รอยยิ้มในวันนี้

หมากสามโลก ภาค ความทรงจำจากน้ำหมึกเรืองแสง

-A A +A

รอยยิ้มในวันนี้

          “อยากโดนฉันต่อยขนาดนั้นเลยรึ??”   ซีสจ์จ้องตาเขม็ง   “ได้!!!”   ระเบิดไฟพวยพุ่งจากทุกส่วนของร่างกาย   สีสันที่ปรากฏต่อสายตาของวิลเลี่ยมคือสีเดียวกับที่กำลังลุกไหม้บนผิวดาบของเขา   ซีสจ์พุ่งเข้าใส่ในขณะที่วิลเลี่ยมทำเพียงยืนมองร่างที่กำลังเข้าถึงตัว   รอยยิ้มแห่งความอาฆาต   คิดว่ามันจะไปถึงแต่สุดท้ายคือฝันที่คิดไปเอง   มันถูกหยุดด้วยฝ่ามือสีดำ   เป็นแรงที่เท่าเทียมหรือมากกว่าแต่ที่แน่ๆ สามารถปัดเป่าสีไฟออกจากกำปั้นไปจนหมด   “....นี่มันไม่ใช่เรื่องของแก   ถอยออกไป”   ซีสจ์ถลึงตาใส่ร่างปริศนาผู้เข้ามาขัดขวางด้วยความอาฆาต   “ไม่ใช่เรื่องของผมหรือครับ?   เห็นได้ชัดว่านี่มันชั้นเรียนของผม”   การต่อล้อต่อเถียงของคนทั้งสองรังแต่จะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น   “แล้วแกจะเสียใจ!!!”   ซีสจ์รีดไฟบนกำปั้นก่อนจะลามไปทั่วแขนข้างนั้น   ใบหน้าที่ดุดันขึ้นกลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้ใครที่มองหน้าเขาหากไม่เกิดความหวาดกลัวจนเป็นบ้าก็แทบจะล้มพับทั้งยืน  

          “เป็นแค่อาจารย์ชั้นต่ำ   อย่าริอ่านมาขวางทาง   ไอ้สวะ!!!”   ซีสจ์สะบัดแขนออกจากกรงขังอันแข็งแกร่ง   รัวหมัดฮุคเข้าใส่ร่างตรงหน้าอย่างรวดเร็ว   รุนแรงและต่อเนื่อง   ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่หมัดจะสร้างรอยขีดข่วนให้กับชุดหรือร่างกายของนิโคลัส   สร้างความอับอายและน่าสมเพชจนนักเรียนคนหนึ่งหลุดขำออกมา   ซีสจ์ที่กำลังเลือดร้อนถลึงตาใส่นักเรียนผู้โชคร้ายด้วยแววตาอาฆาตแค้นก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งไปที่ร่างนั้น   เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันทีที่พวกนักเรียนเห็นว่าชายหัวร้อนกำลังวิ่งตรงเข้ามา   “ไอ้สวะ!!”   ซีสจ์กระโดดขึ้นฟ้า   ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นในขณะที่ดวงตาสะท้อนภาพของนิโคลัสผู้ใช้มือข้างเดียวกำหมัดที่ลุกไหม้อย่างง่ายดาย   ซีสจ์เตะอัดเข้าใส่ร่างที่ประจันหน้าอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังถูกสกัดไว้ได้ด้วยหลังมืออีกข้างที่ตั้งการ์ดรับอย่างชำนาญแต่เพียงชั่วครู่   นิโคลัสเริ่มสังเกตเห็นถุงมือกำลังมีควันลอยขึ้นพร้อมกับนัยน์ตาที่เบิกกว้าง  

          แรงระเบิดแผ่รัศมีออกจากขาของนักเรียนตัวเล็ก   ควันและกลิ่นไหม้ฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ   “เป็นไงบ้างวะ?”   ซีสจ์ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง   จ้องกลุ่มควันที่กำลังบดบังการมองเห็นแต่เมื่อมันจางลง   เสียงหัวเราะของเขาก็พลันหยุดลงไปด้วย   แววตาที่มองทอดยาวออกไปกลับมาดุดันอีกครั้ง   “วู้ว!!   ไม่คิดเลยว่าจะมีกิฟท์ที่อันตรายแบบนี้ด้วย”   นิโคลัสสะบัดเสื้อหนังที่เต็มไปด้วยรอยไหม้   กระจายอยู่ทั่วบริเวณ   เหมือนกับคนไม่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดเมื่อครู่สักนิด   เขาจับปกเสื้อให้เข้าที่   เป็นจังหวะเดียวกับที่โทมัสสังเกตเห็นถุงมือมีรอยแหว่งขนาดใหญ่แต่ไม่มีบาดแผลหรือรอยฟกช้ำให้เห็นบนผิวหนัง  

          นิโคลัสเหลือบตามองซีสจ์   สีหน้าของอีกฝ่ายแสดงออกถึงความสงสัยปนไม่พอใจ   เพียงชั่วขณะที่ทั้งสองเล่นเกมจ้องตากัน   ซีสจ์มีอาการประหลาด   ริมฝีปาก   แขนและขาสั่นด้วยความกลัว   โทมัสสังเกตและคอยเก็บรายละเอียดอย่างสุขุม   พวกนั้นยืนค้างอยู่กับที่พักใหญ่ก่อนที่ซีสจ์จะเริ่มง้างมือที่กำหมัดแน่นยกขึ้นอย่างยากลำบาก   “โอ้!   ด้วยสภาพแบบนั้นยังคิดที่จะสู้ต่ออีกหรือครับ?”   นิโคลัสส่งสายตาอันเยือกเย็นดุจหอกน้ำแข็งที่กำลังเล็งปลายแหลมจี้ที่คอของนักเรียนโอหัง   “...มัน...จะมาก...ไปแล้วนะเว้ย!!!!”   อาการสั่นเทาหายเป็นปลิดทิ้ง   ซีสจ์พุ่งเข้าใส่นิโคลัสด้วยไฟโทสะอันร้อนแรง

          เปลวไฟสีเหลืองปกคลุมร่างกายซีสจ์ในขณะที่นิโคลัสทำเพียงแค่ยกแขนขึ้นจับที่ปลายหมวก   ดึงมันลงจนบังนัยน์ตาจนมิด   ไม่มีการตั้งการ์ดรับการจู่โจมที่กำลังจะมาถึงแต่ผู้ชมต่างรู้สึกว่าชายผู้นั้นจะสามารถหยุดการโจมตีจากอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็นเหมือนที่ผ่านมา  

          การจู่โจมอันหนักหน่วงถูกขัดด้วยการปรากฏตัวของร่างปริศนาที่กำลังหยุดยืนที่เบื้องหน้าของนิโคลัส   เด็กหนุ่มในเครื่องแบบนักเรียนทั่วไป   ส่วนสูงมากกว่านิโคลัส   ผมดำ   ใบหน้าเรียวหวานได้รูปแต่แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก   แขนเรียวยาวของเขายกขึ้น   ชี้นิ้วไปที่ใบหน้าของซีสจ์ผู้กำลังวิ่งตรงเข้ามา   “นี่แก...?!!”   ซีสจ์หลุดอุทานออกมาได้แค่นั้นก็ทรุดตัวลงกับพื้นราวกับคนไร้สติและถูกนักเรียนคนนั้นรับไว้ได้ทันอย่างหวุดหวิด

          “ผมขอโทษแทนเพื่อนของผมด้วยนะครับ”   วินเซอร์โอบอุ้มร่างไร้สติด้วยแขนทั้งสองข้าง   เขาและนักเรียนใต้อาณัติของซีสจ์จากไปอย่างเงียบสงบ   นำพาบรรยากาศตึงเครียดให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง  

          “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”   วิลเลี่ยมเดินตรงมาหาซาคาเรียส   เปลวไฟบนผิวดาบสลายไป   “ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะครับ”   ซาคาเรียสกล่าว   “ครับ”   วิลเลี่ยมยิ้ม   “ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ?”   เสียงจากร่างที่ถูกบดบังสร้างความประหลาดใจให้ทั้งซาคาเรียสและวิลเลี่ยม   โทมัสก้าวออกมา   สายตาที่มองมาที่พวกเขาจากทั่วทุกมุมมันมากเกินไปแต่ก็ไม่แปลกที่จะกลายเป็นจุดสนใจโดยฉับพลันอย่างงี้   โทมัสเดินนำออกจากโคลอสเซียม  

          “คนเมื่อกี้คือ….ผู้คุมประชาชนหรือครับ?”   เสียงกล่าวของโทมัสทำเอาวิลเลี่ยมหน้าถอดสีทันใด   เสียงหัวเราะดังออกมาคล้ายจะช่วยให้สถานการณ์ไม่ตึงเครียดจนเกินไป   “แหม   ผมละนึกว่าจะถูกคุณดุเรื่องที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องซะอีกนะครับ”   วิลเลี่ยมเกาหัว   ท่าทางและรอยยิ้มเหมือนกำลังพยายามเบี่ยงประเด็น   ไม่อยากกล่าวถึงสิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้   “ทำไมผู้คุมประชาชนถึงต้องตามหาผมครับ?”   วิลเลี่ยมมองดวงตาคู่นั้นพลันถอนหายใจเฮือกหนึ่ง   หลังเอนจนสัมผัสผิวกำแพง   “ถ้าให้เล่าที่นี่คงใช้เวลานาน   สนใจเปลี่ยนเป็นบ้านพักในป่าหลังนั้นแทนไหมครับ?   วันจันทร์ช่วงเที่ยง….”   “ก็ได้ครับ”   โทมัสตัดบท   เขาหันมองซาคาเรียส   สื่อสารผ่านทางสายตาและความเงียบอันไร้เสียงกล่าว   “ผมเรียกรถม้ามารอแล้วครับ   ตามผมมาเลยครับ”   ซาคาเรียสเดินนำไปสักพักก็หยุดลงเสียดื้อๆ   เหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้   “คุณวิลเลี่ยมกลับยังไงหรือครับ?”  

          เย็นวันนั้นโทมัส   ซาคาเรียสและวิลเลี่ยมร่วมเดินทางกลับบ้านด้วยกัน   จริงอยู่ที่มีคนขับรถม้าให้แล้วแต่ซาคาเรียสไม่ชอบให้ใครขับแทนตนเองจึงนั่งแท่นควบ   ทุกวินาทีที่เดินผ่านภายนอกของรถม้าก็เหมือนกับการท่องมิติที่แตกต่างหากแต่อีกด้านกลับเป็นความเงียบที่แสนน่าอึดอัด   “คุณซาคาเรียสเป็นคนที่ยิ้มง่ายและอัธยาศัยดีนะครับ”   ทิ้งเวลาอยู่พักหนึ่ง    “ครับ”   วิลเลี่ยมพยายามไม่เหลือบมองขึ้นไปเพราะอาจเห็นใบหน้าเย็นชานั้นแต่ก็ฝืนไม่ได้ที่จะมองในบางครั้ง   “หลังจากนี้ไปคุณซาคาเรียสจะยังมีความสุขแบบนี้ไหมครับ?”   วิลเลี่ยมเอ่ย   “หมายความว่ายังไงหรือครับ?”   โทมัสขมวดคิ้ว   “คุณก็น่าจะเห็นแล้วนะครับว่าผู้คุมประชาชนคนนั้นได้หมายหัวคุณซาคาเรียสในฐานะเจ้าชายตัวจริง   แม้เจ้าชายตัวจริงจะถูกปกปิดไว้แต่หลังจากนี้ไปผมคิดว่าจะมีแต่เรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้นไม่หยุดครับ”  

         

          ภายในห้องอาหารตามฤดูกาล   อาหารจำนวนมากถูกจัดแจงเป็นระเบียบบนโต๊ะอาหารทรงยาว   ตัวห้องมีการตกแต่งโดยจิตรกรชำนาญเพราะสามารถเนรมิตให้ทั้งห้องกลายเป็นสุสานของใบเมเปิ้ลที่ทับถมบนพื้น   ต้นเมเปิ้ลแต่งเติมบนผนังห้อง   กลายเป็นความลงตัวที่ทำให้ผู้ร่วมโต๊ะอาหารเกิดความรู้สึกเสมือนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางป่าเมเปิ้ลจริงๆ   หญิงสาวแต่งกายในชุดเดรสขาว   นั่งประจำตำแหน่งหัวโต๊ะและอีกคน   ชายกำยำผู้สวมชุดหนังสีดำ   นิโคลัสที่ในยามปกติจะไม่มีใครได้เห็นใบหน้าภายใต้เครื่องประดับและอาภรณ์สีหม่นที่บดบังอวัยวะทุกส่วนอย่างมิดชิดแต่ไม่ใช่ในตอนนี้ที่ร่างนั้นไม่ได้สวมหมวกและผ้าปิดปากตัวโปรด   เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มและหล่อเหลาแม้จะดูมีอายุ   เส้นผมหยักศกสีน้ำทะเลยามอาบรัตติกาลตัดกับนัยน์ตาสีน้ำทะเลยามต้องทิวาที่ตัดกันอย่างลงตัว   

          “คุณนิโคลัสขอบคุณที่มานะคะ   เรารู้สึกเกรงใจเหลือเกินที่ต้องไหว้วานให้คุณทำงานควบถึงสองตำแหน่ง”   สเตฟานี่กล่าวทักทายผู้ร่วมโต๊ะอย่างสนิทสนม   “หามิได้ขอรับฝ่าบาท   การได้ถวายงานให้พระองค์ถือเป็นเกียรติสูงสุดและการได้สอนนักเรียนเป็นการผ่อนคลายจากงานประจำของกระผมเองด้วยขอรับฝ่าบาท”   นิโคลัสตอบกลับอย่างถ่อมตัว   “ได้ยินแบบนี้จึงค่อยโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง...”   ใบหน้าสวยได้รูปหากแต่คิ้วขมวดเข้าหากัน  

          “เรื่องราวในวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ?”   น้ำเสียงของเธอดูเป็นกังวล   “กระผมไม่คิดว่าจะสามารถเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างละเอียด   ฉะนั้นหากทรงไม่รังเกียจ   จะทรงทอดพระเนตรด้วยตัวของพระองค์เองจะดีไหมขอรับฝ่าบาท?”   นิโคลัสยื่นมือไปด้านหน้า   เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะวางนิ้วลงบนฝ่ามือหยาบและหนาและหลับตาลง   ทันใดนั้นทุกคนในห้องอาหารรับรู้ถึงบรรยากาศภายในห้องที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน   เสียงแตกร้าวที่ดังขึ้น   นัยน์ตาของผู้รับใช้ที่ยืนด้านหลังของเก้าอี้ของนิโคลัสเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างสุดขีดเมื่อเห็นโต๊ะอาหารกำลังมีรอยร้าว   ผิวหลุดลอกและลอยขึ้นกลางอากาศ   ปลดปล่อยแสงสว่างออกมาจนแสบตา  

 

          เช้าวันต่อมา   มันคือวันหยุดของโทมัสและซาคาเรียส   พวกเขาจึงหาเรื่องชวนกันออกไปเที่ยวนอกเขตพระราชฐานเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก่อนการเริ่มเรียนในสัปดาห์ถัดไป   โทมัสสวมชุดคลุมผ้าปิดบังร่างกายทุกส่วนอย่างมิดชิด   ยืนอยู่ด้านหน้าของชานพระราชวัง   มีผู้รับใช้และราชินีสเตฟานี   ผู้เป็นมารดาไม่ไกลกัน   “แม่ได้จัดเตรียมองครักษ์คุ้มครองตลอดการเดินทางแล้ว   แม่ให้สัญญาว่าลูกจะไม่สังเกตเห็นพวกเขาแน่นอนจ่ะ”   โทมัสพยักหน้ารับหากแต่ไม่ส่งเสียงใดๆ   “ข้อตกลงคือก่อนพระอาทิตย์ตกจ่ะ”   เขาพยักหน้าเหมือนเดิม   ไม่นานรถม้าที่ถูกขับเคลื่อนโดยร่างผู้สวมชุดคลุมผ้าชนิดเดียวกันก็ได้เคลื่อนตัวมาจอดที่ด้านหน้าของชานอาคารและรับตัวเขาไป

          เส้นทางจากลานพระราชวังไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวในวันนี้ค่อนข้างใช้เวลาแต่ที่สุดก็มาถึงยังลานจอดรถม้าของตลาดเอคเนลูโป   ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นสถานที่พักอาศัยของมหาเศรษฐีและถูกเรียกกันติดปากกว่าตลาดคนรวย   “นายท่านจะไปที่ไหนก่อนดีขอรับ?”   ซาคาเรียสลดระดับศัพท์ในการสนทนาลงมาเป็นการสนทนาระหว่างขุนนางและข้ารับใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่สัญจรผ่าน   เกิดความเคลือบแคลงใจ   “เริ่มจากตลาดของเก่าก่อนก็แล้วกันครับ”   โทมัสตอบเสียงเรียบ   เส้นทางไปยังตลาดของเก่าต้องผ่านถนนสายหลักที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เดินมุ่งหน้าไปยังตลาดยามสาย   สองฝั่งคับคั่งไปด้วยอาคารบ้านเรือน   มีไม้ประดับบ้านปรากฏให้เห็นเป็นระยะ   ใช้เวลาอยู่นานและกว่าที่จะหลุดออกจากฝูงชน   เล่นเอาซะเหงื่อชุ่มหน้าและแผ่นหลัง   พ้นจากถนนเส้นหลักแล้วจึงพบกับถนนย่อยซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด   5   สาย   แต่ละสายมีป้ายบอกชื่อโซนการค้าซึ่งเป็นเอกฉันท์ว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ตลาดของเก่า  

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.