บทที่๒๖

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่๒๖

“คุณรู้ไหมคะคุณเขม ตอนนี้คนที่เคยเก็บไอ้เป็นเอกไปเลี้ยงเขาตายแล้วค่ะ” เมื่อเข้ามาในห้องนอนเธอก็บอกกับสามี

“แล้วยังไงล่ะคุณ” เขมนันท์ถามอย่างไม่เข้าใจ

ผู้เป็นภรรยาทำหน้าเบื่อหน่าย

“โอ๊ย! จะยังไงล่ะคะ ฉันก็สมน้ำหน้ามันสิ และฉันก็ภาวนาให้ไอ้เป็นเอกฆ่าตัวตายตามแม่เลี้ยงของมันไป จะได้ไม่ต้องมีใครลงมือฆ่ามัน เพราะมันฆ่าตัวเองแล้ว ทีนี้เข้าใจหรือยังคะคุณสามี”

“อ้อ ผมเข้าใจแล้ว” เขาพยักหน้าเข้าใจ “ตอนนี้พวกเราก็ได้แต่ช่วยกันภาวนาให้ไอ้เป็นเอกฆ่าตัวตายตามแม่เลี้ยงของมันไป...ผมล่ะอยากให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เลยคุณภา”

“ฉันก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นเหมือนกันค่ะ” เธอยิ้มมุมปาก

แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยไม่มีคำขออนุญาตจากผู้เปิด พร้อมกับเสียงถาม

“อยากให้มันเป็นแบบไหนเหรอครับ” ภูริชนั่นเองที่เดินเข้ามา เขาได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นแม่พูดประโยคหลังพอดี แล้วเขาก็ปิดประตู ก่อนจะเดินมาใกล้พ่อกับแม่ “ว่ายังไงครับ คุณพ่อกับคุณแม่กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอครับ ผมได้ยินคุณแม่พูดว่าฉันก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นเหมือนกันค่ะ สรุปแล้วคุณพ่อกับคุณแม่อยากให้มันเป็นแบบไหน อะไรยังไงเหรอครับ”

ประภาจึงบอกลูกชายว่า

“ก็ตอนนี้น่ะสิแม่ที่เคยเก็บไอ้เป็นเอกไปเลี้ยง เขาตายแล้ว แม่ก็เลยภาวนาให้ไอ้เป็นเอกมันฆ่าตัวตายตามแม่เลี้ยงของมันไป จะได้ไม่ต้องมีใครลงมือฆ่ามัน เพราะว่ามันได้ฆ่าตัวเองตายแล้ว”

“อ้อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง” ชายหนุ่มยิ้มพอใจ “ผมเห็นด้วยกับคุณแม่ครับ ผมก็อยากให้มันตายด้วยฝีมือของมันเอง เพราะผมก็ไม่อยากให้มือของตัวเองเปื้อนเลือด”

“แม่ก็ไม่อยากให้มือของลูกเปื้อนเลือดเหมือนกัน” เธอว่า “เอาละ เดี๋ยวพวกเราต้องเตรียมตัวไปงานศพกับคุณยายกัน”

“ต้องไปร่วมงานศพด้วยเหรอครับคุณแม่”

“พวกเราต้องไป...ต้องไปร่วมแสดงความยินดี อุ๊ย ไม่ใช่ ต้องบอกว่าแสดงความเสียใจถึงจะถูก” พูดจบเธอก็หัวเราะชอบใจ

สามีกับลูกชายพลอยหัวเราะตาม ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกพากันหัวเราะราวกับเป็นเรื่องน่ายินดี ทั้งที่เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่สุด เพราะสูญเสียคนคนหนึ่งไป คนที่สำคัญกับครอบครัว แต่พวกเขากลับหัวเราะชอบใจ เพราะพวกเขาไม่เคยรู้สึกอะไรเลย เหมือนคนที่ไม่มีหัวใจ ก็เลยเสียใจไม่เป็น

 

ณ วัดแห่งหนึ่ง แถวๆ ชุมชนคลองรักษ์...ร่างที่ไร้ลมหายใจของนางเพียรถูกยกเข้าโลงแล้ว และถูกยกวางบนแท่นแล้ว เป็นเอกสั่งให้นิชาภัทรเลือกภาพถ่ายที่สวยที่สุดของนางเพียรเอาไปขยายเพื่อมาตั้งหน้าโลงศพ และมีดอกไม้ประดับประดาหน้าโลงศพ ส่วนเก้าอี้สำหรับให้แขกที่จะมาร่วมฟังพระสวดอภิธรรมนั่งถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว...อาหารที่เอามาให้แขกทานคุณนภาลัยก็ได้สั่งจากร้านอาหารชื่อดัง แพงและหรู ส่วนครอบครัวของชัชรินทร์ก็ถูกเชิญให้มางานนี้ด้วย แต่นั่งท้ายๆ

เป็นเอกนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ด้านหน้าสุด สายตาเศร้าๆ มองไปยังหน้าโลงศพตลอดเวลา แต่เลิกร้องไห้แล้ว เขายังทำใจไม่ได้ เพราะมันดูกะทันหันเกินไป แม่เพียรด่วนจากเขาเร็วเกินไป โดยที่ยังไม่ได้สั่งลาอะไรเลย เป็นอะไรที่ทรมานกับความรู้สึกของเขาจริงๆ ...เขาเสียใจเหลือเกิน เสียใจจนอยากจะร้องไห้ออกมาแบบหนักๆ แต่เขาไม่ทำ เขาต้องกลั้นน้ำตาไว้ ต้องเข้มแข็งไว้ เพราะเขาเป็นลูกผู้ชาย เขาจะต้องไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นอย่างเด็ดขาด ต้องให้ทุกคนรู้ว่าเขาเข้มแข็งแค่ไหน เขาต้องผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แม้จะยากเย็นเพียงใดก็ตาม

คุณนภาลัย ปราภพกับพรรณนิภาเดินมานั่งข้างๆ เป็นเอก ส่วนเขมนันท์ ประภาและภูริชนั่งห่างออกไป ทุกคนอยู่ในชุดดำไว้ทุกข์ ทั้งพ่อกับแม่ และย่าต่างก็มองเป็นเอกอย่างสงสารจับใจ จึงได้แต่ปลอบใจ

“ตาเอก...คุณเพียรเขาไปสบายแล้วนะลูก เขาไม่ต้องทรมานแล้ว ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว ส่วนคนที่อยู่ก็ต้องสู้ต่อไป” พรรณนิภาพูดกับลูกชาย

ปราภพตบไหล่ลูกชายเบาๆ

“ลูกต้องเข้มแข็งให้มากๆ นะ อย่าแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น เพราะเราเป็นลูกผู้ชาย...พ่อรู้ว่ามันทำใจยาก ต้องใช้เวลาในการทำใจ แต่พ่อก็ขอเป็นกำลังใจให้ลูกนะ ต้องผ่านมันไปให้ได้นะ สู้ๆ”

“ขอบคุณครับคุณพ่อคุณแม่” เป็นเอกประนมมือไหว้พ่อกับแม่ แต่ไม่สามารถยิ้มออกได้ เพราะกำลังเศร้าเสียใจอยู่

ส่วนคุณนภาลัยก็พูดกับหลานชายว่า

“ย่าเชื่อว่าเพียรเขาจะมองลงมาจากบนสวรรค์ มองดูหลานชายของย่าอยู่บนนั้น และเขาคงไม่อยากให้เห็นน้ำตาของหลาน ไม่อยากให้หลานเศร้าเสียใจ แต่ถ้าจะทำแบบนั้นก็ไม่ง่ายเลย คงต้องใช้เวลาสักพัก”

“ครับคุณย่า มันยากที่จะทำใจได้จริงๆ ครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยแววตาเศร้าๆ

“ไม่เป็นไร ย่าเข้าใจ” ท่านว่า

แล้วท่านก็หันไปทางโลงศพ พูดในใจคล้ายกับจะสื่อถึงนางเพียร

‘ไม่น่าอายุสั้นเลยเพียร ฉันเพิ่งจะปรึกษาคุณหมอเรื่องการรักษาโรคมะเร็งให้กับเธอ คุณหมอบอกว่าต้องรอให้เธอฟื้นก่อนถึงจะทำการรักษาได้ แต่แล้วเธอกลับไม่ฟื้น ปาฏิหาริย์ไม่เกิดขึ้นกับเธอเลย ฉันสงสารเธอจริงๆ แต่ไม่สามารถช่วยเธอได้จริงๆ ต่อไปนี้ไม่ต้องทรมานกับโรคอีกแล้ว ฉันขอให้เธอหลับให้สบาย ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกแล้ว ตอนนี้เป็นเอกเขาอยู่กับพวกฉันแล้ว ฉันขอให้เธอไปสู่สุขคติในสัมปรายภพนะเพียร’

 

ทางด้านปาณัทก็ยืนพูดคุยกับรินรดานอกศาลา

“พี่เป็นเอกน่าสงสารมากเลยนะคะพี่ป้อง” หญิงสาวรู้สึกสงสารเป็นเอก

ปาณัทพยักหน้า

“ครับ เขาน่าสงสารที่สุด เพราะต้องมาสูญเสียคนที่เคยเลี้ยงดูเขาไป...เขารักและผูกพันคุณน้าเพียรมาก พี่ก็ทำได้แค่ปลอบใจเขา และพี่เชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะทำใจได้แน่นอน”

“ค่ะ เขาจะต้องเข้มแข็ง เพราะมีคุณอาปราภพ คุณอาพรรณ แล้วก็คุณย่านภาคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ” เธอมองเข้าไปในศาลา เห็นคุณนภาลัย ปราภพและพรรณนิภานั่งข้างๆ เป็นเอกอย่างให้กำลังใจ

อีกฝ่ายมองตาม

“สิ่งที่เป็นเอกต้องการมากที่สุดคือกำลังใจ”

“ค่ะ คนที่เสียใจ...กำลังใจคือสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นเราควรต้องให้กำลังใจเขามากๆ ค่ะ” เธอยิ้มให้ผู้ชายตรงหน้า

ชายหนุ่มจึงแซว

“แล้วถ้าพี่อยากได้กำลังใจจากน้องริน น้องรินจะให้พี่ได้ไหม”

“ได้สิคะ...แต่ต้องรอให้พี่ป้องเสียใจก่อน”

“โธ่! น้องริน...” เขาทำหน้าเซ็งๆ

รินรดาถึงกับหัวเราะออกมาทันที

 

ข้างในศาลาสวดศพ...นางต้อยกับนิชาภัทรนั่งจุดธูปอยู่หน้าโลงศพของนางเพียร ทั้งสองคนมีแววตาเศร้าหมองไม่ต่างจากเป็นเอกเท่าไหร่ เพราะสนิทกันมาก เมื่อถึงเวลาต้องตายจากกันเร็วขนาดนี้ก็ไม่สามารถทำใจได้ง่ายๆ ก็ต้องใช้เวลาอีกสักพัก

“นังเพียรเอ๊ย...ข้าขอให้เอ็งหลับให้สบายนะ ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว ไปหาลูกกับผัวของเอ็งบนสวรรค์ พวกเขาคงรอเอ็งอยู่...”

“ส่วนทางนี้...ไอ้เอกมันได้อยู่กับครอบครัวของมันแล้ว มันคงจะสุขสบาย มีเงินทองใช้มากมาย เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงมันเลย ไม่นานเดี๋ยวมันก็ทำใจได้เอง มีแต่คนให้กำลังใจมัน ทั้งคุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็พี่ชายฝาแฝดของมัน” นิชาภัทรพูดอย่างเศร้าๆ

ทั้งสองคนปักธูปลงในกระถางและกราบ ก่อนจะหันไปมองทางเป็นเอกอย่างรู้สึกสงสารมากๆ ก็ได้แต่สงสารเท่านั้น ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเขามีคนคอยให้กำลังใจเพียบ ไม่นานเขาจะทำใจได้แน่นอน คนอย่างเป็นเอกไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นง่ายๆ เขาจะเก็บไว้ในใจคนเดียว แต่นี่เพราะเขาสูญเสียคนที่สำคัญในชีวิตไปเขาถึงแสดงความรู้สึกออกมาให้ทุกคนเห็น แต่สักพักเขาก็กลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม เขาจะต้องสู้ต่อไป ชีวิตของเขาจะต้องเดินไปข้างหน้า ไม่จมอยู่กับความเศร้าแบบนี้ไปตลอดหรอก เพราะเขามีคนที่อยู่เคียงข้างเขามากมาย และพร้อมจะให้กำลังใจเขาเสมอ

 

หลังเผาศพนางเพียรเสร็จ...เป็นเอกก็กลับมาเก็บของที่บ้านสลัม โดยมีปาณัทกับนิชาภัทรมาเป็นเพื่อน เขามองเห็นสภาพบ้านแล้วคิดถึงแม่เพียรของเขา ทำหน้าเศร้า ยังทำใจไม่ได้สักที ทั้งที่พยายามที่สุดแล้ว...มองไปรอบๆ ห้องภาพต่างๆ ที่เคยอยู่กับแม่เพียรก็ประดังเข้ามาในความคิดของเขา มันช่างสลดหดหู่ใจเหลือเกิน และเกินคำบรรยายจริงๆ เขาต้องเข้มแข็งและกลับมายิ้มได้เหมือนเดิมในเร็ววันนี้ให้ได้

ปาณัทกับนิชาภัทรเป็นคนช่วยเก็บของใส่ลัง

“เอ้อ ไอ้เอก แล้วของของน้าเพียรล่ะ แกจะทำยังไง” เธอหันไปถามเพื่อน

อีกฝ่ายจึงตอบว่า

“ฉันว่าจะเอาไปบริจาคให้กับคนยากไร้ และเก็บไว้ดูต่างหน้าสักสองชุด”

เมื่อเก็บของเสร็จนิชาภัทรก็ถามอีก

“ฉันขอถามแกอีกสักหน่อยเถอะนะ เมื่อไหร่แกจะยิ้มได้เหมือนเดิมสักทีวะ”

“ก็ฉันยังทำใจไม่ได้นี่หว่า แม่เล่นจากฉันไปกะทันหันแบบนี้ ทำใจยังไม่ได้...อ้อ แม่เคยบอกฉันว่าแกจะไม่เป็นอะไรง่ายๆ จนกว่าฉันจะพบพ่อกับแม่ที่แท้จริง...แต่พอฉันพบพ่อกับแม่ที่แท้จริงและกลับไปอยู่กับพวกท่าน แม่เพียรก็มาจากฉันไปจริงๆ และที่แกเคยบอกฉันไว้มันกลายเป็นจริงซะนี่” เขาทำหน้าเศร้า

ปาณัทเข้าตบไหล่น้องชาย

“ก็เพราะว่าคุณน้าหมดห่วงแล้วท่านถึงได้จากไป เมื่อนายได้กลับไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าท่านไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วนะ”

ผู้เป็นเพื่อนจึงบอกว่า

“ไอ้เอกเอ๊ย ไม่มีใครอยากจากคนที่เรารักไปหรอก แต่เมื่อถึงเวลาพวกเราทุกคนก็ต้องไปกันทั้งนั้น ไม่มีใครหนีพ้นจริงๆ ฉันขอให้แกเข้าใจตรงนี้ไว้เลย”

“ฉันก็พอจะเข้าใจ แต่...”

“แต่อะไร”

“แต่ฉันก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี”

แล้วนิชาภัทรก็หันไปทางปาณัท

“คุณปกป้องคะ ว่างๆ คุณช่วยพาน้องชายของคุณไปเข้าวัดทำบุญบ้างนะคะ เขาจะได้รู้ว่าความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม”

“ได้ครับ” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ ก่อนจะพูดกับน้องชายว่า “ฉันว่าพวกเรากลับบ้านกันเถอะ ยิ่งอยู่ที่นี่นานเดี๋ยวนายจะยิ่งเศร้าไปกันใหญ่”

“อืมม์” เป็นเอกพยักหน้า และหันไปทางเพื่อน “ฉันฝากแกเอาเงินกับกุญแจบ้านไปคืนคุณอรศรีที”

“ได้สิ” เธอรับคำ

แล้วก็สั่งต่อ

“อ้อ แล้วเสื้อผ้าของแม่ ฉันขอฝากแกเอาไปบริจาคให้กับคนยากไร้ที”

“ได้เจ้าค่ะ คุณเป็นเอกเจ้าขา” แกล้งทำท่าถอนสายบัวด้วย นั่นทำให้เป็นเอกหัวเราะได้ในที่สุด

“หัวเราะได้แล้วสินะ” เธอแซว

“คุณเก่งมากเลยครับ คุณนิชา...ที่ทำให้เป็นเอกหัวเราะได้” ปาณัทยกนิ้วโป้งให้หญิงสาว

อีกฝ่ายยิ้มรับ

“ฉันรู้ค่ะว่าต้องทำยังไงให้เขายิ้มหรือหัวเราะได้...เวลาเขาเศร้าฉันชอบแกล้งให้เขาหัวเราะทุกครั้ง ซึ่งฉันก็ทำสำเร็จค่ะ”

“ฉันขอบใจแกนะเพื่อน ที่ทำให้ฉันหัวเราะได้เหมือนเดิม” เขายิ้ม

ผู้เป็นเพื่อนโบกมือ

“โอ๊ย ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง ฉันก็ทำให้แกหัวเราะได้ทุกครั้งที่แกเศร้า ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เอาล่ะ ฉันว่าแกรีบกลับไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจะเคลียร์ให้เอง”

“ฉันขอขอบใจแกอีกครั้ง เอ้า! นี่กุญแจบ้านกับเงินค่าเช่าบ้านเดือนสุดท้าย” ยื่นกุญแจบ้านกับเงินสดจำนวนสองพันให้เพื่อน

อีกฝ่ายรับมา

“โอเคจ้ะ”

ปาณัทเข้ามายกลังที่ใส่ของ ก่อนจะบอกน้องชายว่า

“ไปกันเถอะ”

“อืมม์!” เขาพยักหน้า และยกอีกลังขึ้นมา เพราะของของเขาไม่เยอะ มีแค่สองลังเท่านั้น

แล้วสองหนุ่มก็เดินออกไปจากบ้าน เป็นเอกมองเข้าไปในบ้านเป็นครั้งสุดท้ายอย่างอาลัยอาวรณ์

“ลาก่อนนะบ้านเช่า” แล้วหันหลังเดินจากไปพร้อมกับปาณัท

นิชาภัทรจัดการปิดประตูและล็อก ก่อนจะเดินตามสองพี่น้องฝาแฝดไป

เมื่อเดินมาถึงรถทั้งสองคนก็เอาลังวางไว้เบาะหลัง เป็นเอกหันไปโบกมือให้เพื่อน

“ฉันไปก่อนนะ ว่างๆ เดี๋ยวฉันจะแวะมาหา ฝากบอกป้าต้อยด้วยว่าฉันไปก่อน”

“เจ้าค่ะ คุณเป็นเอก”

“แกนี่ขยันหาเรื่องให้ฉันหัวเราะได้ตลอดเลยนะ ไม่เอาล่ะๆ อยู่ต่อเดี๋ยวมันยาว” เขายิ้ม ก่อนจะหันไปบอกพี่ชาย “ไปกันเถอะ”

“อืมม์” ปาณัทพยักหน้า

นิชาภัทรจึงแกล้งถาม

“จะไปจริงๆ แล้วเหรอ”

“ก็จริงน่ะสิ”

“แน่นะ”

“แน่สิ”

“ไม่หลอกนะ”

“ไม่หลอกสิ ก็ฉันไม่ใช่ผี โอ๊ย แกทำเอาฉันเคลิ้มเลย ฉันจะไปจริงๆ แล้ว บ๊ายบาย” เขาหัวเราะ ก่อนจะโบกมืออีกครั้งและขึ้นรถไป

ปาณัทจึงหันไปบอกนิชาภัทร

“ผมไปก่อนนะครับ”

“ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ” เธอยิ้ม

อีกฝ่ายพยักหน้า

“ครับ” แล้วขึ้นรถไป ก่อนจะสตาร์ทรถและขับออกไป

นิชาภัทรมองตาม พึมพำกับตัวเอง

“ไอ้เอกมันจะรู้ไหมนะ ว่าเราคิดยังไงกับมัน”

 

 

เป็นเอกกลับมาถึงบ้านแล้ว เขากำลังจัดของให้เข้าที่อยู่บนห้องนอน และวางรูปของแม่เพียรที่ขยายเป็นกรอบเล็กๆ บนโต๊ะหัวนอนคู่กับรูปของเขาแล้วยิ้ม

“ผมพาแม่มาอยู่กับผมที่นี่แล้วนะครับ”

แววตาเศร้าของเขาบัดนี้จางลงเล็กน้อย และมีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า เพราะเริ่มจะทำใจได้ประมาณหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก ต้องทำใจได้ทีละนิด เดี๋ยวอะไรๆ ก็ดีขึ้นเองนั่นแหละ เขาบอกกับตัวเอง

และตอนนี้แผลของเขาก็หายดีแล้ว เขาอยากจะไปทำงานเต็มแก่แล้ว แต่รอไปเริ่มงานวันจันทร์เลยดีกว่า

แล้วชายหนุ่มก็นึกอะไรขึ้นมาได้ รีบลุกเดินออกไปจากห้อง ลงไปชั้นล่าง และตัดสินใจเดินไปที่ครัว เห็นพวกคนรับใช้กำลังเตรียมของทำอาหารค่ำ...เมื่อใบบัวเห็นเป็นเอกก็ทัก

“อ้าว! คุณเป็นเอก มาทำอะไรในครัวคะ อยากได้อะไรหรือเปล่าคะ”

“เปล่าครับ” เขาสั่นศีรษะยิ้มๆ

ใบตองทำหน้าแปลกใจ

“เอ้อ แล้ว...”

“วันนี้ป้าบัวกับใบตองไม่ต้องทำอาหารนะ เดี๋ยวผมจะลงมือทำเอง” เขาบอก

“หา!” ใบบัวทำหน้าตกใจ “ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ เดี๋ยวพวกอิฉันทำเองค่ะ เพราะคุณเป็นเจ้านาย”

“ผมเป็นเชฟที่ร้านอาหารชื่อดัง และผมอยากจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านทานกันครับ”

“อิฉันเกรงว่าคุณท่านจะว่าเอาน่ะค่ะ” เธอทำหน้าไม่สบายใจ

เป็นเอกจึงบอกว่า

“คุณย่าไม่ว่าหรอกครับ เดี๋ยวผมจะเป็นคนอธิบายให้ท่านฟังเอง อ้อ แต่ถ้าพวกป้าอยากจะช่วยผม...งั้นช่วยเป็นลูกมือผมจะดีกว่าครับ”

“เอ้อ ได้ค่ะ” ใบบัวพยักหน้า “แล้วคุณจะให้พวกอิฉันช่วยอะไรบ้างคะ”

“เดี๋ยวช่วยแกะกุ้ง หั่นปลาหมึก หั่นเนื้อหมู แล้วก็ล้างผักและหั่นผักด้วยครับ” ชายหนุ่มสั่ง พลางเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่

หัวหน้าคนรับใช้จึงหันไปสั่งใบตองกับนวล ซึ่งเป็นสาวใช้ที่เพิ่งเข้ามาทำงาน

“เอ้า! พวกแกรีบไปทำตามที่คุณเป็นเอกสั่งสิ”

“ค่ะ” รับคำพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะไปจัดการทำตามที่ผู้เป็นนายสั่งทันที

มือกำลังเตรียมของ แต่ปากของเขาก็พูดเจื้อยแจ้วไป

“วันนี้ผมจะทำเมนูกุ้งอบวุ้นเส้น ต้มยำกุ้ง ปลาหมึกผัดไข่เค็ม ปลาหมึกนึ่งมะนาว และพล่าหนวดปลาหมึก ส่วนเมนูเนื้อหมูก็...หมูทอดกระเทียม หมูหวาน ต้มยำหมู แค่นี้แหละครับ”

“ว้าว! แต่ละเมนูที่คุณพูดมาเหมือนน่าอร่อยจังเลยนะคะ” ใบตองทำหน้าตื่นเต้น

“ระดับเชฟแล้วต้องอร่อยแน่นอน” ใบบัวว่า

เป็นเอกยิ้ม

“ต้องรอดูไปก่อนครับ”

แล้วลงมือทำอาหารต่อด้วยความพิถีพิถัน ทำอย่างใส่ใจและตั้งใจ เพื่อให้มันออกมาดีที่สุดเหมือนตอนที่ทำอยู่ร้านอาหาร และใส่ความพิเศษลงไปอีกด้วย

 

 

คุณนภาลัยเดินนำหน้าลูกชาย ลูกสาว ลูกเขย ลูกสะใภ้ และหลานๆ เข้ามาที่โต๊ะอาหาร เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะท่านก็ทำหน้าอึ้งไป

“โอ้โห! ทำไมวันนี้อาหารแปลกจัง”

แล้วเป็นเอกก็บอกว่า

“ผมเป็นคนทำทั้งหมดเลยครับคุณย่า”

“ว้าว จริงเหรอ” ท่านถามยิ้มๆ

ผู้เป็นหลานชายพยักหน้า

“จริงครับ ผมเป็นคนเข้าขอป้าบัวทำเองครับ”

“แสดงว่าต้องอร่อยแน่นอน” พรรณนิภาว่า

แล้วทุกคนก็นั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง

เป็นเอกจึงหันไปทางผู้เป็นแม่

“คุณแม่ลองทานดูก่อนครับ แล้วจะรู้เอง”

“จ้ะ” เธอพยักหน้ายิ้มๆ

ปาณัทจึงพูดขึ้นว่า

“แต่ผมว่าต้องอร่อยแน่นอนครับคุณแม่”

“มั่นใจขนาดนั้นเลย? ” ปราภพถามพลางยิ้มพลาง

อีกฝ่ายพยักหน้า

“แหม! คุณพ่อครับ ระดับเชฟทำแล้ว ไม่อร่อยนี่ถือว่าแปลกมากเลยนะครับ”

“แต่เชฟบางคนทำอาหารไม่อร่อยก็มีนะ ต้องลองทานดูก่อน” เป็นเอกว่า

แล้วประมุขของบ้านก็พูดขึ้น

“เอ้า! ลงมือทานสิทุกคน มัวรออะไรอยู่ล่ะจ๊ะ”

จากนั้นทุกคนก็ลงมือทานอาหารทันที

เขมนันท์ ประภา และภูริชแอบมองเป็นเอกอย่างหมั่นไส้ระคนอิจฉา

‘ฮึ! นี่ถึงขั้นลงมือทำอาหารให้ทุกคนทาน คงจะต้องการเอาใจละสิท่า แต่สำหรับฉัน...ฉันไม่ให้ใจแกหรอก ฉันอยากให้แกกับพี่ชายของแกตายต่างหาก ฉันต้องการแค่นี้แหละ’

ประภาคิดในใจ โดยเอานิสัยของตัวเองไปเหมารวมกับคนอื่น คิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนเธอ แต่เธอกำลังคิดผิดแล้วละ ไม่มีใครนิสัยเหมือนเธอหรอก นอกเสียจากสามีกับลูกชายของเธอเองที่นิสัยเหมือนเธอ

และเมื่อทานเข้าไปคำแรกปราภพก็บอกว่า

“ตาเอก พ่อมีสามคำจะให้”

“คำว่าอะไรเหรอครับคุณพ่อ” เป็นเอกถามยิ้มๆ

ผู้เป็นพ่อตอบทันที

“ก็คำว่า อะ-หร่อย-มาก ไง” พูดจบก็หัวเราะ

คุณนภาลัย พรรณนิภา ปาณัทกับเป็นเอกพลอยหัวเราะตาม

แล้วประมุขของบ้านก็พูดว่า

“ย่าก็มีสามคำจะให้เหมือนกัน”

“คำว่า...” เขาทำหน้าแบบลุ้นมาก

ผู้เป็นย่ายิ้มก่อนตอบ

“แซ่บ-เว่อร์-มาก” และหัวเราะ

ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกก็หัวเราะตามอีก

ต่อมาพรรณนิภาก็พูดอีกคน

“แม่ก็มีสามคำเหมือนกันอีก”

“คุณแม่จะให้คำว่าอะไรกับผมครับ”

“ก็คำว่า แซ่บ-นัว-มาก” ก็หัวเราะอีกเช่นกัน

ประภาทนเห็นทั้งห้าคนหัวเราะด้วยกันอย่างสนุกสนานไม่ไหว เธอจึงลุกขึ้น

“นี่ตกลงจะทานอาหารหรือว่าจะหัวเราะกันคะ”

ทั้งห้าคนหยุดหัวเราะทันควัน ปราภพรู้สึกไม่พอใจน้องสาวอย่างมาก

“นั่งลงเดี๋ยวนี้ยายภา ไม่เห็นหัวคุณแม่หรือไง หา!”

“ภาหมดอารมณ์จะทานแล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” แล้วเธอก็ผลุนผลันออกไป ส่วนสามีกับลูกชายก็ต้องวางช้อนลงและลุกเดินตามไป

ปราภพจึงหันไปทางเป็นเอก

“อย่าไปสนใจเลยลูก คุณอาภาเขาก็อารมณ์แปรปรวนแบบนี้แหละ ไม่มีใครตามอารมณ์เขาทันหรอก”

“อ้อครับ” ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ

คุณนภาลัยมองตามลูกสาวแล้วสั่นศีรษะ รู้สึกเหนื่อยใจกับลูกสาวคนนี้ ท่านจึงพึมพำกับตัวเอง

“นิสัยของแกมันเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ ฉันเหนื่อยใจกับแกที่สุด...ยายภา”

ก่อนจะหันกลับมาบอกกับลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชายฝาแฝด

“เอ้าๆ ทานกันต่อเถอะ ไม่ต้องไปสนใจอะไรทั้งนั้น”

“ครับคุณแม่” ปราภพพยักหน้า

แล้วต่อจากนั้นทั้งห้าคนก็ลงมือทานอาหารต่อแบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ก้มหน้าก้มตาทานอย่างเดียว

 

 

ประภาเดินเข้ามาที่ห้องนอน โดยมีสามีกับลูกชายเดินตามมา เมื่อเดินเข้ามาถึงเธอก็กระแทกตัวลงนั่งบนเตียงนอนอย่างหงุดหงิด

“โธ่เอ๊ย!”

“คุณเป็นอะไร...คุณภา” เขมนันท์แกล้งถาม

ภูริชจึงถามผู้เป็นพ่อกลับ

“คุณพ่อถามให้คุณแม่ด่าเหรอครับ”

แล้วประภาก็หันขวับมาทำตาเขียวใส่สามี

“คุณอย่ามาทำเป็นถามฉัน ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้วว่าที่ฉันหงุดหงิดเพราะอะไร”

“ผมรู้...”

“รู้แล้วถามเพื่อ? ”

“ผมก็แค่อยากถาม”

“คุณไปให้ไกลฉันเลย ตอนนี้ฉันกำลังหงุดหงิด กำลังอารมณ์เสีย” เธอออกปากไล่ทันที

เขมนันท์มองภรรยาอย่างไม่พอใจ

“นี่คุณกล้าไล่ผมเหรอ”

“คุณพ่อไปให้ไกลจากคุณแม่ก่อนเถอะครับ ตอนนี้คุณแม่กำลังอารมณ์ไม่ดี...น้ำเชี่ยวอย่าเพิ่งเอาเรือไปขวางครับ” ชายหนุ่มบอกผู้เป็นพ่อ

อีกฝ่ายจำต้องพยักหน้า

“เออ...ก็ได้” แล้วก็เดินออกไปอย่างหัวเสียที่ถูกไล่

“เอ้อ คุณแม่ครับ...” เขากำลังจะพูดกับผู้เป็นแม่

แต่กลับถูกตวาด

“แกก็ไปให้พ้นแม่เหมือนกัน”

เรียกได้ว่าถ้าเธออารมณ์เสียหรือหงุดหงิดเมื่อไหร่ คนที่อยู่ใกล้ตัวเธอไล่ออกไปหมด เพราะเธออยากอยู่คนเดียว แล้วภูริชก็เดินออกไปอีกคน

เมื่อได้อยู่คนเดียวประภาก็กรี๊ดเสียงดังเพื่อระบายความหงุดหงิดที่มีอยู่ในตอนนี้ เธอกำมือแน่น

“มีความสุขกันดีเหลือเกินนะ...สักวันเถอะ...สักวัน...ทุกคนจะไม่ได้มีความกันแบบนี้แน่ คอยดูแล้วกัน” เธอพูดราวกับคิดจะทำอะไร คนอย่างเธอน่ากลัวขึ้นทุกวัน จนคล้ายกับคนจะเป็นบ้า...บ้าทรัพย์สมบัตินั่นเอง

 

 

เมื่อถูกผู้เป็นแม่ไล่...ภูริชก็ออกมานั่งดื่มที่ผับกับสาวๆ แก้เซ็ง โดยลืมชลิตาไปเลย ตอนนี้มีสาวๆ สามคนนั่งอยู่กับเขา คอยเอาใจเขาด้วยการป้อนไวน์ให้ ซึ่งเขาก็ชอบแบบนี้อยู่แล้ว...แล้วอยู่ๆ ก็มีน้ำสาดใส่หน้าสาวๆ ทั้งสามคนจนเปียกปอนไปหมด พวกหล่อนกรี๊ดกร๊าดอย่างไม่พอใจ ภูริชรีบเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็เห็นว่าเป็นชลิตา

“ลิต้า...”

“ใช่ค่ะ ลิต้าเอง” เธอพยักหน้ายิ้มจางๆ ก่อนจะชี้ไปที่ผู้หญิงทั้งสามคน “ที่คนไม่ยอมไปหาลิต้าหลายวันก็เพราะคุณลืมลิต้าแล้วใช่ไหม คุณถึงมานั่งอยู่กับอีพวกนี้น่ะ”

“นี่แฟนพี่เหรอคะ” ผู้หญิงหนึ่งในสามคนถาม

ภูริชโบกไม้โบกมือพัลวัน

“ไม่ใช่ๆ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แฟนพี่ เขาเป็นแค่คนที่พี่รู้จักก็เท่านั้นเอง”

เมื่อได้ยินผู้ชายที่เคยนอนกับเธอพูดเช่นนั้นชลิตาก็ถึงกับอึ้งไประคนเสียใจ จนน้ำตาไหลพราก

“คุณพูดแบบนี้ได้ยังไงคะภู นี่คุณได้กินฉันแล้วคุณคิดจะเทฉันงั้นเหรอคะ ฉันไม่ยอมนะคะ”

“ไม่ยอมแล้วคุณจะทำอะไร” พูดเหมือนท้าทาย

เธอปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนจะยิ้มร้ายใส่เขา

“คุณอยากรู้เหรอคะ ว่าฉันจะทำอะไร” แล้วเธอก็หันไปทางแขกทุกคนที่อยู่ในผับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง “ผู้หญิงทุกคนฟังทางนี้นะคะ ผู้ชายคนนี้ชอบฟันผู้หญิงแล้วเททิ้งเหมือนขยะ ใครที่ไม่อยากถูกผู้ชายคนนี้กินแล้วเทก็อย่าไปหลงคารมของเขาเด็ดขาด เห็นหน้าหล่อๆ แบบนี้แต่ร้ายนัก ฉันเคยถูกเขาหลอกมาแล้วค่ะ”

“นี่เธอทำบ้าอะไร หา!” เขาลุกขึ้นประจันหน้าอย่างไม่พอใจ ส่วนผู้หญิงที่นั่งด้วยก็ลุกหนีไปหมดแล้ว

ชลิตามองหน้าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตาต่อตา ฟันต่อฟัน

“ฉันก็กำลังทำให้ผู้หญิงทุกคนเขารู้นิสัยใจคอของคุณไงคะ ว่าคุณเป็นคนยังไง...พวกเขาจะได้ไม่ต้องถูกคุณหลอกเหมือนฉัน”

“ฉันไม่ได้หลอกเธอ เธอให้ท่าฉันเอง”

“ช่างกล้าพูดออกมาได้” เธอแค่นหัวเราะ “คุณจำไม่ได้แล้วเหรอคะ ว่าก่อนที่คุณจะได้ตัวฉันไป...คุณเคยพูดอะไรกับฉัน”

“ฉันลืมไปหมดแล้ว” ตอบแบบเลี่ยงๆ

“อ้อ นี่ดีเนอะ ลืมง่ายดี...หน้าตัวเมียเห็นๆ กล้าโยนความผิดให้ผู้หญิง ทั้งที่ตัวเองผิด คนอย่างคุณไม่สมควรมีใครรักหรอกค่ะ หรือถ้าใครอยากจะเอาคุณไปทำพันธุ์ก็ต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะคนอย่างคุณมันน่าทุเรศสิ้นดี” พูดจบเธอก็สาดน้ำใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างโมโหระคนเสียใจ และเดินผละไปทันที

ภูริชมองตามคนที่เพิ่งจะสาดน้ำใส่หน้าที่เดินออกไปเมื่อครู่อย่างอารมณ์เสีย

“ยายบ้าเอ๊ย!” แล้วเขาก็หันไปเจอสายตาของทุกคนที่มองมาที่เขาด้วยความรังเกียจ เขาจึงตวาดใส่ “มองฉันทำไมวะ อยากมีปัญหาหรือไง”

ทุกคนจึงหลบตาเขาอย่างกลัวๆ

ภูริชรีบเดินออกไป เพราะขืนอยู่ต่อก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ตอนนี้ผู้หญิงทั้งหลายแหล่ไม่กล้าเข้าใกล้เขาเลย พวกหล่อนคงจะได้ยินที่ชลิตาพูดจึงรังเกียจเดียจฉันเขา คิดแล้วก็แค้นชลิตาที่บังอาจมาประจานเขาต่อหน้าคนหมู่มาก ทำให้เขาอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเลยทีเดียว...โคตรที่จะแค้นสุดๆ

 

 

วันถัดมา...เป็นเอกนั่งเขียนข้อความลงบนสมุดไดอารี่ส่วนตัวอยู่ที่ศาลาหลังบ้าน เขียนถึงความฝันของตัวเองอย่างบรรจง

‘คนเราเกิดมาก็ต้องมีความฝันกันทุกคน อยู่ที่ว่าแต่ละคนฝันอยากเป็นอะไร แต่สำหรับผมแล้ว...ผมฝันอยากเป็นเชฟเพราะรักในการทำอาหาร และผมก็ได้ทำตามความฝันแล้ว แต่มีอีกหนึ่งความฝันที่ผมยังไม่ได้ลงมือทำ นั่นก็คือการเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง อันนี้ผมฝันมานานมากกก...เพราะยังไม่มีเงิน รอเก็บเงินให้ได้เยอะๆ ก่อน สัญญาว่าอีกไม่นาน’

เขาเขียนจบแล้ว เขายิ้มให้กับสิ่งที่ตัวเองเขียนลงไปบนสมุดไดอารี่ มันเป็นความฝันของเขาที่ยังไม่ได้ทำ เพราะไม่มีโอกาส และเพราะยังขาดทุนทรัพย์ รออีกสักหน่อย เขาจะทำแน่นอน

แล้วอยู่ๆ สมุดไดอารี่ก็ถูกกระชากไปจากมืออย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหันไปมองคนกระชากก็เห็นว่าเป็นปาณัทนั่นเอง เขาไม่พอใจ

“นายเอาสมุดไดอารี่ของฉันมานี่นะโว้ย”

“เดี๋ยวก่อนสิ...ฉันขออ่านก่อน ฉันจะอ่านดูว่านายเขียนอะไรลงไปบ้าง” ปาณัทยิ้ม ก่อนจะก้มลงอ่าน

เป็นเอกลุกขึ้นจะกระชากหนังสือกลับ

“นายอ่านไม่ได้”

“ทำไมล่ะ มันเป็นความลับนักหรือไง”

“ไม่ใช่ความลับ”

“ถ้างั้นฉันจะอ่าน” เขาดื้อดึงจะอ่านให้ได้ แล้วก็ก้มหน้าอ่านจนจบ ก่อนจะยิ้มให้น้องชาย “ไม่เห็นมีอะไรจะต้องปิดบังเลยนี่...ที่แท้นายก็มีความฝันอยากจะเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง แล้วทำไมนายไม่ไปบอกคุณย่าล่ะ ท่านช่วยนายได้นะ นายไม่เห็นต้องมาเขียนลงสมุดไดอารี่แบบนี้เลย”

“ฉันไม่อยากรบกวนท่าน...ฉันอยากจะลงทุนเปิดร้านด้วยเงินที่ฉันหามาได้เอง มันคือความภูมิใจของฉัน” เขาว่า

“อ้อออ...” ผู้เป็นพี่ชายลากเสียงยาว “นายเป็นคนเก่งมากไอ้น้องชาย คนแบบนี้ฉันชอบมาก...เอ้อ ว่าแต่ทำไมนายไม่ลองไปลงแข่งทำอาหารในรายการแข่งขันทำอาหารล่ะ เผื่อจะชนะและได้เงินมาลงทุนเปิดร้าน”

“แบบนั้นฉันไม่เอาด้วย ยังไงฉันก็แพ้คนอื่นอยู่ดี”

“ถ้าไม่ลองแล้วนายจะรู้ได้ยังไง”

“เอาเป็นว่าฉันจะทำงานเก็บเงินด้วยสองมือสองเท้าของฉันเอง สักวันหนึ่งฝันของฉันจะเป็นจริง”

“สู้ๆ นะน้องชาย ฉันขอเป็นกำลังใจให้นาย” ปาณัทตบไหล่ให้กำลังใจน้องชายเบาๆ

อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ

“ขอบคุณนายมาก”

“ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ครับผม” เขาตะเบ๊ะเหมือนตำรวจ

ผู้เป็นพี่ชายถึงกับหัวเราะออกมา น้องชายจึงหัวเราะตาม แล้วทั้งสองคนก็ประสานเสียงหัวเราะกันอย่างชอบใจ ช่างเป็นภาพของพี่น้องฝาแฝดที่น่ารักเหลือเกิน ใครได้เห็นก็ต้องอมยิ้มตามๆ กันแน่นอน

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.