บทที่ 52: เริ่มออกเดินทาง

-A A +A

บทที่ 52: เริ่มออกเดินทาง

ในขณะที่เหล่าด็อกเตอร์ในดุษฎีนครกำลังเริ่มต้นการเดินทางเพื่อทำความเข้าใจ 'ชีพจร' ที่มองไม่เห็นของเมือง... ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร... ณ ใจกลางของโลกที่พวกเขาหลงลืม... ทีมสำรวจอัลฟ่ากลับกำลังต่อสู้กับ 'ชีพจร' อีกรูปแบบหนึ่ง... ชีพจรที่ดิบเถื่อน, จับต้องได้, และไม่เคยหยุดนิ่งของพงไพร
รุ่งอรุณมาถึงอย่างเงียบเชียบและเยือกเย็นกว่าทุกวันที่ผ่านมา
แสงอาทิตย์ยังไม่ทันจะโผล่พ้นขอบฟ้า แต่แสงสีเทาจางๆ ก็ได้เริ่มขับไล่ความมืดออกไป เผยให้เห็นม่านหมอกที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือพื้นป่าที่ชื้นแฉะจากการต่อสู้เมื่อหลายวันก่อน อากาศเย็นและบริสุทธิ์จนแสบจมูก คละเคล้าไปด้วยกลิ่นดิน, กลิ่นเถ้าถ่านที่มอดดับ, และกลิ่นหอมจางๆ ของสมุนไพรที่ไม่รู้จัก
ความเงียบเข้าปกคลุมค่ายพักแรมชั่วคราวที่ตั้งอยู่ข้างรถแรคคูน มันไม่ใช่ความเงียบที่สงบสุข แต่เป็นความเงียบที่หนักอึ้ง... หนักอึ้งไปด้วยภาระของความจริงที่พวกเขาเพิ่งได้รับรู้จากการประชุม "สภาสงคราม" เมื่อคืนก่อน ไม่มีใครนอนหลับได้สนิท แต่ก็ไม่มีใครอยากจะพูดอะไรออกมา
ลีน่านั่งอยู่ตามลำพังบนโขดหินที่เย็นเฉียบ เธอไม่ได้มองไปที่ทีมของเธอ แต่กำลังจ้องมองไปยังรถแรคคูนที่พังยับเยิน... สัญลักษณ์สุดท้ายของอารยธรรมที่เธอจากมา รอยกรงเล็บขนาดใหญ่ของเสือร้ายที่ฉีกทึ้งเกราะด้านข้างจนเป็นริ้วยาว และกระจกกันกระสุนที่แตกร้าวเป็นใยแมงมุมนั้น ไม่ใช่แค่ความเสียหายทางกายภาพอีกต่อไป แต่มันคือภาพสะท้อนของตัวเธอเอง... ผู้สืบทอดของ "โซลานา"... บรรพบุรุษผู้สร้างนครที่ยิ่งใหญ่ และในขณะเดียวกันก็เป็นผู้สร้างรอยแผลเป็นที่ไม่มีวันจางหายให้กับโลกใบนี้
เธอค่อยๆ ยกมือที่เปรอะเปื้อนดินของตัวเองขึ้นมาดู... มันคือมือของนักวิทยาศาสตร์... มือที่เคยเชื่อมั่นในตรรกะและเหตุผลเหนือสิ่งอื่นใด แต่ตอนนี้... เธอกลับไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้วว่า "เหตุผล" ที่เธอเคยยึดถือ มันคือปัญญา... หรือเป็นเพียงความโอหังที่ถูกส่งต่อกันมาทางสายเลือด
เสียงโลหะกระทบกันเบาๆ ดังขึ้นจากภายในรถแรคคูน ปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ เธอรู้ดีว่านั่นคือเสียงของเร็กซ์และเอลารา พวกเขาคงไม่ได้นอนเลยทั้งคืน
ภายในรถที่มืดและเย็นชืด แสงไฟจากหัวแร้งพลาสมาสว่างวาบขึ้นเป็นระยะๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่เคร่งเครียดของ ดร. เร็กซ์ เขากำลังพยายามอย่างสิ้นหวังที่จะเชื่อมต่อแผงวงจรที่ไหม้เกรียมของระบบขับเคลื่อนฝั่งซ้ายเข้าด้วยกัน
"ไร้ประโยชน์" เขาสบถออกมาเบาๆ ขณะที่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก "ตัวเก็บประจุควอนตัมเสียหายเกินกว่าจะซ่อมได้ เราทำได้แค่ปะผุให้มันพอจะเคลื่อนที่ไปได้ช้าๆ เท่านั้น"
"อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเดินเท้า" ดร. เอลารา ตอบกลับ เธอไม่ได้กำลังช่วยเร็กซ์ แต่กำลังง่วนอยู่กับเสาอากาศสื่อสารที่หักบิดงอ "ฉันพยายามจะปรับเทียบคลื่นความถี่ใหม่ แต่สัญญาณรบกวนมันแรงเกินไป เราถูกตัดขาดจากเควิน... จากบ้าน... อย่างสมบูรณ์แบบ"
ความจริงข้อนั้นตอกย้ำเข้ามาในความเงียบ... พวกเขาอยู่ตามลำพังอย่างแท้จริงแล้ว...

ความเงียบที่หนักอึ้งในยามเช้าตรู่ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเสียงของชีวิตที่ค่อยๆ ตื่นขึ้น เสียงนกที่ไม่รู้จักชื่อเริ่มส่งเสียงร้องประสานกันเป็นท่วงทำนองที่แปลกใหม่สำหรับโสตประสาทของเหล่ากลุ่มด็อกเตอร์ และเมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นยอดไม้ แสงสีทองอ่อนๆ ก็สาดส่องลงมา ขับไล่ความเย็นเยียบและความทรงจำอันน่าหวาดหวั่นของวันก่อนๆ ให้จางหายไป
กลิ่นหอมของควันไฟจางๆ ลอยมาแตะจมูกของลีน่า ปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ความคิดโดยสมบูรณ์ เธอหันไปเห็นครามกำลังนั่งอยู่ข้างกองไฟที่ถูกจุดขึ้นใหม่อย่างเงียบเชียบ เขาไม่ได้ใช้เครื่องจุดไฟพลาสมาเหมือนที่พวกเขาคุ้นเคย แต่กลับใช้หินเหล็กไฟสองก้อนตีกระทบกันจนเกิดประกายไฟอย่างชำนาญ ส่วนลินดากลับมาจากริมลำธารพร้อมกับปลาตัวอ้วนสองสามตัวที่เสียบมากับกิ่งไม้อย่างเรียบร้อย
"อาหารเช้า" เด็กสาวพูดยิ้มๆ
เร็กซ์เหลือบมองปลาที่กำลังจะถูกย่าง เขาเคยลิ้มรสอาหารจริงๆ มาแล้วครั้งหนึ่งและยอมรับในรสชาติของมัน แต่ในฐานะทหารช่างผู้ยึดมั่นในประสิทธิภาพ สัญชาตญาณของเขากลับมองเห็นแต่ความสูญเปล่าในกระบวนการตรงหน้า
"ท่านใช้เวลาก่อไฟไปเกือบสามนาที" เร็กซ์เอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบ เขาพูดกับครามผ่านล่ามของลินดา "เครื่องจุดไฟพลาสมาของผมสามารถสร้างความร้อน 1,500 องศาเซลเซียสได้ใน 0.3 วินาที และให้ความร้อนที่คงที่กว่า ทำให้สามารถคำนวณเวลาในการปรุงอาหารได้อย่างแม่นยำ"
ครามเหลือบมองเร็กซ์แวบหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ พลิกปลาบนกองไฟอย่างใจเย็น ควันหอมกรุ่นลอยขึ้นแตะจมูกของทุกคน "ไฟของเจ้า... มันมีแค่ความร้อน" เขาตอบเรียบๆ "แต่ไฟของข้า... มันมีเรื่องเล่า"
คำตอบนั้นทำให้เร็กซ์ต้องขมวดคิ้ว "เรื่องเล่ากินไม่ได้หรอกนะ"
"แต่เรื่องเล่าทำให้เราจำได้ว่าเราเป็นใคร" ครามสวนกลับ ดวงตาข้างเดียวของเขาจ้องมองเข้าไปในเปลวไฟที่กำลังเต้นระบำ "ไฟที่เกิดจากหินสองก้อนนี้ คือไฟเดียวกับที่บรรพบุรุษของข้าใช้เมื่อพันปีก่อน ทุกครั้งที่จุดมันขึ้นมา มันคือการรำลึกถึงพวกเขา คือการสานต่อเส้นทางของพวกเขา มันคือสะพานเชื่อมระหว่างเรากับอดีต... แล้วไฟของเจ้าล่ะ มันเชื่อมเจ้ากับอะไร? กับโรงงานผลิตแบตเตอรี่รึ?"
เร็กซ์ถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่เคยคิดถึง "ปรัชญา" ของเครื่องมือมาก่อนเลยในชีวิต
โอไรออนกับไลราเดินออกมาจากรถแรคคูนเป็นคู่สุดท้าย โอไรออนดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้สวมหูฟังอีกต่อไป แต่กำลังเอียงศีรษะฟังเสียงของป่าด้วยความสนใจ "น่าทึ่งมากครับ... ผมเริ่มจะแยก 'ชั้น' ของเสียงออกแล้ว เสียงน้ำไหล... เสียงใบไม้... เสียงนก... มันไม่ได้ปนเปกันมั่วๆ แต่มันคือซิมโฟนีที่มีโครงสร้างซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่ละเสียงต่างบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง"
"มันกำลังนินทาพวกท่านอยู่น่ะสิ" ลินดาพูดติดตลกพลางยื่นปลาที่สุกแล้วให้ "มันคงสงสัยว่าทำไมคนตัวโตๆ อย่างท่านเร็กซ์ถึงเอาแต่พูดเรื่องตัวเลข"
"ข้าไม่ได้พูดเรื่องตัวเลข!" เร็กซ์เถียงหน้าแดง "ข้ากำลังพูดถึงประสิทธิภาพ!"
"แล้วประสิทธิภาพคืออะไรล่ะ" ลินดาถามกลับอย่างซื่อๆ "คือการทำทุกอย่างให้เร็วที่สุดเหรอ? ที่เผ่าของข้า... คนที่รีบร้อนที่สุดคือคนที่มักจะตกหลุมพรางของป่าเป็นคนแรก เพราะพวกเขามองแต่ข้างหน้า จนลืมดูพื้นดินใต้เท้าของตัวเอง"
คำถามที่เรียบง่ายของเธอทำให้เหล่าด็อกเตอร์ต้องนิ่งคิดไปตามๆ กัน
[เอลารา: ประสิทธิภาพคือการบรรลุเป้าหมายโดยใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดและในเวลาที่สั้นที่สุดค่ะ] เสียงของเอลาราแทรกเข้ามาในคอมลิงก์ของลีน่าอย่างสุภาพจากในรถ [มันคือหัวใจของความก้าวหน้า และเป็นหลักการที่ทำให้บรรพบุรุษของเรารอดชีวิตมาได้]
"แต่ถ้าเป้าหมายของท่านคือการ 'เดินทาง' ไม่ใช่แค่การ 'ไปถึง' ล่ะ?" ครามถามขึ้นบ้าง เขามองไปยังเอลาราที่ยืนอยู่ในรถผ่านช่องประตูที่เปิดอยู่ "พวกท่านรีบเร่งไปเพื่ออะไร? เพื่อที่จะได้ไปเริ่มต้นรีบเร่งในเรื่องต่อไปอย่างนั้นรึ? ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา พวกท่านมองข้ามดอกไม้ข้างทางไปกี่ดอกแล้วระหว่างที่กำลังคำนวณหาเส้นทางที่สั้นที่สุด?"
ลีน่านั่งฟังบทสนทนานั้นอย่างเงียบๆ เธอรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ระหว่างโลกสองใบ... โลกที่วัดคุณค่าทุกอย่างด้วยผลลัพธ์ กับโลกที่ให้คุณค่ากับกระบวนการ และเป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มสงสัย... ว่าโลกที่เธอจากมานั้น ได้หลงลืมอะไรที่สำคัญไปหรือไม่
เมื่อท้องของทุกคนได้เต็มไปด้วยอาหารที่แท้จริง กำแพงแห่งความหวาดระแวงที่เคยกั้นขวางระหว่างสองอารยธรรมก็ดูเหมือนจะทลายลงอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศรอบกองไฟที่เริ่มมอดลงเต็มไปด้วยความผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
"เอาล่ะ" ลีน่ากล่าวขึ้น ทำลายความเงียบอันแสนสุข "เราคงต้องเริ่มวางแผนการเดินทางกันอย่างจริงจัง"
เธอเปิดแท็บเล็ตที่หน้าจอแตกร้าวของเธอขึ้นมา ภาพโฮโลแกรมสามมิติของภูมิประเทศโดยรอบปรากฏขึ้น... แต่มันก็สั่นไหวและเต็มไปด้วย "จุดบอด" ของข้อมูลที่เซ็นเซอร์ไม่สามารถสแกนผ่านม่านใบไม้ที่หนาทึบไปได้ "จากข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ของเรา... ถ้าเราพยายามจะเดินทางเป็นเส้นตรงไปยังพิกัดของดุษฎีนคร เราจะต้องข้ามเทือกเขาหินปูนที่อยู่ข้างหน้านี่ ซึ่งด้วยสภาพของรถตอนนี้... เป็นไปไม่ได้"
"งั้นเราก็ต้องหาทางอ้อม" เร็กซ์สรุป เขาก้มลงมองแผนที่โฮโลแกรมด้วยสายตาของนักยุทธศาสตร์ "มีช่องเขาอยู่สองแห่ง... ช่องทางทิศตะวันออกดูจะสั้นกว่า แต่ภูมิประเทศก็ดูซับซ้อนกว่า... ส่วนทางทิศตะวันตก..."
ครามที่นั่งฟังลินดาแปลให้ฟังอย่างอดทน ส่ายหน้าช้าๆ เขาหยิบกิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งขึ้นมา แล้วเริ่มขีดเขียนลงบนพื้นดินที่ว่างเปล่าข้างกองไฟ
"นี่คือแผนที่ของข้า" เขาพูดเรียบๆ
ภาพที่ปรากฏบนพื้นดินนั้นดูห่างไกลจากคำว่าแผนที่เป็นอย่างยิ่ง มันคือลายเส้นที่คดเคี้ยวไปมา ไม่ได้สัดส่วน และเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่ดูเหมือนภาพวาดของเด็กมากกว่าจะเป็นเครื่องมือนำทาง
[เอลารา: นั่นน่ะเหรอคะแผนที่?] เสียงของเอลาราที่เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อดังขึ้นมาจากในรถ [มันไม่มีมาตรวัดระยะทาง ไม่มีเส้นแสดงระดับความสูง ไม่มีแม้แต่ทิศเหนือที่ถูกต้อง! เราจะใช้มันนำทางได้อย่างไรคะ!]
"ท่านพ่อบอกว่า... แผนที่ของคนบนฟ้ามีไว้สำหรับ 'เครื่องจักร'" ลินดาอธิบายพลางยิ้มขำ "แต่แผนที่ของพวกเรามีไว้สำหรับ 'คนเดินดิน'"
ครามชี้ไปที่เส้นหยักๆ เส้นหนึ่ง "นี่คือ 'แม่น้ำขี้โมโห' มันจะเชี่ยวมากในตอนบ่าย" จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังกลุ่มก้อนหินที่เขาวาดไว้ "และนี่คือ 'หินหน้ายักษ์' ถ้าเราไปถึงที่นั่นตอนตะวันตรงหัว เงาของมันจะชี้ไปยัง 'ถ้ำแห่งสายลม' ที่เราใช้เป็นจุดพักได้"
"ถ้ำแห่งสายลม? หินหน้ายักษ์?" เร็กซ์ทวนคำอย่างหัวเสีย "ช่วยระบุพิกัดทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจนกว่านี้หน่อยได้ไหม"
"มันก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่" ลินดาตอบอย่างซื่อๆ "ก็แค่เดินตามแม่น้ำไปจนเจอหินที่หน้าตาเหมือนยักษ์โกรธ... ง่ายจะตายไป"
โอไรออนที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ กลับตาเป็นประกาย "เดี๋ยวนะครับ... 'ถ้ำแห่งสายลม' งั้นเหรอ? หมายความว่ามันมีเสียงที่เกิดจากการที่ลมพัดผ่านโครงสร้างของถ้ำงั้นเหรอครับ? มันน่าจะสร้างคลื่นความถี่ที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ! ผมอยากจะลองบันทึกเสียงมันดู!"
"เห็นไหมล่ะ!" ลินดาหันไปทางพ่อของเธอ "อย่างน้อยก็มีคนบนฟ้าคนหนึ่งที่เข้าใจ!"
"ข้าไม่ได้จะไปบันทึกเสียงเล่นนะ!" โอไรออนเถียงหน้าแดง "มันคือการเก็บข้อมูลทางสวนศาสตร์!"
ลีน่าส่ายหน้าอย่างระอา แต่ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เธอตัดสินใจปิดแผนที่โฮโลแกรมที่ไร้ประโยชน์ของเธอลง "ตกลง... เราจะเชื่อใน 'แผนที่กินได้' ของท่าน"
"มันไม่ใช่แผนที่กินได้นะ!" ลินดาโวยวายกลบเกลื่อนความเขินอายของเธอ
การเตรียมตัวสำหรับออกเดินทางในช่วงสายกลายเป็นเรื่องตลกที่วุ่นวายยิ่งกว่าเดิม เร็กซ์พยายามจะจัดเก็บอุปกรณ์ยังชีพไฮเทคของเขากลับเข้ากระเป๋าเป้สนามอย่างเป็นระเบียบ แต่ครามกลับเดินไปที่ริมป่าแล้วกลับมาพร้อมกับเถาวัลย์ที่เหนียวและแข็งแรง, ใบไม้ขนาดใหญ่หลายใบ, และยางไม้ที่เหนียวหนึบ
"นี่คือ 'กระเป๋า' ของป่า" เขาบอกพลางเริ่มสาธิตวิธีใช้เถาวัลย์มัดห่ออุปกรณ์ต่างๆ ด้วยใบไม้ได้อย่างแน่นหนาและกันน้ำได้อย่างน่าทึ่ง
"แต่... แต่มันไม่มีระบบควบคุมอุณหภูมินะ!" เอลาราค้านมาจากในรถ
"ก็แค่เอาไปแช่น้ำในลำธารตอนกลางคืน มันก็เย็นแล้ว" ลินดาตอบง่ายๆ
การโต้เถียงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดระหว่าง "ประสิทธิภาพ" กับ "ปัญญาแห่งพงไพร" จนกระทั่งเร็กซ์หมดความอดทน เขาลองดึงห่อใบไม้ที่ครามทำขึ้นอย่างแรง... แต่มันกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เขายอมแพ้และเริ่มเรียนรู้วิธีการผูกเถาวัลย์จากลินดาอย่างไม่เต็มใจนัก
"ไม่ใช่แบบนั้นสิ!" ลินดาหัวเราะจนตัวงอเมื่อเห็นเร็กซ์พันเถาวัลย์เข้ากับแขนของตัวเองจนแกะไม่ออก "ท่านกำลังมัดตัวเองนะ ไม่ใช่มัดของ!"
ในที่สุด... หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมงที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการโต้เถียง... พวกเขาก็พร้อมที่จะออกเดินทางอีกครั้ง... ด้วยรถแรคคูนที่ซ่อมแซมได้เพียงน้อยนิด และองค์ความรู้ใหม่ที่พวกเขาเพิ่งจะได้รับมาอย่างท่วมท้น
เมื่อแสงแดดยามสายเริ่มแรงขึ้น บรรยากาศสบายๆ รอบกองไฟก็ค่อยๆ จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นที่เงียบงันของการเตรียมการขั้นสุดท้าย ลีน่าเดินไปที่ประตูทางลาดของรถแรคคูนที่ยังคงเปิดอยู่ เธอจ้องมองเข้าไปในห้องควบคุมที่คุ้นเคย ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับทีมของเธอและพันธมิตรใหม่
"เอาล่ะ" เธอกล่าว "เราจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้... ได้เวลาออกเดินทาง"
เร็กซ์พยักหน้ารับคำสั่ง เขาเดินขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับอย่างคุ้นเคย มือของเขาวางลงบนคันบังคับที่เย็นเฉียบ หน้าจอโฮโลแกรมตรงหน้าสว่างวาบขึ้น แสดงข้อมูลสถานะของรถที่เป็นสีเหลืองและสีแดงเต็มไปหมด มันคือภาพของคนไข้ที่อาการสาหัสแต่ยังดื้อดึงที่จะลุกขึ้นเดิน
"ระบบขับเคลื่อนฝั่งซ้ายทำงานแค่ 40%" เขาประกาศเสียงเรียบ "เราจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ... และภาวนาให้มันไม่พังไปเสียก่อน"
ครามกับลินดาไม่ได้ขึ้นมาบนรถ แต่กลับปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังคารถที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนอย่างคล่องแคล่ว "ท่านพ่อบอกว่า... เขาจะเป็น 'ดวงตา' ให้จากข้างบน" ลินดาตะโกนลงมา
ครืด... ครืดดด... แกร๊ง!
เสียงเครื่องยนต์ของรถแรคคูนดังขึ้นอย่างโหยหวน มันคือเสียงของโลหะที่กำลังบดขยี้กันเอง ตีนตะขาบฝั่งซ้ายกระตุกอย่างรุนแรงก่อนจะเริ่มหมุนอย่างเชื่องช้า รถทั้งคันค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ไม่ต่างจากการเดินเท้าของมนุษย์ ทิ้งร่องรอยของการดิ้นรนไว้บนผืนดินที่อ่อนนุ่ม
การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การ "แหวกว่าย" เข้าไปในมหาสมุทรสีเขียวเหมือนครั้งก่อน แต่มันคือการ "คลาน" ไปอย่างทุลักทุเล ทุกครั้งที่ตีนตะขาบปีนข้ามรากไม้ขนาดใหญ่ รถทั้งคันก็จะเอียงกระเท่เร่จนของในรถกลิ้งไปมา ทุกเสียง "แกรก" ของกิ่งไม้ที่ขูดกับตัวถังรถทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างในต้องสะดุ้งสุดตัว
[เอลารา: ท่านผู้บัญชาการคะ! เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อนที่ใต้ท้องรถกำลังเตือน! อุณหภูมิของระบบขับเคลื่อนฝั่งซ้ายสูงเกินเกณฑ์ไป 15% แล้วค่ะ!] เสียงของเอลาราดังขึ้นอย่างตื่นตระหนกจากคอมลิงก์
"รับทราบ" ลีน่าตอบกลับ "เร็กซ์... หาที่หยุดพักก่อน"
"ที่นี่มันไม่มี 'ที่หยุดพัก' หรอกนะ!" เร็กซ์ตะโกนกลับอย่างหัวเสีย "มีแต่ป่ากับป่า!"
"ข้างหน้า! มีลำธาร!" เสียงของลินดาดังลงมาจากบนหลังคา "ท่านพ่อบอกว่าเราสามารถใช้ความเย็นของน้ำช่วยลดอุณหภูมิเครื่องจักรของท่านได้!"
เร็กซ์บังคับรถที่กำลังจะพังเต็มทีไปยังลำธารสายเล็กๆ ที่อยู่ข้างหน้าอย่างช้าๆ เขานำส่วนที่เป็นตีนตะขาบฝั่งซ้ายจุ่มลงไปในน้ำที่เย็นเฉียบ...
ฟู่... ซู่!
ไอน้ำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมกับเสียงโลหะร้อนจัดที่กระทบกับความเย็น มันคือการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับเครื่องจักรที่กำลังจะตายของพวกเขา
พวกเขาใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการรอให้ระบบเย็นลง... มันคือภาพที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความเปราะบางของเทคโนโลยีที่พวกเขาเคยภาคภูมิใจนักหนา
"ถ้าเรายังเป็นแบบนี้ต่อไป" เร็กซ์พูดขึ้นขณะที่จ้องมองข้อมูลอุณหภูมิที่ค่อยๆ ลดลง "การเดินทางที่ควรจะใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์... อาจจะยืดออกไปเป็นหลายเดือน"
"เราไม่มีทางเลือกอื่น" ลีน่าตอบ "เราต้องไปต่อ... ให้ช้าที่สุด... แต่ห้ามหยุด"
การเดินทางช่วงบ่ายดำเนินต่อไปด้วยความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นทุกเมตรที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า พวกเขาต้องหยุดพักเพื่อ "หล่อเย็น" เครื่องยนต์ทุกๆ ชั่วโมง มันคือการเดินทางที่น่าหงุดหงิดและบั่นทอนจิตใจอย่างที่สุด
จนกระทั่ง... พวกเขาเดินทางมาถึงอุปสรรคแรกที่แท้จริง...
มันคือที่ลุ่มชื้นแฉะที่เต็มไปด้วยพืชน้ำหน้าตาประหลาดและม่านหมอกบางๆ ที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ มันไม่ได้ดูกว้างใหญ่นัก แต่พื้นดินที่เป็นโคลนเลนนั้นดูเป็นฝันร้ายสำหรับรถที่หนักหลายตันและมีกำลังขับเคลื่อนแค่ครึ่งเดียว
"ผมจะลองสแกนหาเส้นทางที่พื้นดินแข็งที่สุด" เร็กซ์กล่าว เขาเปิดระบบโซนาร์ภาคพื้นดิน ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ระบบที่ยังทำงานได้อยู่
[เอลารา: จากข้อมูลโซนาร์... มีเส้นทางแคบๆ อยู่ทางขวาค่ะ... โครงสร้างใต้ดินดูจะหนาแน่นและมั่นคงพอที่จะรับน้ำหนักของเราได้]
เร็กซ์กำลังจะบังคับรถไปตามเส้นทางที่เซ็นเซอร์แนะนำ... แต่แล้วเสียงของครามก็ดังขึ้นจากบนหลังคา
"หยุด!"
เร็กซ์ชะงักไป "มีอะไรอีก?"
"ท่านพ่อบอกว่า... อย่าไปทางนั้น" ลินดาแปล "เขาบอกว่านั่นคือ 'ทางเดินของวิญญาณ'... พืชที่ท่านเห็น... มันคือ 'หญ้ากินเหล็ก'... รากของมันจะปล่อยกรดที่กัดกร่อนโลหะได้"
[เอลารา: เป็นไปไม่ได้ค่ะ! ไม่มีพืชชนิดไหนในฐานข้อมูลของเราที่มีคุณสมบัติแบบนั้น! เซ็นเซอร์ของดิฉันยืนยันว่าพื้นดินตรงนั้นแข็งที่สุด!]
"เครื่องจักรของท่านอ่านได้แค่ความหนาแน่นของดิน" ลินดาโต้กลับ "แต่มันอ่าน 'เจตนา' ของป่าไม่ได้"
ความขัดแย้งระลอกใหม่ได้ปะทุขึ้น... ระหว่างข้อมูลที่จับต้องได้ของเซ็นเซอร์ กับปัญญาที่มองไม่เห็นของพรานป่า...
"ผมเชื่อในข้อมูลของผม" เร็กซ์กล่าวอย่างหนักแน่น "เราจะไปทางขวา"
"ไม่" ลีน่าพูดสวนขึ้นมาทันที เธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเร็กซ์ผ่านกระจกมองหลัง "ครั้งนี้... เราจะเชื่อใน 'ดวงตา' ของท่านคราม... เราจะไปทางซ้าย"
การตัดสินใจของลีน่าที่เลือกจะเชื่อในสัญชาตญาณของครามแทนที่จะเป็นข้อมูลจากเซ็นเซอร์นั้น ได้สร้างความเงียบที่น่าอึดอัดขึ้นภายในรถ เร็กซ์ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งอีก แต่ความตึงเครียดที่แสดงออกผ่านมือของเขาที่กำคันบังคับไว้แน่นนั้นชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใดๆ เขายังคงไม่เชื่อ... แต่เขาก็ทำตาม
เขาบังคับรถแรคคูนที่บอบช้ำให้หันไปทางซ้ายอย่างเชื่องช้า ตีนตะขาบของมันเริ่มบดขยี้ลงบนเส้นทางที่ดูรกทึบและเต็มไปด้วยโคลนเลนที่ดูอันตรายกว่ามาก ทุกคนในรถต่างกลั้นหายใจ... รอคอยเสียงโลหะที่อาจจะยุบตัวลงไปในหล่มได้ทุกเมื่อ
รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล... สิบเมตร... ยี่สิบเมตร...
"พื้นดินข้างใต้... มันแข็ง" เอลาราพึมพำออกมาเป็นคนแรก เธอจ้องมองข้อมูลโซนาร์ที่ตอนนี้แสดงภาพพื้นผิวใต้โคลนที่แข็งเป็นหิน "มันเหมือน... มีถนนโบราณซ่อนอยู่ข้างใต้"
ครามพยักหน้าจากบนหลังคารถ "ทางของบรรพบุรุษ" ลินดาตะโกนบอก "มันอาจจะดูยาก... แต่มันไม่เคยทรยศ"
เร็กซ์ไม่ได้พูดอะไร แต่แรงที่บีบคันบังคับของเขาค่อยๆ คลายลงเล็กน้อย มันคือการยอมรับความพ่ายแพ้ของตรรกะที่เขาไม่เคยเต็มใจจะยอมรับมาก่อน
การเดินทางช่วงบ่ายวันนั้นจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศที่แปลกใหม่ มันคือความผ่อนคลายที่เกิดจากการ "ปล่อยวาง" การควบคุม เมื่อเหล่าด็อกเตอร์เริ่มตระหนักว่าปัญญาของพวกเขาไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง พวกเขาก็เริ่มที่จะ "สังเกต" และ "เรียนรู้" โลกใบใหม่นี้ในแบบที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน
"ท่านพ่อสงสัยว่า... ทำไมพวกท่านถึงต้องใส่ 'กล่อง' ไว้บนเท้าตลอดเวลา" ลินดาตะโกนถามลงมาอย่างซื่อๆ "มันไม่ร้อนเหรอ"
"นี่ไม่ใช่กล่อง" เร็กซ์ตอบกลับอย่างหงุดหงิด "มันคือรองเท้าบู๊ตคอมโพสิต... ออกแบบมาเพื่อป้องกันเท้าจากอันตรายและรักษาอุณหภูมิให้คงที่"
"แต่ท่านก็เลยไม่รู้สึกถึงพื้นดินเลยน่ะสิ" ลินดาแย้ง "ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าตรงไหนเป็นหิน ตรงไหนเป็นรากไม้ ถ้าท่านไม่ได้ใช้เท้า 'ฟัง' มัน"
"ผมมีเซ็นเซอร์ชีวภาพที่พื้นรองเท้า" เร็กซ์เถียง "มันส่งข้อมูลมาที่..."
"เครื่องจักรอีกแล้ว!" ลินดาหัวเราะคิกคัก "ที่เผ่าของข้า... ถ้าใครเดินสะดุดรากไม้บ่อยๆ เขาจะถูกเรียกว่า 'คนที่ไม่ฟังเสียงดิน' ท่านเร็กซ์คงจะได้เป็นหัวหน้าเผ่าคนที่ไม่ฟังเสียงดินแน่ๆ เลย!"
"ข้าไม่ได้สะดุดบ่อยขนาดนั้น!" เร็กซ์คำรามกลับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย
การเดินทางดำเนินต่อไปพร้อมกับคำถามที่ไม่สิ้นสุดของลินดาและความพยายามที่จะอธิบายด้วยตรรกะของเหล่าด็อกเตอร์
"แล้ว 'ปริญญาเอก' ที่ท่านเอลาราเคยเล่าให้ฟัง... มันคืออะไรกันแน่" ลินดาถามขึ้นอีกครั้ง "ถ้ามันไม่ใช่การเขียนเรื่องเล่าของก้อนหิน... แล้วมันคืออะไร"
โอไรออนซึ่งนั่งเงียบมานาน ตัดสินใจลองอธิบายในแบบของเขา "ลองคิดแบบนี้สิ ลินดา... สมมติว่าป่าทั้งป่าคือบทเพลงที่ยิ่งใหญ่ใช่ไหม"
"ใช่!" ลินดาตอบอย่างกระตือรือร้น
"คนส่วนใหญ่จะได้ยินแค่เสียงโดยรวม... เสียงนก เสียงลม เสียงใบไม้... แต่คนที่มี 'ปริญญาเอก' ด้านเสียงอย่างผม จะสามารถ 'แยก' เสียงเหล่านั้นออกจากกันได้ ผมจะได้ยินว่านกตัวนั้นกำลังร้องเพลงเพื่อหาคู่ ในขณะที่นกอีกตัวกำลังเตือนภัย และผมยังได้ยิน 'ฮาร์มอนิก' หรือเสียงสะท้อนที่ซ่อนอยู่ในเสียงลม... มันคือการได้ยินในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน"
ลินดาทำท่านิ่งคิดไปครู่หนึ่ง "อ๋อ... เหมือนท่านย่าของข้าเลย"
"ท่านย่าของเธอเป็นนักสวนศาสตร์เหรอ" โอไรออนถามอย่างตื่นเต้น
"เปล่า... แต่ท่านหูไม่ดี ท่านก็เลยได้ยินแต่สิ่งที่ท่านอยากจะได้ยินน่ะ"
คำตอบของเธอทำให้ทุกคนในรถหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน! โอไรออนถึงกับหน้าแดงก่ำ
"นี่มัน... เป็นการเปรียบเทียบที่ไร้ซึ่งตรรกะอย่างสิ้นเชิง!" เขาโวยวายกลบเกลื่อน
"แต่ก็ได้ผลนี่นา" ไลราพูดพลางยิ้ม เธอรู้สึกได้ถึงความขบขันที่อบอุ่นซึ่งแผ่ออกมาจากทุกคน มันคือความรู้สึกที่เธอไม่เคยได้สัมผัสบ่อยนักในเมืองที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
พวกเขาเดินทางต่อไปเรื่อยๆ... ผ่านทุ่งดอกไม้ที่กลีบเป็นผลึกคริสตัลซึ่งส่องแสงระยิบระยับเมื่อต้องแสงแดด... ผ่านฝูงแมลงปีกสีรุ้งที่บินวนเป็นกลุ่มก้อนจนดูเหมือนเมฆที่มีชีวิต... และผ่านต้นไม้ประหลาดที่ลำต้นบิดเกลียวเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่น่าทึ่ง
"ผมสงสัยมานานแล้ว" เร็กซ์ถามขึ้น ทำลายความเงียบที่แสนสุข "พวกคุณสื่อสารกันด้วยสัญญาณมือรึ? ผมเห็นท่านครามทำสัญญาณแปลกๆ ตลอดทาง"
ลินดาหัวเราะ "ไม่ใช่หรอก นั่นคือ 'ภาษาต้นไม้' ต่างหาก ท่านพ่อกำลังอ่านสัญลักษณ์ที่ต้นไม้ทิ้งไว้ให้... รอยแตกบนเปลือกไม้... ทิศทางที่เถาวัลย์เลื้อย... มันบอกได้ว่าทางข้างหน้าปลอดภัยหรือไม่"
[เอลารา: ภาษาต้นไม้! เป็นไปไม่ได้! พืชไม่มีระบบประสาทที่จะสร้างภาษาสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนได้! มันเป็นแค่การเจริญเติบโตตามปัจจัยแวดล้อมเท่านั้น!] เสียงของเอลาราดังขัดขึ้นมาในคอมลิงก์อย่างไม่อยากจะเชื่อ
"งั้น 'ปัจจัยแวดล้อม' ก็คงจะกำลังบอกว่า... ข้างหน้ามีรังของ 'อสรพิษมีปีก' อยู่ล่ะมั้ง" ลินดาพูดพลางชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีโพรงขนาดใหญ่... ซึ่งมีงูตัวเท่าแขนที่มีปีกเหมือนค้างคาวเกาะอยู่เต็มไปหมด
ทีมจากดุษฎีนครรีบหันไปมอง... และเร็กซ์ก็รีบบังคับรถให้เลี้ยวอ้อมไปอีกทางโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
เมื่อตะวันคล้อยต่ำลงจนกลายเป็นสีทอง การเดินทางที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ เงียบลง ถูกแทนที่ด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน ป่ารอบตัวเริ่มเปลี่ยนสีสันจากสีเขียวสดใสกลายเป็นเฉดสีที่ลึกและลึกลับยิ่งขึ้น เงามืดเริ่มทอดยาวราวกับนิ้วมือของยักษ์ที่กำลังจะคว้าจับพวกเขาไว้
"เราต้องหาที่พักสำหรับคืนนี้" ครามกล่าวขึ้น ทำลายความเงียบงัน "กลางคืนในป่าแถบนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับผู้เดินทาง"
เร็กซ์เห็นด้วยอย่างเต็มที่ เขาเหลือบมองไปยังเงาที่เริ่มหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสายตาที่ระแวดระวัง แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทันหาทำเลที่เหมาะสม รถแรคคูนที่คลานตามหลังมาอย่างทุลักทุเลก็ส่งเสียงครวญครางออกมาเป็นครั้งสุดท้าย...
แครกก... ครืด... ปัง!
ตีนตะขาบฝั่งซ้ายหยุดหมุนกะทันหัน พร้อมกับกลุ่มควันที่พวยพุ่งออกมาจากห้องเครื่อง รถทั้งคันแน่นิ่งไปราวกับอสูรเหล็กที่สิ้นลมหายใจ
"บ้าที่สุด!" เร็กซ์สบถออกมา เขารีบวิ่งกลับไปที่รถและเปิดแผงด้านข้างออก "ระบบส่งกำลังพังโดยสมบูรณ์! ข้อต่อที่เชื่อมกับแกนขับเคลื่อนหลักละลายติดกันไปแล้ว! เราซ่อมมันที่นี่ไม่ได้แน่!"
[เอลารา: ดิฉันยืนยันค่ะท่านผู้บัญชาการ] เสียงของเอลาราที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังดังมาจากในรถ [เรา... เดินทางต่อด้วยรถคันนี้ไม่ได้อีกแล้ว]
ความจริงอันโหดร้ายได้ตอกหน้าพวกเขาอีกครั้ง... พวกเขาติดอยู่กลางป่าลึก... ห่างจากเป้าหมายที่ยังมองไม่เห็น... และตอนนี้ก็ปราศจากพาหนะโดยสมบูรณ์
"งั้นเราก็ต้องตั้งค่ายที่นี่" ลีน่าตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เธอพยายามสะกดกลั้นความผิดหวังของตัวเองไว้ "พรุ่งนี้เช้า... เราค่อยมาดูกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป"
พวกเขาเลือกทำเลใต้ชะง่อนหินขนาดใหญ่เป็นที่พักพิงชั่วคราว ครามกับลินดาสอนวิธีใช้ใบไม้ขนาดใหญ่และเถาวัลย์สร้างเป็นหลังคาที่กันน้ำค้างได้อย่างน่าทึ่ง ในขณะที่เร็กซ์ก็พยายามดึงพลังงานสำรองที่เหลืออยู่น้อยนิดจากรถมาสร้างสนามพลังป้องกันระดับต่ำสุดขึ้นรอบๆ ค่าย มันคือภาพของการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีกับธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุด
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการตั้งค่าย... ดร. ศิลา ที่ติดต่อผ่านคอมลิงก์จากในรถ กลับร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างขีดสุด
[ศิลา: ท่านผู้บัญชาการ! ทุกคน! มาดูนี่เร็วเข้า!]
ทุกคนหันไปมองจอแท็บเล็ตของลีน่า ที่ซึ่งศิลากำลังถ่ายทอดภาพจากโดรนสำรวจขนาดเล็กที่เขาส่งออกไป มันคือภาพของหุบเหวเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พวกเขาพักแรม... และที่ก้นเหวนั้น... คือภาพที่ราวกับหลุดออกมาจากความฝัน
มันคือ "ป่าเรืองแสง"
เห็ดหลากสีสันที่มีขนาดใหญ่เท่าร่มกันแดดกำลังส่องแสงสีฟ้า เขียว และม่วงสลับไปมาอย่างนุ่มนวล มอสที่ขึ้นอยู่ตามโขดหินก็เรืองแสงสีเงินราวกับโรยด้วยผงเพชร และที่น่าทึ่งที่สุดคือดอกไม้เลื้อยชนิดหนึ่งที่กลีบของมันเปล่งแสงสีทองออกมาเป็นจังหวะ... เหมือนการเต้นของหัวใจ
"พระเจ้า..." ลีน่าพึมพำ "มันสวยงามมาก"
"มันคือระบบนิเวศแบบพึ่งพาอาศัยกันทางชีวภาพ (Bioluminescent Symbiotic Ecosystem) ที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ผมเคยเห็น!" ศิลาอธิบายอย่างตื่นเต้น "พวกมันไม่ได้แค่ส่องแสงเพื่อความสวยงาม! แต่กำลัง 'สื่อสาร' กันด้วยแสง! ดูรูปแบบการกะพริบของดอกไม้นั่นสิครับ! มันคือรหัสมอร์สทางชีวภาพชัดๆ!"
"สวย... แต่ก็อันตราย" ครามพูดแทรกขึ้นมาเรียบๆ "คนของข้าเรียกมันว่า 'สวนแห่งผู้หลับใหล' สัตว์ตัวไหนที่หลงเข้าไปในนั้นตอนกลางคืน... จะไม่มีวันได้กลับออกมาอีก"
"ทำไมล่ะ" โอไรออนถาม ความอยากรู้อยากเห็นของนักวิทยาศาสตร์เอาชนะความกลัวของเขาไปแล้ว
"เพราะ 'บทเพลง' ของมัน" ครามตอบ "บทเพลงที่ทำให้เจ้าหลับ... และไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย"
"สปอร์สะกดจิต (Hypnotic Spores)!" ศิลาอุทานออกมา "เป็นไปได้! พืชราบางชนิดในโลกเก่าก็มีคุณสมบัติคล้ายกัน แต่นี่มัน... มันอยู่ในสเกลที่ใหญ่กว่ามหาศาล!"
"ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราก็ต้องเดินอ้อมไป" เร็กซ์กล่าวสรุป
"แต่ถ้าเราเข้าใจ 'บทเพลง' ของมันล่ะครับ" โอไรออนพูดขึ้น แววตาของเขาเป็นประกาย "ถ้าเราสามารถหา 'คีย์' ที่ถูกต้อง... เราอาจจะเดินผ่านไปได้โดยไม่ต้องอ้อมเลยก็ได้!"
"เจ้าหนูหูทิพย์" เร็กซ์ส่ายหน้าอย่างระอา "นี่ไม่ใช่ห้องทดลองนะ นี่คือป่ามรณะ"
"แต่ทุกอย่างคือข้อมูล!" โอไรออนเถียงกลับ "และทุกข้อมูลย่อมมีรูปแบบ!"
การถกเถียงดำเนินต่อไปท่ามกลางความมืดที่โรยตัวลงมา... มันคือภาพสะท้อนที่สมบูรณ์แบบของทีมพวกเขา... ทีมที่ประกอบด้วยความกล้าหาญ, ความอยากรู้อยากเห็น, ประสบการณ์, และความบ้าบิ่น... ปะปนกันไปอย่างน่าประหลาด
ค่ำคืนนั้น... ไม่มีใครได้นอนหลับอย่างเต็มที่... พวกเขานั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟที่ลุกโชน ขับไล่ความมืดและเงามืดที่อาจจะซ่อนตัวอยู่ในพงไพร... แต่ไม่มีใครพูดถึงความกลัว... พวกเขากลับกำลังพูดคุยกันถึงอนาคต... ถึง "บ้าน" ที่พวกเขาจะต้องเดินทางกลับไปให้ถึง... และถึง "โลกใหม่" ที่พวกเขาจะต้องร่วมกันสร้างขึ้น... ไม่ใช่ในฐานะ "ชาวฟ้า" หรือ "คนป่า"... แต่ในฐานะ "ผู้รอดชีวิต" ที่มีชะตากรรมเดียวกัน

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.