บทที่๒๕

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่๒๕

ทั้งห้าคนนั่งอยู่ในห้องโถง คุยกันเรื่องทั่วไป แต่เป็นเอกเงียบ เพราะยังไม่ชิน จนกระทั่งพรรณนิภาถามว่า

“ง่วงนอนหรือยังลูก”

“ผมยังไม่ง่วงครับ” เป็นเอกสั่นศีรษะ

ปราภพจึงบอกว่า

“ถ้ายังไม่ง่วงก็นั่งคุยกันก่อน จะได้สร้างความคุ้นชินนะ ว่าแต่ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า”

“แผลค่อยดีขึ้นแล้วครับ และเจ็บน้อยลง” เขาว่า

แล้วท่านก็หันไปทางเป็นเอก

“เอ้อ ย่าคิดว่าถ้าตาเอกหายดี ย่าจะจัดงานต้อนรับการกลับมาบ้านของตาเอก...ตาปราภพ ยายพรรณ แกสองคนมีความคิดเห็นว่ายังไง” และหันไปทางลูกชายกับลูกสะใภ้

ทั้งสองคนยิ้มรับ ปราภพพูดว่า

“ก็ดีเหมือนกันครับคุณแม่ ผมเห็นด้วยกับความคิดของคุณแม่ครับ”

“แต่ผมคิดว่าไม่ต้องหรอกครับ” เป็นเอกแย้ง

ปราภพจึงหันไปถามลูกชายฝาแฝดอย่างแปลกใจ

“อ้าว! ทำไมล่ะ”

“เอ้อ คือผมไม่อยากจะให้มันเอิกเกริกน่ะครับ”

“ไม่ได้จ้ะ” ท่านสั่นศีรษะ “งานต้อนรับการกลับมาบ้านของหลานจะต้องเกิดขึ้น ต้องให้สังคมได้รู้ว่าตระกูลบวรเทพมีหลานชายฝาแฝด พวกเขาจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร และพวกเขาจะได้ไม่งงถ้าเจอหลานชายของย่าทั้งสองคนที่ใดที่หนึ่งพร้อมกัน”

“ที่คุณย่าพูดก็มีเหตุผลนะลูก” พรรณนิภาว่า

ปาณัทจึงตบไหล่น้องชาย

“นายอย่าขัดใจคุณย่าสิ...ที่คุณย่าทำก็เพื่อนายเลยนะ ตั้งแต่นายเกิดคุณย่ายังไม่ได้ทำอะไรเพื่อนายเลย เพราะนายถูกพลัดพรากไปซะก่อน...ส่วนฉัน คุณย่าทำเพื่อฉันมาเยอะแล้ว ก็เหลือแต่นายที่คุณย่ายังไม่ได้ทำอะไรให้...นะ...นายอย่าขัดใจคุณย่าเลย”

เป็นเอกจำต้องพยักหน้ารับ

“ก็ได้ครับ...ผมจะตามใจท่าน”

“ไม่เอา อย่าเรียกท่าน มาอยู่ที่นี่แล้วก็ต้องเรียกย่าว่าย่านะ ไหนลองเรียกดูสิ เรียกให้ย่าชื่นใจหน่อย”

“เอ้อ...ครับท่าน...เอ๊ย...ครับคุณย่า” เขายังทำตัวไม่ถูกสักเท่าไหร่นัก

ประมุขของบ้านยิ้มพอใจ

“ได้ยินแล้วย่าชื่นใจจัง”

“เรียกคุณย่าแล้ว...ก็เรียกพ่อกับแม่ด้วยสิ” ปราภพว่า

ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกอีกอยู่ดี

“คุณ...เอ้อ...คุณพ่อคุณแม่”

“ฉันรู้สึกเอ็นดูตาเอกจังเลยค่ะคุณ ดูสิคะ ยังเรียกไม่ค่อยถูก” พรรณนิภายิ้มเอ็นดูลูกชายฝาแฝดอีกคน

ผู้เป็นสามีพยักหน้า

“ก็ลูกยังไม่คุ้นชินนี่คุณพรรณ การเรียกก็อาจมีผิดๆ ถูกๆ บ้างเป็นธรรมดา เดี๋ยวสักพักก็ชินเอง”

“ค่ะคุณ” เธอพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะหันไปทางเป็นเอก “อ้อ ตาเอก...แม่ได้บอกให้นายอเนกค์ไปขนของของลูกที่ชุมชนคลองรักษ์มาให้ลูกในวันพรุ่งนี้แล้ว”

“ผมขอไปด้วยได้ไหมครับ...ผมอยากจะแวะไปเยี่ยมแม่เพียรที่โรงพยาบาลด้วยครับ” เป็นเอกบอก

ผู้เป็นย่าสั่นศีรษะ

“ไม่ได้จ้ะ ตอนนี้หลานเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล เพราะฉะนั้นยังออกไปไหนไม่ได้ เดี๋ยวมันจะกระทบกระเทือนแผล และเดี๋ยวมันจะหายช้า”

“ให้เป็นเอกไปเถอะครับคุณย่า เดี๋ยวผมจะไปเป็นเพื่อนเขาเอง” ปาณัทรีบอาสา

“อ้าว! แล้วงานที่บริษัทล่ะ” ผู้เป็นพ่อทำหน้างง

อีกฝ่ายยิ้ม

“พรุ่งนี้ไม่มีงานด่วนอะไร เข้าบริษัทช้าคงไม่เป็นไรหรอกครับคุณพ่อ”

“เอ้า! ก็ตามใจแก”

แล้วต่อจากนั้นทั้งห้าคนก็นั่งคุยกันอีกหลายประโยค เพราะเวลานี้ยังไม่มีใครง่วงนอน จึงยังไม่กลับขึ้นห้องกัน

จะว่าไปถึงปาณัทกับเป็นเอกจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน แต่บุคลิกและการแต่งตัวไม่เหมือนกัน...ปาณัทจะแต่งตัวด้วยชุดสูทเท่ๆ แบบนักธุรกิจ และใส่แว่นตาหนาเตอะ ก็ดูเท่ไปอีกแบบ...ส่วนเป็นเอก รายนี้จะแต่งตัวแบบเรียบง่าย แค่เสื้อยืดกับกางเกงยีน แบบลุยๆ พร้อมลุยทุกสถานการณ์ ทั้งสองคนจึงต่างกันมาก แต่ก็ยังเข้ากันได้ดีทีเดียว

 

เช้าวันใหม่...เป็นเอกตื่นเร็ว เขาลงมาจากห้องเพื่อสูดอากาศยามเช้านอกบ้าน จะว่าไปบรรยากาศที่นี่ก็ดีเหมือนกัน รอบๆ คฤหาสน์มีแต่ดอกไม้และต้นไม้เต็มไปหมด สร้างความสดชื่นให้คนที่ได้มาพักอาศัยที่นี่ แล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจเดินเล่น ดูนั่นดูนี่ เพื่อสร้างความคุ้นชินกับที่นี่

แล้วก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งทักจากข้างหลัง

“ตื่นเร็วจังหลานอา” เป็นเสียงของประภานั่นเอง

เป็นเอกจึงหันหลังกลับไปมอง

“อ้าว...คุณ...เอ้อ...คุณอา”

“จ้ะ อาเอง” เธอยิ้ม ไม่ใช่รอยยิ้มที่มาจากใจจริงๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่เกิดจากการเสแสร้งล้วนๆ “เมื่อคืนเป็นยังไงบ้างจ๊ะ นอนหลับสบายดีไหม”

“ผมนอนไม่ค่อยหลับเลยครับ” ชายหนุ่มตอบ

ผู้เป็นอาแค่นหัวเราะ

“เออ นั่นสินะ อาจเป็นเพราะนอนแปลกที่ก็เลยทำให้นอนไม่หลับ แต่อยู่ไปๆ เดี๋ยวก็นอนหลับสบายเองแหละ”

“ครับ” พูดสั้นๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

อีกฝ่ายจึงถามต่อ

“แล้วนี่แก...เอ้อ...แล้วนี่หลานมาเดินทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ”

“อ้อ ผมมาเดินเล่นน่ะครับคุณอา เพื่อสร้างความคุ้นชินกับที่นี่ครับ” เขาพูดพลางยิ้มพลาง

“จ้ะ อีกไม่นานเดี๋ยวก็เกิดความคุ้นชินเองแหละ” เธอแสร้งยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า “เอ้อ อามีเรื่องอยากจะเตือนหลานไว้หน่อยนะ”

“เรื่อง? ” ทำหน้าแปลกใจ

“ก็เรื่อง...” กำลังจะพูดเป่าหูหลานชาย แต่ก็ดันมีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง

“อ้าว! ตาเอก มายืนอยู่ตรงนี้เอง” ปราภพนั่นเอง โชคดีที่เขาเดินเข้ามาขัดจังหวะไม่ให้ประภาพูดเป่าหูเป็นเอก มาทันเวลาพอดี เมื่อเดินมาถึงตัวน้องสาวเขาก็ถามว่า “แกมาพูดอะไรกับหลาน ฮึ! ยายภา”

“ภาก็แค่มาถามหลานว่าเมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหม...ก็เท่านั้นเองค่ะ” พูดจบเธอก็ยิ้มให้พี่ชาย

ปราภพจึงถามลูกชาย

“จริงเหรอตาเอก”

เป็นเอกพยักหน้ายิ้มๆ

“ครับคุณพ่อ” ตอนนี้เขาเรียก ‘คุณพ่อ’ ได้ถนัดปากแล้ว ทำให้ผู้เป็นพ่อยิ้มออก

แล้วเขาก็หันไปทางน้องสาว

“แกอย่าพูดอะไรที่ทำให้หลานไม่สบายใจล่ะ”

“พี่ก็ชอบมองภาในแง่ร้ายตลอด ใช่สิคะ ภาไม่เคยดีในสายตาของพี่กับคุณแม่เลย...ภาขอตัวก่อนนะคะ” เธอพูดอย่างน้อยใจ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

ปราภพมองตามน้องสาวและถอนหายใจเฮือก

“นิสัยของแกเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ สินะ” เขาพึมพำ

ก่อนจะหันกลับมาหาลูกชาย

“แล้วนี่ลูกมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ”

“อ้อ ผมมาเดินเล่น ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย สูดอากาศยามเช้า และเพื่อสร้างความคุ้นชินกับที่นี่น่ะครับ” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ

“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ” เขายังคงถามลูกชาย

“อากาศดีมากเลยครับคุณพ่อ” เขามองไปรอบๆ “และบรรยากาศที่นี่ก็ดีด้วย มีต้นไม้กับดอกไม้เต็มไปหมด...ผมก็เริ่มจะคุ้นชินบ้างแล้วล่ะครับ”

“ต้นไม้กับดอกไม้เหล่านี้ คุณย่าเป็นคนไปซื้อมาปลูกเองเลยนะ เพราะเป็นคนชอบไม้ดอกไม้ประดับ” ปราภพชี้ไปที่ต้นไม้และดอกไม้ทั้งหมด “โดยเฉพาะต้นนั้น...” เขาชี้ไปที่ต้นชวนชม ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง สวยงามทีเดียว “คุณย่าชอบต้นชวนชมมาก เพราะตอนที่คุณปู่กับคุณย่าแต่งงานกันใหม่ๆ คุณย่าเคยเล่าให้พ่อฟังว่าคุณปู่ซื้อต้นชวนชมให้ท่านเป็นของขวัญวันแต่งงาน ท่านจึงรักต้นนี้มาก เพราะเป็นตัวแทนของคุณปู่”

“เอ้อ แล้วคุณปู่ล่ะครับ ไปไหน” เป็นเอกถามอย่างสงสัย

ผู้เป็นพ่อทำหน้าเศร้าเล็กน้อย

“คุณปู่เสียไปนานหลายปีแล้ว...ก่อนที่พ่อกับแม่จะแต่งงานกัน ท่านเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจน่ะ และรูปของท่านก็ถูกแขวนไว้ตรงบันไดนั่นแหละ”

“อ้อครับ” เขายิ้ม “ที่แท้รูปที่แขวนอยู่ตรงบันไดก็เป็นรูปของคุณปู่นั่นเอง ถึงว่าละ หน้าคุณปู่เหมือนคุณพ่อมากเลยครับ หล่อเหมือนกันเลย”

อีกฝ่ายพยักหน้า

“อืมม์ ใครๆ ก็บอกว่าพ่อกับคุณปู่หน้าเหมือนกัน แม้กระทั่งคุณย่าก็ว่าแบบนั้นเหมือนกัน”

“ครับ” เขาพูดเพียงสั้นๆ เท่านั้น

แล้วปาณัทก็เดินออกมาเจอพ่อกับน้องชายกำลังพูดคุยกัน

“อ้าว! คุณพ่อกับเป็นเอกกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอครับ” เมื่อเขาเดินมาถึงตัวทั้งสองคนก็ถามทันที

“พ่อกับตาเอกก็คุยเรื่องทั่วไปนั่นแหละ” ผู้เป็นพ่อบอก “เอ้อ แล้วที่แกมาหาพ่อกับตาเอกมีอะไรหรือเปล่า”

ชายหนุ่มจึงบอกว่า

“ผมเดินหาคุณพ่อ เพราะผมว่าจะขอเอาสมุดไดอารี่ของคุณพ่อให้เป็นเอกอ่านน่ะครับ”

“โธ่! นึกว่าเรื่องอะไร ก็ไปเอาสิ...พ่ออนุญาต”

“ขอบคุณครับคุณพ่อ” เขารีบประนมมือไหว้ด้วยท่าทางดีใจ ก่อนจะเดินไปกอดคอน้องชาย “ไป! ไปกับฉัน ฉันจะพานายไปอ่านสมุดไดอารี่ของคุณพ่อ” แล้วเดินกอดคอกันออกไป

ปราภพมองตามลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนแล้วอมยิ้ม

“พอพ่ออนุญาตก็รีบกอดคอกันไปเลยนะ ดูท่าแล้วคงจะอยากให้น้องชายฝาแฝดอ่านมากสินะ”

 

เมื่อเข้าไปเอาสมุดไดอารี่ของผู้เป็นพ่อแล้ว ปาณัทก็พาเป็นเอกไปนั่งอ่านที่ห้องนอนของเป็นเอก...เป็นเอกรับสมุดมา

“นายอ่านดูนะ ไอ้น้องชาย” ปาณัทบอกยิ้มๆ

อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะก้มหน้าเปิดสมุดอ่าน เขาอ่านไปเรื่อยๆ เห็นข้อความยาวมาก แต่เขาก็ตั้งใจอ่านจนจบ...และเมื่ออ่านจบเขาก็รู้สึกเข้าใจพ่อกับแม่ และย่ามากขึ้น รู้ว่าพวกท่านไม่ได้เป็นคนเอาเขาไปทิ้งจริงๆ แต่มีคนขโมยเขาไป และพวกท่านก็เสียใจมาก พยายามตามหาเขามาตลอด แต่ก็ไม่พบ คนที่พบเขาคนแรกกลับเป็นปาณัท ซึ่งเป็นพี่ชายฝาแฝด

“ตั้งแต่ตอนที่แม่เพียรบอกฉันว่าแกไปเจอฉันถูกทิ้งข้างถังขยะและเก็บฉันไปเลี้ยง ฉันก็เข้าใจผิดคิดว่าคุณพ่อกับคุณแม่เป็นเอาฉันไปทิ้ง และคิดไปต่างๆ นานาว่าพวกท่านไม่รักฉัน พวกท่านถึงเอาฉันไปทิ้ง แต่เมื่อได้อ่านสมุดไดอารี่ของคุณพ่อที่เขียนถึงฉัน...ฉันก็เข้าใจท่านกับคุณแม่ แล้วก็คุณย่ามากขึ้น พวกท่านไม่ได้เอาฉันไปทิ้ง แต่ฉันถูกขโมยไป มีคนพลัดพรากฉันไปจากคุณพ่อคุณแม่ และนาย...คุณพ่อกับคุณแม่ และคุณย่าเองก็คิดถึงฉันมาตลอด ส่วนนายก็เพิ่งรู้ความจริงเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาคุณพ่อกับคุณแม่ไม่เคยบอกนาย เพราะพวกท่านมีเหตุผลถึงไม่บอกนาย ฉันนี่แย่จริงๆ เคยว่าคุณพ่อกับคุณแม่ไว้เยอะเลย บาปหนักเลยฉัน” เป็นเอกทำหน้าเศร้า

ผู้เป็นพี่ชายจึงตบไหล่เบาๆ

“นายไม่ผิด...เพราะนายไม่รู้ความจริงไง นายถึงว่าพวกท่าน แต่วันนั้นนายก็ขอโทษพวกท่านแล้วนี่”

“ใช่! ฉันขอโทษพวกท่านแล้ว แต่ฉันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี” เขาทำหน้าเศร้าอีก เพราะยังรู้สึกผิดพ่อแม่ที่เคยไปว่าพวกท่านไว้เยอะ และยังคงรู้สึกแบบนี้ไปอีกนาน

แล้วประตูก็ถูกเปิดออก ปราภพกับพรรณนิภาเดินเข้ามาในห้อง...พรรณนิภาจึงพูดขึ้นว่า

“ลูกไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น พ่อกับแม่ไม่เคยโกรธลูกเลย และตลอดระยะเวลาที่ลูกหายไปไม่มีวันไหนเลยที่พ่อกับแม่จะไม่คิดถึงลูก...ถึงแม้จะมีตาป้องอยู่ทั้งคนก็เถอะ แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยลืมลูกที่ถูกพลัดพรากไป พ่อกับแม่เสียใจมาก พยายามตามหาลูกมาตลอด แต่ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ทั้งจ้างนักสืบให้ช่วยตามหาก็แล้ว ก็ยังไม่พบอีกอยู่ดี จนเกือบจะท้อใจ แต่โชคดีที่ตาป้องไปพบลูกก่อน ทำให้พี่น้องฝาแฝดได้พบกัน แม่ปลื้มใจที่สุด”

“พ่อเองก็ปลื้มใจลูกทั้งสองคนเหมือนกัน” ผู้เป็นพ่อยิ้ม หันไปทางเป็นเอก “พ่ออยากขอบคุณคุณเพียรเก็บลูกไปเลี้ยง และสั่งสอนให้ลูกเป็นคนดี ให้เป็นคนขยัน...ลูกทั้งสองคนคือความภูมิใจของพ่อกับแม่”

เป็นเอกรีบลุกจากเตียงนอน และจะคุกเข่า แต่ยังรู้สึกเจ็บแผล

“โอ๊ย!”

“ลูกจะทำอะไรน่ะ” ปราภพถามอย่างแปลกใจ

ปาณัทจึงเป็นคนตอบแทน

“นายเอกเขาจะก้มลงกราบคุณพ่อกับคุณแม่น่ะครับ”

พรรณนิภารีบจับไหล่ลูกชายฝาแฝดอีกคนทั้งสองข้างให้ลุกขึ้น

“ลุกขึ้นเถอะลูก ไม่ต้องทำแบบนี้ ลูกยังเจ็บแผลอยู่”

“ผมอยากกราบคุณพ่อกับคุณแม่สักครั้ง หลังจากพวกเราถูกพลัดพรากจากกันครับ” เขาว่า

ผู้เป็นแม่สั่นศีรษะ

“ไม่ต้องลูก...ไม่ต้อง...ลุกขึ้นกลับไปนั่งที่เดิม”

เป็นเอกจึงลุกขึ้นกลับไปนั่งบนเตียงอย่างว่าง่าย

“ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วนะครับ”

“นั่นแหละ...พ่อกับแม่ถึงบอกว่าไม่เคยโกรธลูกเลย เข้าใจอยู่ว่าที่ลูกว่าพ่อกับแม่ไว้เยอะก็เพราะลูกยังไม่รู้ความจริง เรื่องมันผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป ไม่ต้องไปสนใจ ในเมื่อตอนนี้พวกเราก็ได้พบเจอกันแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเราต้องสนใจกับปัจจุบัน อดีตก็ปล่อยให้มันผ่านไป...และลูกรู้ไหมว่าแม่รอเวลานี้มานานมากแค่ไหน วันที่พวกเราสี่คนพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา...แม่รักลูกทั้งสองคนมากเลยนะ” เธอยิ้มพลางร้องไห้พลางอย่างสุดซึ้งระคนมีความสุข

ปราภพมองหน้าลูกชายฝาแฝดสลับกันไปมา

“พ่อเองก็รักลูกทั้งสองคนเหมือนกัน รักมากด้วย”

“ผมก็รักคุณพ่อกับคุณแม่ครับ” ปาณัทบอกยิ้มๆ

ส่วนเป็นเอกก็บอกรักพ่อกับแม่เช่นกัน

“ผมเองก็รักคุณพ่อกับคุณแม่เหมือนกันครับ อาจจะรักไม่เท่ากับปกป้องที่อยู่กับคุณพ่อและคุณแม่ตั้งแต่เล็กจนโต ที่ถูกคุณพ่อกับคุณแม่เลี้ยงมากับมือ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ารักเสมอ”

“จ้ะ ถ้างั้นเรามากอดกันดีกว่านะ...แก้วตาดวงใจของพ่อกับแม่” เธอกับปราภพรีบอ้าแขนไปกอดลูกชายฝาแฝดทั้งสองคน

เห็นภาพสี่คนพ่อแม่ลูกกอดกันแล้วมันช่างเป็นภาพที่อบอุ่นยิ่งนัก อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ใครได้เห็นเป็นต้องอมยิ้ม...พ่อก็หล่อ แม่ก็สวย ลูกชายทั้งสองคนก็หล่อเหมือนพ่อ และวันนี้ที่รอคอยก็มาถึงแล้ว วันที่ได้พบเจอกัน ได้อยู่เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ

‘ลูกชายทั้งสองคนคือแก้วตาดวงใจของพ่อกับแม่ สิ่งอื่นใดก็ไม่สำคัญเท่ากับลูกอีกแล้ว พ่อกับแม่รักลูกที่สุด’

 

ตอนแรกจะให้นายอเนกค์ขับรถตู้มาส่ง...แต่ปาณัทตัดสินใจขับรถเบนซ์สีขาวของตัวเองมากับเป็นเอกสองคน ระหว่างทางก็พูดคุยกันไปเรื่อยตามประสาพี่น้อง แล้วเป็นเอกก็พูดขึ้นว่า

“เดี๋ยวนายแวะไปที่โรงพยาบาลก่อนนะ”

“อ้าว! แล้วนายไม่ไปเอาของของนายที่ชุมชนคลองรักษ์ก่อนเหรอ” ปาณัทถามอย่างแปลกใจ

ผู้เป็นน้องชายสั่นศีรษะ

“ไม่...ตอนนี้ฉันอยากไปเยี่ยมแม่เพียรก่อน”

“ถ้างั้นก็ตามใจนาย” เขาพยักหน้า “โชเฟอร์อย่างฉันพร้อมขับรถไปทุกที่ ตามที่ผู้โดยสารอย่างนายจะสั่ง”

ทั้งสองคนพี่น้องพากันหัวเราะ เรียกได้ว่าพวกเขาสนิทกันได้เร็วมาก ทั้งที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ แต่มาพบเจอกันตอนโตแล้ว ก็นี่แหละที่เขาเรียกว่าพี่น้อง ต่อให้ถูกพลัดพรากจากกันไปนานเท่าไหร่ แต่ถ้ามาพบเจอกันอีกทีและจำได้ก็ยังเป็นพี่น้องกันอยู่ดีนั่นเอง

 

 

เมื่อมาถึงโรงพยาบาลปาณัทก็นำรถไปจอดที่โรงจอดรถ ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในโรงพยาบาล กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นสาม ซึ่งนางเพียรพักรักษาอยู่ที่ชั้นนั้น เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสาม ประตูลิฟต์ก็เปิดออก จากนั้นพวกเขาก็เดินไปยังห้องพักฟื้นของนางเพียร ซึ่งอยู่ไม่ไกลตัวลิฟต์เท่าไหร่นัก เดินมาถึงหน้าห้องเป็นเอกก็เป็นคนเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นพยาบาลพิเศษอยู่ด้วย ชายหนุ่มจึงถามว่า

“แม่เป็นยังไงบ้างครับคุณพยาบาล”

พยาบาลยิ้ม ก่อนจะตอบว่า

“อาการดีขึ้นค่ะ เริ่มจะตอบสนองได้บ้างแล้ว...เอ้อ เมื่อวานตอนที่คุณมาบอกลา คนไข้น้ำตาไหลด้วยนะคะ”

“จริงเหรอครับ” เขาทำหน้าอึ้งไป

อีกฝ่ายพยักหน้า

“จริงค่ะ”

แล้วเป็นเอกก็ขยับเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียง จับมือนางเพียรขึ้นมาและเอาหลังมือไว้ที่แก้มของเขา ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียง

“เมื่อวานแม่รับรู้ใช่ไหมครับว่าผมมาบอกลา แม่ถึงได้น้ำตาไหล และผมดีใจนะครับที่ได้รู้ว่าแม่อาการดีขึ้นแล้ว รีบๆ หายไวๆ นะครับแม่ ผมจะพาแม่ไปอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังใหญ่ กับครอบครัวของผม...ทุกคนใจดีมากเลยครับ ตอนนี้ผมเองก็เริ่มจะคุ้นชินกับพวกเขาแล้ว อ้อ เมื่อเช้าผมได้อ่านสมุดไดอารี่ของคุณพ่อของผมที่ท่านเขียนถึงผม...ท่านเขียนประมาณว่าผมถูกขโมยไปตอนที่คลอดใหม่ๆ

คนร้ายไปขโมยที่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่าคนร้ายมันเป็นใคร และตลอดระยะเวลาที่ผมหายไปคุณพ่อก็ตามหาผมตลอดมา แต่ก็ไม่พบ ทั้งจ้างนักสืบให้ช่วยตามหาก็ยังไม่พบอีกอยู่ดี จนท่านเกือบจะท้อใจแล้ว แต่โชคดีที่นายป้องมาเจอผมก่อน...ก็เลยไปบอกคุณพ่อกับคุณแม่ และพวกท่านก็ดีใจที่พบเจอลูกชายฝาแฝดอีกคนแล้ว

มีแต่ผมนี่แหละที่เข้าใจผิดมาตลอด คิดว่าพวกท่านเป็นคนเอาผมไปทิ้ง ความจริงแล้วผมถูกขโมยต่างหาก ผมเป็นลูกที่แย่มาก ที่ไปว่าคุณพ่อกับคุณแม่ไว้เยอะเลย เพียงเพราะความเข้าใจผิดแท้ๆ แต่พวกท่านก็บอกว่าไม่เคยโกรธผมเลย แถมยังคิดถึงผมตลอด รวมถึงคุณย่า ดูพวกท่านจะรักผมมากด้วยครับ...แม่ครับ...แม่รีบกลับมาหาไวๆ นะ ผมคิดถึงแม่นะ” เขาจูบไปที่หลังมือของนางเพียร

ทันใดนั้นเองอยู่ๆ ร่างของนางเพียรก็กระตุกขึ้นเป็นจังหวะ แล้วอยู่ๆ ก็แน่นิ่งไป ปาณัทกับเป็นเอกตกใจมาก เป็นเอกจึงหันไปถามพยาบาล

“แม่ของผมเป็นอะไรครับ”

พยาบาลรีบเข้ามาจับตรงอกข้างซ้ายของคนไข้ ซึ่งเป็นตำแหน่งของหัวใจ เมื่อจับดูเธอมีสีหน้าตกใจกว่าเป็นเอก

“คนไข้หัวใจหยุดเต้นแล้วค่ะ”

“หา! คุณพยาบาลว่าอะไรนะครับ” เขาตกใจมากกว่าเดิม “ไม่จริงใช่ไหมครับ”

“ตอนนี้ต้องพาคนไข้ไปที่ห้องฉุกเฉินด่วนค่ะ เราต้องรีบทำการปั้มหัวใจ” พยาบาลบอก

ชายหนุ่มพยักหน้า

“รีบพาไปเลยครับ” ก่อนจะพูดกับคนที่นอนอยู่บนเตียง “แม่อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเลยนะครับ”

พยาบาลรีบออกไปตามคุณหมอ สักพักก็เห็นบุรุษพยาบาลสองคนเข็นเตียงคนไข้อีกเตียงเข้ามา และยกนางเพียรไปนอนบนเตียงที่เพิ่งเข็นเข้ามา ก่อนจะเข็นออกไปทันที

เป็นเอกหันมาทางปาณัทที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเศร้าๆ

“ฉันกลัวว่าแม่เพียรจะเป็นอะไรไป”

ผู้เป็นพี่ชายจึงตบไหล่เบาๆ

“อย่าคิดมากสิ คุณน้าไม่เป็นอะไรหรอก”

“ฉันว่าพวกเรารีบตามไปที่ห้องฉุกเฉินดีกว่า ฉันเป็นห่วงแม่เพียร” เขารีบลุกขึ้น

แล้วทั้งสองคนพี่น้องก็เดินออกไปจากห้องทันที เร่งฝีเท้าไปที่ห้องฉุกเฉิน และเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องฉุกเฉินเป็นเอกก็เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจ พร้อมทั้งประนมมือไหว้

“เจ้าประคู้ณ ขออย่าให้แม่เพียรเป็นอะไรเลย”

 

 

ข้างในห้องฉุกเฉิน คุณหมอพยายามปั้มหัวใจหลายครั้ง แต่กราฟชีพจรในจอไม่ขึ้นเลย จนคุณหมอตัดสินใจหยุดปั้มทันที เขาสั่นศีรษะ ก่อนจะใช้ผ้าคลุมร่างอันไร้ลมหายใจของนางเพียร ในที่สุดนางก็จากไปอย่างสงบ ไม่ต้องทรมานกับโรคอีกแล้ว แล้วคุณหมอก็เดินออกไปจากห้องฉุกเฉิน

เป็นเอกรีบถามคุณหมอทันที

“แม่ของผมเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”

อีกฝ่ายหน้าเศร้าเล็กน้อย

“ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ คนไข้เสียชีวิตแล้วครับ สาเหตุเนื่องมาจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน บวกกับโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ ทำให้คนไข้ไม่สามารถทนกับสภาพได้ หมอขอตัวก่อนนะครับ” แล้วเดินกลับเข้าห้องฉุกเฉินไป

เป็นเอกถึงกับทรุดตัวร้องไห้โฮอย่างเสียใจ นี่แม่เพียรจากเขาไปแล้วจริงๆ เหรอ ที่แม่เพียรเคยพูดว่า

‘แม่ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกลูก เอ็งไม่ต้องกังวลหรอก แม่จะอยู่จนกว่าเอ็งจะได้พบกับพ่อแม่ที่แท้จริงของเอ็ง’

และวันนี้เขาก็ได้พบกับพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาแล้ว แม่เพียรถึงได้เดินจากเขาไปโดยไม่มีวันกลับ เป็นอะไรที่ทรมานสำหรับเขา กับการสูญเสียคนที่สำคัญคนที่สองของเขา เขาเสียใจมาก เพราะแม่เพียรเป็นคนที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กจนโต เขารักแม่เพียรมาก มากจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลย

“ทำไมๆๆ ...ทำไมแม่ต้องทิ้งผมไปด้วย ทำไมเราไม่อยู่ด้วยกันก่อน และในที่สุดปาฏิหาริย์ก็ไม่มีจริง ทำไม...” เขาพูดพลางร้องไห้พลาง

ปาณัทได้แต่มองอย่างสงสารและเห็นใจน้องชาย ก็ได้แต่ปลอบใจ

“คุณน้าท่านไปสบายแล้ว คนที่อยู่อย่างเราก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป และอีกอย่าง ท่านไม่ต้องทรมานอีกแล้ว นายอย่าร้องไห้เลย เดี๋ยวคุณน้าจะมีห่วง”

นางต้อยกับนิชาภัทรเดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นเป็นเอกนั่งร้องไห้ก็รู้สึกใจคอไม่ดี

“ไอ้เอก มันเกิดอะไรขึ้นวะ ไหนบอกข้ามาสิ” นางต้อยถาม

นิชาภัทรก็ถาม

“น้าเพียรเป็นอะไร หา! ไอ้เอก”

เป็นเอกจึงลุกขึ้นและไปกอดนางต้อยร้องไห้

“ป้าต้อยครับ แม่จากพวกเราไปแล้ว แม่ไม่อยู่กับพวกเราแล้วครับ”

“เอ็งพูดอะไรของเอ็งวะ”

“แม่หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน บวกกับโรคมะเร็งที่แม่เป็นอยู่ ทำให้แม่ไม่สามารถทนกับสภาพได้ แม่เลยจากพวกเราไปแบบนี้” พูดพลางร้องไห้พลางอย่างเสียใจ

นางต้อยกับนิชาภัทรพลอยร้องไห้ตามไปด้วย

“โธ่เอ๊ย! นังเพียร ทำไมเอ็งต้องด่วนจากข้าไปเร็วแบบนี้ด้วยวะ ไปแบบไม่ได้สั่งเสียอะไรเลย...ถ้าชาติหน้ามีจริงข้าขอให้เราเกิดมาเป็นเพื่อนกันอีกนะ”

“น้าเพียร...น้าไม่ต้องทรมานแล้วนะ ฉันขอให้น้าเดินทางไปสู่สรวงสวรรค์ คอยมองไอ้เอกลงมาจากบนนั้น น้าไม่ต้องเป็นห่วงมันนะ ตอนนี้มันก็ได้อยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของมันแล้ว...ฉันขอให้น้าหลับให้สบายนะ” พูดจบนิชาภัทรก็ร้องไห้อีก

ปาณัทมองทั้งสามคนอย่างเห็นใจ ก่อนจะเดินไปหลบตรงมุมหนึ่ง แล้วกดโทรหาผู้เป็นพ่อ

“คุณพ่อครับ ผมมีข่าวร้ายจะแจ้ง ตอนนี้คุณน้าเพียรเสียแล้วครับ เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ส่วนเป็นเอกร้องไห้หนักเลยครับ เพราะเสียใจ ผมจะอยู่ปลอบใจน้องก่อนครับคุณพ่อ แค่นี้นะครับ” แล้วก็วางสายไปด้วยสีหน้าเศร้าๆ

 

 

“โธ่! คุณเพียร...ไม่น่าด่วนจากไปเลย” พรรณนิภาพูดเศร้าๆ เมื่อผู้เป็นสามีบอกว่านางเสียชีวิตแล้ว

แล้วคุณนภาลัยก็พูดว่า

“และแล้วปาฏิหาริย์ก็ไม่เกิดขึ้นกับเพียร แม่ก็อุตส่าห์ไปปรึกษากับคุณหมอเรื่องการรักษามะเร็งของเพียร คุณหมอก็ได้แต่บอกว่าถ้าจะรักษาก็ต้องรอให้เพียรฟื้นก่อน แต่แล้วเพียรกลับไม่ฟื้นเลย แม่สงสารเพียรจริงๆ” น้ำตาของท่านไหลแบบไม่รู้ตัว คงเป็นเพราะรู้สึกสงสารนางเพียรที่ต้องมาด่วนจากไปเช่นนี้

“ผมเองก็รู้สึกสงสารคุณเพียรเหมือนกันครับคุณแม่ เขาไม่น่าจากไปเร็วขนาดนี้เลย หรือเขาคงจะอยู่ต่อสู้กับโรคไม่ได้...ที่เขาไปแบบนี้ เขาคงไม่ต้องทรมานอีกแล้ว เขาคงหลับสบาย ไปอยู่บนสรวงสวรรค์ มองลงมาดูเป็นเอกจากบนนั้น” ปราภพพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ

ผู้เป็นแม่รีบปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนจะถาม

“เอ้อ แล้วนี่จะตั้งศพเพียรที่วัดไหนล่ะ”

“ก็คงเป็นวัดแถวๆ ชุมชนคลองรักษ์นั่นแหละครับคุณแม่”

“พวกเราจะเป็นเจ้าภาพจนเสร็จงาน” ท่านบอก

อีกฝ่ายพยักหน้า

“ครับคุณแม่”

แล้วพรรณนิภาก็พูดว่า

“สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดในตอนนี้ก็คือสภาพจิตใจของตาเอก เขาคงจะเสียใจมากเลยนะคะ และเขาคงต้องการกำลังใจมากที่สุดค่ะ”

“ก็แน่นอนอยู่แล้วละ...ก็เพียรเป็นคนที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่แบเบาะนี่ เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องเสียใจมากอยู่แล้ว และเขาคงจะทำใจไม่ได้ เพราะมันกะทันหันเกินไป อย่าว่าแต่ตาเอกเลย ขนาดแม่เองแม่ก็ยังรู้สึกเสียใจเลย นี่ขนาดไม่เคยรู้จักเพียรมาก่อนนะ แม่ยังรู้สึกเสียใจได้ขนาดนี้ แล้วเป็นเอกล่ะ เขาจะเสียใจขนาดไหน แม่ไม่อยากจะนึกเลย” ท่านรู้สึกสงสารเป็นเอกที่ต้องมาเสียแม่ที่เคยเลี้ยงเขามาตั้งแต่แบเบาะ เขาคงจะเสียใจมากแน่นอน และคงจะยังทำใจไม่ได้ เพราะมันกะทันหันจริงๆ เป็นใครก็ทำใจยากกันทั้งนั้นแหละ

แล้วประภาก็เดินเข้ามาในห้องโถง มาทันได้ยินสิ่งที่แม่พูดพอดี เธอจึงถาม

“ใครเป็นอะไรเหรอคะคุณแม่ ทำไมต้องพากันเสียอกเสียใจด้วยคะ”

คุณนภาลัยจึงหันไปตอบคำถามลูกสาว

“ก็เพียร...คนที่เก็บตาเอกไปเลี้ยงเป็นลูกน่ะสิ เขามีภาวะหัวใจล้มเหลว แถมยังเป็นโรคมะเร็งอีก ตอนนี้เสียชีวิตแล้ว”

“ตายจริง!” เธอแกล้งทำเป็นตกใจ

“ก็ตายจริงๆ สิจ๊ะ” พรรณนิภาว่า

อีกฝ่ายโบกไม้โบกมือ

“ไม่ใช่ค่ะ ภาแค่อุทานเฉยๆ ค่ะ”

‘สมน้ำหน้า...ตายแล้วเหรอ ฉันอยากให้ไอ้เป็นเอกฆ่าตัวตายตามแม่เลี้ยงของมันไปจริงๆ เรื่องจะได้จบๆ และจะได้ไม่ต้องมีใครลงมือฆ่ามัน เพราะมันฆ่าตัวเองแล้ว’ เธอคิดในใจ พร้อมกับหัวเราะก้องในใจ

แต่ปากก็ถามไปอีกแบบ

“เอ้อ แล้วเขาตาย เอ๊ย แล้วเขาเสียตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะคะคุณแม่”

“ก็เพิ่งจะเสียสักพัก ตาป้องโทรมาบอก” ท่านว่า “แล้วแกจะไปร่วมงานศพกับแม่ กับตาปราภพ แล้วก็ยายพรรณไหมล่ะ”

“อ้อ แน่นอนค่ะ ภาต้องไปแน่นอนค่ะ...เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นคนสำคัญของครอบครัวเรา เพราะเขาเป็นที่เคยเก็บตาเอกไปเลี้ยง...เอ้อ แล้วจะไปกันตอนไหนเหรอคะ”

“เดี๋ยวก็จะไปแล้วละ เพราะตอนนี้เขาเตรียมย้ายศพไปที่วัด”

“ถ้างั้นเดี๋ยวภาขอตัวไปเตรียมตัวก่อนนะคะ” แล้วเธอก็ผลุนผลันออกไปทันที

แล้วคุณนภาลัยก็หันไปทางลูกชายกับลูกสะใภ้

“เดี๋ยวพวกเราไปเตรียมตัวไปงานศพกัน”

ปราภพกับพรรณนิภาพยักหน้าพร้อมกัน

“ครับคุณแม่”

“ค่ะคุณแม่”

ประมุขของบ้านลุกขึ้นเดินออกไป ลูกชายกับลูกสะใภ้ลุกเดินตามไป เพราะต้องไปเตรียมตัวเพื่อไปงานศพของนางเพียรในตอนเย็นนั่นเอง

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.