราภพก็กดโทรหาน้องสาวทันที แต่กลับต้องผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายก็ปิดเครื่องหนีเช่นกัน “ยายภาก็ปิดเครื่องเหมือนกัน”

“แล้วจะทำยังไงกันดีครับ” เป็นเอกถามด้วยน้ำเสียงเครียดสุดๆ

ผู้เป็นพ่อสั่นศีรษะ

“พ่อก็คิดไม่ออกเหมือนกัน”

“คุณพ่อพอจะนึกออกไหมครับว่าคุณอาภาจะหนีไปที่ไหนได้บ้าง” ปาณัทถามพ่อ

“ยายภาจะหนีไปที่ไหนได้บ้างงั้นเหรอ” เขาทำท่าคิด แล้วสักพักก็คิดออก “พ่อว่ายายภามันน่าจะหนีไปหาเพื่อนเพื่อให้เพื่อนช่วยนะ เพราะว่ามันไม่มีใครเลย”

“พวกเราลืมคนหนึ่งไปหรือเปล่าครับคุณพ่อ” เป็นเอกยิ้ม

“ใคร” พ่อกับพี่ชายถามพร้อมกัน

อีกฝ่ายจึงตอบว่า

“ก็คุณอาเขมไงครับ”

“ไม่เห็นหน้านายเขมมาสองสามวันแล้ว ไม่รู้มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน แต่พ่อก็คิดว่าอาจเป็นไปได้ที่ยายภาจะโทรขอความช่วยเหลือจากนายเขม เพราะเป็นสามีภรรยากัน”

“ถ้างั้นก็ลองโทรหาคุณอาเขมสิครับคุณพ่อ” ปาณัทว่า

ปราภพจะกดโทรออก แต่ดันมีสายโทรเข้าพอดี เขารีบกดรับสาย

“สวัสดีครับ นั่นใครครับ...อ้อ คุณตำรวจเองเหรอครับ” เขายิ้มเมื่อเป็นเบอร์ของตำรวจโทรมา

ปลายสายจึงตอบกลับมาว่า

“คือพวกผมตามจี้หลังรถของคุณภูริชอยู่นะครับ แต่รถคันนั้นขับเร็วมากเลยครับ ตอนนี้พวกผมก็เลยตามไม่ทัน แต่ผมโทรแจ้งให้ทุกด่านสกัดจับรถของคุณภูริชแล้วนะครับ คาดว่าน่าจะจับตัวได้ไม่ยากครับ”

“ขอบคุณมากครับคุณตำรวจ เอ้อ คุณตำรวจครับถ้าเจอยายภากับตาภูแล้วผมขออย่างหนึ่งนะครับ คุณตำรวจต้องจับเป็นเท่านั้นนะครับ เพราะผมไม่อยากให้น้องสาวกับหลานชายของผมต้องเป็นอะไรไป”

“ได้ครับ” คุณตำรวจรับปากทันที

“ขอบคุณมากครับคุณตำรวจ ครับๆ สวัสดีครับ” แล้วเขาก็วางสายไป

เมื่อผู้เป็นพ่อคุยโทรศัพท์กับคุณตำรวจเสร็จปาณัทก็ถามว่า

“คุณตำรวจว่ายังไงบ้างครับคุณพ่อ”

“คุณตำรวจบอกว่าขับจี้ตามหลังรถตาภูไปติดๆ แต่ตาภูมันขับเร็วมาก คุณตำรวจก็เลยตามไม่ทัน แต่คุณตำรวจบอกยังอีกว่าจะโทรแจ้งทุกด่านให้สกัดจับรถของตาภู คาดว่าน่าจะจับตัวได้ไม่ยาก” เขาบอกลูกชายคนโต

“นายภูมันกะว่าจะซิ่งไม่ให้คุณตำรวจตามทันมั้งครับคุณพ่อ” ปาณัทว่า

ผู้เป็นพ่อพยักหน้า

“พ่อคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นแหละ”

เป็นเอกมองออกไปนอกรถก็เห็นว่าดวงอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้าแล้ว เขาจึงถามพ่อกับพี่ชายว่า

“นี่มันก็ใกล้จะค่ำแล้ว พวกเราจะหยุดเพียงแค่นี้หรือว่าจะไปตามหากันต่อดีครับ”

“พวกเรากลับบ้านไปกันก่อนดีกว่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณตำรวจ”

“ได้ครับ คุณพ่อ” ปาณัทตอบยิ้มๆ ก่อนจะขับรถไปต่อ และเมื่อถึงจุดยูเทิร์นเขาก็เลี้ยวรถกลับทันที เพราะพ่อบอกว่าไม่ต้องตามหาสองคนแม่ลูกแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจไป

 

คุณนภาลัยรอข่าวคราวของลูกสาวกับหลานชายด้วยจิตใจกระวนกระวาย เมื่อเห็นลูกชายกลับมาถึงบ้านท่านก็รีบถามทันที

“เป็นยังไงบ้างตาปราภพ แกเจอยายภาไหม”

“ผมตามไปไม่ทันครับคุณแม่ ส่วนคุณตำรวจเองก็ตามไปไม่ทันเหมือนกัน แต่คุณตำรวจบอกว่าจะโทรแจ้งทุกด่านให้สกัดจับรถตาภูครับ” ปราภพบอก

แล้วท่านก็พูดกับตัวเองว่า

“ยายภา...ป่านนี้แกกับลูกไปอยู่ที่ไหน ไม่รู้หรือยังไงว่าคนอื่นเขาเป็นห่วง แม่ก็เป็นห่วงแกกับตาภูเหมือนกัน” ท่านประนมมือขึ้น “คุณพลคะ คุณช่วยดลจิตดลใจให้ยายภาไปมอบตัวกับคุณตำรวจเถอะนะคะ โทษหนักจะได้เป็นเบา...ดิฉันเองก็ไม่นึกเหมือนกันค่ะ ว่ายายภาจะกล้าฆ่าคนตายได้ คงเป็นเพราะดิฉันค่ะ ถ้าดิฉันดูแลเอาใจใส่ลูกสาวของเราให้มากกว่านี้มันก็คงจะ...”

“หยุดโทษตัวเองสักทีเถอะครับคุณแม่ ยายภามันทำตัวของมันเองทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับคุณแม่ครับ” เขาว่า

ผู้เป็นแม่จึงบอกว่า

“เกี่ยวสิ...คนจะนิสัยดีหรือนิสัยเลวมันก็ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูแลของพ่อแม่ด้วย แต่นี่ยายภาแม่ไม่ค่อยได้เลี้ยงดูก็เลยทำให้มันขาดความอบอุ่น ทำให้มันคิดว่าแม่ไม่รัก มีพ่อแม่คนไหนบ้างเล่าที่ไม่รักลูก เขาก็รักลูกกันทั้งนั้น แม้แต่หมามันยังรักลูกของมันเลย” ท่านพูดพลางร้องไห้

“เอาเถอะครับคุณแม่ ผมว่าคุณแม่ขึ้นไปพักผ่อนเถอะนะครับ ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ไม่ต้องเป็นห่วงยายภาเพราะมันโตแล้ว” เขาพูดปลอบใจแม่ ก่อนจะบอกกับภรรยาว่า “เอ้อ คุณพรรณ เดี๋ยวคุณช่วยพาคุณแม่ขึ้นไปบนห้องหน่อยนะ”

“ได้ค่ะ” พรรณนิภาพยักหน้า จากนั้นก็ขยับเข้าไปจับแขนแม่สามี “ไปค่ะคุณแม่ ไปพักผ่อนกันค่ะ”

“จ้ะ” ท่านลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปโดยมีลูกสะใภ้เป็นคนประคอง

แล้วปราภพก็บอกกับลูกชายฝาแฝดว่า

“ถ้างั้นพ่อขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวไปหมดแล้ว”

“ครับ คุณพ่อ” ทั้งสองคนตอบเกือบจะพร้อมกัน

ต่อจากนั้นผู้เป็นพ่อก็ลุกเดินออกไปทันที

ในห้องจึงเหลือเพียงสองพี่น้องฝาแฝด

“ฉันไม่นึกเลยนะว่าคุณอาภาเขาจะกล้าฆ่าคนตายได้” เป็นเอกพูดขึ้น

ผู้เป็นพี่ชายตบไหล่น้องชายเบาๆ

“คุณอาภาเขาเป็นคนโลภมาก เพราะฉะนั้นเขาทำได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ฆ่าคนตาย...นายเห็นแล้วใช่ไหมล่ะ ว่าความโลภมันน่ากลัวแค่ไหน มันทำให้คนคนหนึ่งกลายเป็นฆาตกรเลือดเย็น โหดเหี้ยมอำมหิต”

“น่ากลัวจริงๆ” ชายหนุ่มว่า

อีกฝ่ายพยักหน้า

“ใช่! น่ากลัวมาก...เอาละ พวกเราขึ้นห้องกันดีกว่า” แล้วก็ลุกขึ้น

ผู้เป็นน้องชายลุกตาม ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกัน

 

เขมนันท์เช่าบ้านไว้ที่ชลบุรี ให้ภรรยากับลูกชายไปอยู่ได้เลย...ภูริชเลือกที่จะไม่ขับรถตามเส้นทางตรง เขาเลือกใช้ทางลัด เพราะเขารู้ว่าอย่างไรตำรวจก็รอเขากับแม่อยู่ทุกจุด กว่าที่เขาจะขับรถไปถึงชลบุรีก็ปาไปสองชั่วโมงแล้ว แต่ในที่สุดก็ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยโดยปราศจากตำรวจ

บ้านเช่าที่เขมนันท์หาไว้เป็นบ้านหลังเล็กๆ อยู่ติดกับทะเล แต่ถึงแม้บ้านจะไม่ใหญ่แต่ก็น่าอยู่ และบรรยากาศริมทะเลก็สดชื่น แต่สำหรับประภาหาได้สนใจบรรยากาศไม่ เธอกลับรู้สึกเสียใจและผิดหวังที่แม่ของเธอแจ้งตำรวจจับเธอ เธอเข้าใจเช่นนั้น ปากของท่านก็บอกว่ารักลูกสาวคนนี้ แต่การกระทำตรงข้ามกับความรู้สึก ถ้าท่านรักเธอจริงท่านจะแจ้งตำรวจจับเธอทำไม ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งพาลโกรธทุกคน

“แล้วนี่คุณจะเอายังไงต่อ” เขมนันท์ถามภรรยาขณะนั่งอยู่ในบ้านเช่า

แล้วประภาก็เล่าเรื่องที่จะทำพินัยกรรมฉบับปลอมขึ้นมาแทนที่ฉบับจริงให้เขาฟังแล้ว ซึ่งเขาก็เห็นด้วยกับภรรยาอย่างยิ่งที่เธอจะทำเช่นนั้น เพราะทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะตกอยู่ในมือของพวกเขาทั้งสามคน งานนี้รวยเละแน่...รวยเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว

“ก็คงต้องกบดานอยู่ที่นี่สักพัก จนกว่าเรื่องจะซา” ผู้เป็นภรรยาบอก

“คดีฆ่าคนตายมันไม่มีวันจางหายง่ายๆ หรอกคุณ” เขาว่า

ประภาลุกขึ้นยืนกอดอก มองออกไปที่ทะเล แล้วก็พูดว่า

“คุณแม่นะคุณแม่ ไม่น่าทำแบบนี้กับภาเลย ปากก็บอกว่ารักภา แต่รักลูกภาษาอะไรแจ้งตำรวจมาจับลูก...ภาไม่เข้าใจเลย”

“ปากของท่านก็บอกว่ารักคุณไปแบบนั้นแหละ แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ คุณลองคิดอยู่สิ มีแม่ที่ไหนบ้างที่บอกว่ารักลูกแต่แจ้งตำรวจจับลูกตัวเอง เรื่องแค่นี้คิดง่ายมากเลยนะคุณภา” เขมนันท์พยายามพูดเป่าหูให้ภรรยาเกลียดแม่ตัวเอง

“มันก็จริงค่ะ” เจ้าหล่อนก็พลอยหูเบาเชื่อตามสามี “แต่ฉันคิดว่าเรื่องแจ้งตำรวจไม่น่าใช่ความคิดของคุณแม่ แต่น่าจะเป็นความคิดของพี่ปราภพมากกว่า เพราะพี่ปราภพก็ไม่ค่อยชอบฉันอยู่แล้ว เขาอาจจะยุให้คุณแม่ไปแจ้งตำรวจก็ได้” เธอคิดไปเองทั้งนั้น เพราะมีอคติกับพี่ชายของตัวเองเกินไป แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด

“พวกเขาก็ทำด้วยกันนั่นแหละ รวมถึงพี่พรรณ แล้วก็ไอ้ลูกชายฝาแฝดของเขาด้วย”

“ฉันเกลียดทุกคน เกลียดๆๆ คอยดูเถอะ ฉันจะเอาคืนทุกคน ใครก็จะไม่ได้ทรัพย์สมบัติทั้งนั้น นอกจากพวกเรา” เธอประกาศลั่น

เขมนันท์ยิ้มสะใจที่ยุภรรยาให้เกลียดแม่ พี่ชาย พี่สะใภ้และหลานชายฝาแฝดได้สำเร็จ เขาชอบแบบนี้มากเลย แล้วเขาก็หัวเราะดังก้องในใจ

เสียงแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือของภูริชดังขึ้น เขารีบกดดู เป็นชลิตานั่นเองที่ส่งรูปภาพมาให้ดู เป็นรูปภาพอัลตราซาวด์ทารก เขาถึงกับอึ้ง

“นี่ลิต้าท้องงั้นเหรอ”

“มีอะไรหรือเปล่าตาภู” ผู้เป็นแม่ถาม

ชายหนุ่มรีบสั่นศีรษะ

“ไม่มีอะไรครับแม่” เขาโกหก ก่อนจะมองดูในไลน์ต่อ เห็นข้อความที่ชลิตาส่งมา

‘ตอนนี้ฉันท้องได้สี่เดือนแล้ว...เมื่อคุณได้เห็นรูปกับข้อความแล้วคุณไม่ต้องตามหาฉันกับลูกหรอกนะคะ เพราะตอนนี้ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอก และถ้าลูกคลอดออกมาฉันจะไม่บอกเขาว่าพ่อของเขาเป็นใคร เพราะฉันไม่อยากให้เขารู้ว่าเขามีพ่อที่เลวอย่างคุณ ลาก่อนนะคะภูริช’

เมื่ออ่านข้อความจบชายหนุ่มก็นิ่งไปสักครู่ จนกระทั่งผู้เป็นแม่ถามว่า

“แกเป็นอะไร หา! ตาภู ตั้งแต่ได้ดูโทรศัพท์ก็เอาแต่นิ่งเงียบ ใครส่งอะไรมาให้แก บอกแม่มา”

“ลิต้าส่งรูปมาให้ผมดูครับคุณแม่” เขาบอก

“รูปอะไร”

“เป็นรูปอัลตราซาวด์ครับคุณแม่”

“อ้อ มันคงจะบอกกับแกว่าท้อง เหมือนตอนที่มันบอกกับแม่เมื่อสองเดือนก่อนสินะ” ประภาว่า

ภูริชตกใจกับสิ่งที่ผู้เป็นแม่พูดออกมา

“คุณแม่ว่าอะไรนะครับ”

“ก็เมื่อสองเดือนก่อนน่ะสิ นังชลิตามันไปหาแกที่บ้านแต่แกไม่อยู่ แม่ก็เลยรับหน้าแทนแก มันบอกว่ามันท้องกับแก แต่แม่ไม่เชื่อหรอก มันอาจไปมีอะไรกับคนอื่นจนท้องแล้วเอาเด็กมาสมอ้างเป็นลูกของแกก็ได้ ใครจะไปรู้”

“ผมขอยืนยันได้เลยครับว่าลิต้าเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผมแค่คนเดียว ไม่มีคนอื่นแน่นอน”

“แกพูดแบบนี้ แสดงว่าแกคิดจะไปรับผิดชอบมันใช่ไหม แม่ขอบอกเลยว่าแม่ไม่เห็นด้วย”

“ผมเนี่ยนะครับจะไปรับผิดชอบเธอ” เขาชี้ที่ตัวเองและแค่นหัวเราะ “ตอนนี้เธอหมดประโยชน์กับผมแล้วครับคุณแม่ เพราะเกมส์ของผมมันสิ้นสุดแล้ว ผมเอาชนะไอ้ป้องได้แล้ว และผมไม่มีทางรับผิดชอบเธอแน่นอนครับ”

“ดีมากลูก แกคิดถูกแล้วที่จะไม่ไปรับผิดชอบนังชลิตา ไม่งั้นแม่คงอกแตกตายแน่ๆ” เธอยิ้มพอใจ

“ลิต้าก็แค่หมากเดินเกมส์ของผมเท่านั้นแหละครับคุณแม่ ในเมื่อตอนนี้เกมส์ของผมก็จบลงแล้ว นั่นก็หมายความว่าเธอก็หมดประโยชน์กับผมแล้วเหมือนกัน” เขาพูดอย่างคนเห็นแก่ตัวที่สุด

ผู้เป็นพ่อตบไหล่ลูกชายเบาๆ พลางหัวเราะ

“ดีมากลูกพ่อ มันต้องแบบนี้สิ”

ภูริชถอดแบบมาจากพ่อแม่ ทั้งความอิจฉาริษยา ทั้งความเห็นแก่ตัว ทั้งความโลภ เรียกได้ว่าเอามาหมดเลยทีเดียว หรือจะเรียกอีกแบบหนึ่งนั่นก็คือลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นก็ได้เช่นกัน!

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.