บทที่ 119: เมื่อไหร่ควรสู้ เมื่อไหร่ควรถอย
หลังจากแม่ทัพมังกรสังหารเฝิงเจิ้งกั๋วเรียบร้อยแล้ว เขาก็รู้สึกว่าความโกรธที่เคยอัดแน่นอยู่ในอกได้จางหายลงไปมาก
ความเคียดแค้นที่ต้องสูญเสียสหายร่วมรบไปมากกว่า 500 คนที่เคยกดทับอยู่บนบ่าของเขาดูเหมือนจะสลายหายไป
เขาไม่รู้สึกสงสารคนอย่างเฝิงเจิ้งกั๋วเลย
หลินเทียนเชวี่ยรู้สึกว่าการฆ่าอีกฝ่ายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวนั้นมันง่ายเกินไป
คนทรยศอย่างเขาสมควรถูกสับเป็นชิ้น ๆ แบบนี้ถึงจะสาสมกับที่เขาเคยดูหมิ่นชีวิตของคนอื่น
จากนั้นหลินเทียนเชวี่ยก็ดึงดาบสายฟ้าออกมาจากศพแล้วหันหลังเดินช้า ๆ ไปหาไททันมังกรเพลิง
ในขณะนั้นเขาเป็นเหมือนยมทูตจากนรก และดาบสายฟ้าในมือก็คือเคียวยมทูตที่คอยคร่าชีวิตของผู้คน
“หมอนั่นตายแล้ว ต่อไปก็เป็นตาของแก” น้ำเสียงของแม่ทัพมังกรยังคงเรียบนิ่ง
ทว่าบนใบหน้าของไททันมังกรเพลิงกลับมีรอยยิ้ม
“หลินเทียนเชวี่ย เจ้าอย่าคิดเอาข้าไปเทียบกับไอ้คนขี้ขลาดแบบมัน เจ้าคิดผิดมหันต์แล้ว ความเสียใจที่สุดในชีวิตของข้าก็คือการไม่ได้ไปนั่งบนบัลลังก์ไททัน ถึงข้าจะตายไป เจ้าก็ไม่มีทางได้อะไรจากข้า!”
ทันทีที่หลงเยี่ยนพูดจบ แสงสีแดงฉานก็พุ่งออกมาจากหัวของมัน
ภาพเบื้องหน้าที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเหมือนดาวเคราะห์ที่กำลังจะระเบิดตัวเองตาย
“ระวัง มันกำลังจะทำลายแกนสมองของตัวเอง!” เสียงตะโกนอย่างวิตกกังวลของหลี่หวงเหยียนดังมาจากข้างหลังหลินเทียนเชวี่ย
แต่สีหน้าของเขากลับไม่เปลี่ยนเลย ไม่นานร่างของเขาก็เปลี่ยนเป็นสายฟ้าหายไปจากจุดที่เคยยืนอยู่
หลินหยวนที่ใช้งานฉงถงสูงสุดก็ยังมองการเคลื่อนไหวของพ่อตัวเองไม่ทัน
ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อนี้ หลินเทียนเชวี่ยแทบจะไปโผล่ตรงหน้าไททันมังกรเพลิงในทันที
พอหลินหยวนกับหลี่หวงเหยียนรู้ตัวอีกครั้ง หัวของไททันมังกรเพลิงก็ร่วงลงกระแทกพื้นแล้ว
แม้กระทั่งก่อนตาย ดวงตาของอีกฝ่ายก็ยังคงเบิกกว้างไม่ยอมปิด
มันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าพออยู่ต่อหน้าหลินเทียนเชวี่ยแล้ว มันไม่เหลือเวลาแม้แต่จะให้ทำลายแกนสมองของตัวเองด้วยซ้ำ
นี่แหละ… สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวของขั้นกึ่งเทพ!
หลินเทียนเชวี่ยเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ
เขารวดเร็วเสียจนหลินหยวนไม่เห็นว่าเขาตัดหัวไททันมังกรเพลิงได้อย่างไร
จากนั้นแม่ทัพมังกรก็ฟันออกไปอีกครั้ง เขาผ่าหัวหลงเยี่ยนออกเป็น 2 ซีก ไม่นานผลึกสีแดงเข้มก็พุ่งออกมาจากกะโหลกศีรษะที่แตกออก
นี่คือแกนสมองของไททันมังกรเพลิง!
หลินเทียนเชวี่ยก้มลงไปหยิบผลึกสีแดงเข้มขึ้นมาแล้วโยนให้หลินหยวนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“แกเก็บเอาไว้ คิดซะว่านี่เป็นของขวัญจากพ่อ”
เด็กหนุ่มพูดยิ้ม ๆ ว่า “พ่อ ผมโตแล้วนะ ยกเรื่องนี้มาอ้างจะไม่ทำให้ผมดูเด็กไปหน่อยเหรอ?”
ทางด้านหลี่หวงเหยียนที่ยืนอยู่อีกฝั่งรู้สึกถึงพลังที่ผันผวนแผ่ออกมาจากผลึกสีแดง ทันใดนั้นเขาก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความอิจฉา
ชายผมแดงเลียริมฝีปากก่อนจะพูดว่า “หลินหยวน ถ้านายไม่อยากได้… เอามาให้ฉันแทนก็ได้นะ นายคงดูดซับแกนสมองไททันไม่ได้ อีกอย่าง เรื่องนี้มันซับซ้อนมาก ฉันกลัวว่านายจะรับมือไม่ได้”
หลินหยวนที่ได้ยินแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่กลอกตาพูดว่า “ไม่ต้องห่วงครับ ผมรับมือได้”
แต่ต้องบอกว่าหลินเทียนเชวี่ยน่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยื่นแกนสมองไททันมหันตภัยให้คนอื่นได้ง่าย ๆ แบบนี้
หลังจากหลินหยวนเก็บผลึกสีแดงเข้ม เขาก็นำศพไททันมังกรเพลิงไปเก็บไว้ในช่องเก็บอันเดด
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้พลังอันเดดต่อหน้าพ่อของตน
ในขณะนั้นดวงตาของหลินเทียนเชวี่ยมัวหมองลงในขณะที่มองการกระทำของลูกชาย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากนัก
เมื่อหลินหยวนจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาก็ถามออกมาว่า “เราควรทำยังไงต่อไปดีครับ?”
ทันทีที่หลี่หวงเหยียนได้ยินคำถามของเด็กหนุ่ม เขาก็หันไปมองหลินเทียนเชวี่ยโดยไม่รู้ตัว
ท่าทางนั้นบ่งบอกว่าเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่านายพลหลินคิดจะทำอะไรต่อ
เมื่อครู่นี้หลินเทียนเชวี่ยทำให้ไททันโลกาวินาศโกรธจนแทบคลั่ง ในสถานการณ์แบบนี้ไททันเทพปีศาจคงไม่มีทางยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่
ตามความคิดของหลี่หวงเหยียน ชายคนนี้อาจจะต้องอยู่ต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายกับไททันระดับ 9
เพราะน้ำเสียงที่เขาใช้พูดก่อนหน้านี้มันดูถูกศัตรูมากจนอีกฝ่ายเสียหน้า
ตอนที่เขาชี้ดาบไปที่ปลายจมูกของไททันเทพปีศาจแล้วไล่มันไปนั้น หลี่หวงเหยียนก็รู้สึกว่าเลือดในกายของเขาเดือดพล่าน
เพราะถ้าแม่ทัพมังกรคิดจะต่อสู้กับเทพปีศาจอาซา… นั่นคงเป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กึ่งเทพกับไททันโลกาวินาศ!
สำหรับเขา นี่คงเป็นการดวลระหว่างคนที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้ง 2 เผ่าพันธุ์
แต่หลินเทียนเชวี่ยกลับตะโกนขึ้นมาอย่างไม่ลังเล “หนี!”
“ห้ะ! หนี?!” หลี่หวงเหยียนไม่เข้าใจเลยสักนิด
ทั้ง ๆ ที่เขาอวยยศอีกฝ่ายไว้ตั้งมากมายขนาดนี้ นี่เขาไม่ควรอยู่สู้ตายกับศัตรูหรอกเหรอ?!
หลินเทียนเชวี่ยตอบกลับไปว่า “ใช่ ถ้าเราไม่หนี จะให้อยู่ที่นี่รอไททันโลกาวินาศมากระทืบหรือไง? นายก็รู้ว่าที่นี่คืออาณาเขตของไททัน นายคิดว่าพวกมันจะให้เกียรติต้อนรับเราอย่างดีหรือไงฮะ!”
“ถึงฉันจะเอาชนะไททันโลกาวินาศได้ก็จริง แต่หลังจากนั้นเราก็จะตกอยู่ในวงล้อมของไททันตัวอื่น ๆ ที่รอโจมตีเราอยู่ ถ้านายไม่อยากตาย ตอนนี้มีทางเลือกเดียวเท่านั้นก็คือต้องหนีเดี๋ยวนี้!”
เมื่อหลินหยวนได้ยินสิ่งที่พ่อตัวเองพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากแน่น
นี่สิคือตาแก่ที่เขารู้จัก
เขาจะต่อสู้ก็เมื่อจำเป็น ถึงเวลาหนีก็ต้องหนีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ส่วนหลี่หวงเหยียนก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่แม่ทัพมังกรพูดนั้นเป็นความจริง
พอคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดถอนหายใจไม่ได้ “เฮ้อ เรารีบถอยกันเถอะ”
ที่ชายหนุ่มถอนหายใจนั้นเป็นเพราะเขาเสียใจที่ไม่ได้เห็นการดวลกันระหว่างผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้ง 2 ฝ่าย
จากนั้นชายทั้ง 3 ก็พุ่งทะยานออกจากตำหนักที่มืดมิดมุ่งสู่กำแพงเมือง
ทันใดนั้นหลินเทียนเชวี่ยก็พูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้ฉู่อวี้ยังหนีออกจากเมืองหย่งเย่ไปไม่ได้ ฉันจะไปตามหาเธอก่อน”
หลังจากพบฉู่อวี้แล้วพวกเขาค่อยถอยกลับ
เพราะถ้าหากทิ้งเธอไว้ในเมืองหย่งเย่ตามลำพัง เธอคงไม่มีทางรอดไปจากมือของไททันโลกาวินาศแน่
หลี่หวงเหยียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “เราแยกย้ายกันไปค้นหาเถอะ แบบนี้จะได้เร็วขึ้น”
“นี่คือพลุสัญญาณ ถ้าใครเจอเธอก็ให้ยิงมันออกมา แล้วเราไปรวมตัวกันที่ประตูเมืองทันที”
หลังจากหลินเทียนเชวี่ยได้รับพลุสัญญาณจากชายผมแดง เขาก็ยิ้มพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ฉู่อวี้ไม่เป็นไรหรอก เด็กนั่นเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของฉันเชียวนะ ถ้าฉันจำไม่ผิด ฉู่อวี้คนนี้น่าจะเป็นเด็กสาวที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับแก แถมยังแอบถักผ้าพันคอให้แกด้วยใช่ไหม?”
“จุ๊ ๆ พวกแกนี่มันคู่รักสมัยเด็กเลยนะ”
หลินหยวนที่ได้ยินพ่อของตัวเองกำลังล้อเลียนก็กลอกตามองบนอย่างเอือมระอา “พ่อเลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว”
พ่อของเขากำลังพูดถึงเรื่องที่เขาไม่อยากจะเอ่ยถึง
หลังจากวางแผนกันเรียบร้อยแล้ว ทั้ง 3 คนก็แยกย้ายกันไปทันที โดยที่พวกเขาแยกย้ายไปคนละทางเพื่อค้นหาฉู่อวี้ทั่วเมืองหย่งเย่
เนื่องจากการตายของไททันมังกรเพลิงและไททันอนธการทำให้ไม่มีไททันตัวไหนในเมืองหย่งเย่นี้เป็นอันตรายต่อพวกเขาทั้ง 3 ได้อีกต่อไป
ในระหว่างการค้นเมืองหย่งเย่ หลินหยวนได้ไปสะดุดตาไททันมหาวิบัติหลายตัว
แต่เขาเพียงแค่อาศัยความเร็วของตัวเองก็สามารถสลัดพวกมันทิ้งไปโดยไม่ต้องเสียเวลาต่อสู้
เพราะสำหรับพวกเขา เวลาแม้แต่วินาทีเดียวที่เสียไปนั้นอาจหมายถึงความตาย
และทุกวินาทีที่เขาอยู่ในเมืองหย่งเย่มันหมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่การฆ่าไททันระดับสูงในเมืองหย่งเย่ หากแต่เป็นการตามหาฉู่อวี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โชคดีที่ฉงถงระดับสูงของเด็กหนุ่มนั้นเหมือนมีญาณทิพย์ แม้แต่ตอนที่ลอยอยู่กลางอากาศ เขาก็ยังมองเห็นสถานการณ์เบื้องล่างได้อย่างละเอียด
ในตอนนั้นหลินหยวนกวาดตามองศพที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วและรีบพุ่งลงไปข้างล่าง
“นี่มัน… ศพของไททันมหาวิบัติ!”
เมื่อเห็นศพตรงหน้าเด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกฉงน
เพราะศพนี้เป็นศพของไททันสายฟ้า ไททันมหาวิบัติที่เขาพบก่อนหน้านี้
พอพิจารณาจากบาดแผลบนร่างกายของมัน ดูเหมือนว่าคนที่ฆ่าไททันสายฟ้าจะเป็น… ฉู่อวี้!
ถ้าหลินหยวนจำไม่ผิด ถึงแม้ว่าเธอจะได้รับมรดกจากไททันศักดิ์สิทธิ์ แต่ปัจจุบันเธอก็ยังเป็นผู้มีพลังพิเศษแรงก์ S เท่านั้น
เขานึกไม่ถึงว่าฉู่อวี้จะสามารถฆ่าไททันมหาวิบัติได้เพียงลำพัง แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นขมขื่นอย่างรวดเร็ว
เพราะเขาเห็นรอยหยดเลือดบนพื้น รอยพวกนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นของเด็กสาว ในระหว่างการสังหารไททันสายฟ้า เธอคงได้รับบาดเจ็บสาหัส
นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับหลินหยวนเลย จากนั้นเขาก็รีบตามรอยเลือดที่ฉู่อวี้ทิ้งเอาไว้
ตามปกติแล้วสิ่งแรกที่เธอต้องทำหลังจากได้รับบาดเจ็บก็คือการทำแผล แต่คราบเลือดที่หยดลงบนพื้นนั้นเป็นการการันตีได้ว่าเลือดของเธอยังไหลไม่หยุด
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ หลังจากที่เธอฆ่าไททันสายฟ้าไปแล้ว เธอไม่ได้ทำแผล แล้วรีบหนีไปทันทีโดยปล่อยให้เลือดไหลเป็นทางแบบนี้
หรือว่าเด็กสาวที่จะใช้วิธีนี้ในการแจ้งที่อยู่ของเธอ?
ไม่ เป็นไปไม่ได้
ถ้าฉู่อวี้อยากให้พวกเขารู้ที่อยู่ของตัวเอง เธอคงไม่ทิ้งร่องรอยอะไรแบบนี้เอาไว้
พอคิดถึงเรื่องนี้ หลินหยวนก็ขมวดคิ้วแน่น
บางที… เขาอาจรู้ว่าทำไม
เหตุผลที่ฉู่อวี้ไม่ทำแผลทันทีนั้นเป็นเพราะว่าเธอยังไม่ปลอดภัย
หลังจากฆ่าไททันสายฟ้า เสียงการต่อสู้ที่วุ่นวายคงจะไปดึงดูดพวกไททันตัวอื่น ๆ ที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียง ด้วยเหตุนี้เองเธอจึงถูกไททันไล่ล่าอีกครั้ง
*******************************************
SkySaffron: ฉู่อวี้อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 79
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น