บทที่ 14 เรื่องเล่าใต้เงาจันทร์
บทที่ 14 เรื่องเล่าใต้เงาจันทร์
พวกเอเรนเดินทางออกจากหมู่บ้านเฮเมรามาได้ไกลพอสมควร เอเรนก็หยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาที่แผ่ร่มเงาปกคลุมเกือบมิด ชายหนุ่มวางร่างของเด็กหญิงลงข้างๆ อย่างแผ่วเบา ร่างกายของเขายังคงอ่อนล้าจากการใช้พลังมหาศาล และจากบาดแผลที่ได้รับจากอัลดัส ทว่าพลังแห่งศาสตราวิญญาณก็เริ่มฟื้นฟูเขาอย่างช้าๆ
ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางนภา สาดแสงสีเงินนวลอาบไล้ผืนป่าให้ดูงดงาม แต่ก็แฝงไว้ด้วยความลึกลับ เอเรนพิงหลังกับลำต้นไม้ หลับตาลงช้าๆ พยายามรวบรวมสมาธิ
‘ลีร่า... เธอเป็นไงบ้าง’ เอเรนเอ่ยถาม เสียงของเขาอ่อนลงกว่าเมื่อครู่มาก
‘ปกติดีนะ ’ เสียงของลีร่าตอบกลับมาอย่างอบอุ่น
‘แต่ว่านะ… ฉันรู้สึก... แปลกๆ ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลับมามีพลังเวทอีกครั้ง... มันบริสุทธิ์กว่าเดิมด้วยซ้ำ’
‘นั่นอาจเป็นเพราะวิญญาณของเราผูกพันกัน’ เอเรนเสนอ
‘และพลังของอีเร็นที่หลอมรวมกับตัวฉัน... ทำให้ฉันเองก็รู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิม...’
“ตอนนี้พวกเราเหมือนถูกสาบเลย พวกเราสังหารคนตั้งมากมายทั้งพวกชาวบ้านที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในครั้งนี้”
“นั่น ฉันคงไม่ได้ตายดีแน่ๆ”
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ มีเพียงเสียงลมพัดและเสียงใบไม้ไหว
‘เอเรน...’ ลีร่าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
‘นายทำไมถึง... เกลียดชังพวกอัญเชิญขนาดนั้น’
เอเรนถอนหายใจยาว พลังแห่งความโกรธที่เคยปะทุเมื่อครู่เริ่มจางลง แทนที่ด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายและรันทด
‘ก็เพราะพวกมันน่ะสิ...’ เขาเริ่มเล่า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขมขื่น
‘โลกของฉันน่ะ... มันสงบสุข สบาย’
ลีร่ารับฟังอย่างเงียบๆ
‘ฉันเป็นลูกคนรวย... ใช้ชีวิตสุขสบายมาตลอด ตื่นเช้ามาก็มีคนคอยปรนนิบัติ อยากได้อะไรก็ได้ทุกอย่าง ไม่เคยต้องลงมือทำอะไรเอง ไม่เคยต้องหิ้วดาบ ไม่เคยต้องเห็นเลือด ไม่เคยต้องฆ่าใคร...’
เอเรนเล่าต่อ ภาพชีวิตเก่าๆ ฉายชัดในความคิดของเขา
‘แล้ววันหนึ่ง... จู่ๆ พวกมันก็อัญเชิญฉันมาที่นี่ โลกที่เต็มไปด้วยสงคราม ความรุนแรง ความสกปรก! มันแย่งชิงทุกอย่างไปจากฉัน! ชีวิตที่สุขสบาย... ครอบครัว... ความสงบสุข... ฉันต้องกลายเป็นผู้กล้าที่พวกมันต้องการ กลายเป็นเครื่องมือในการทำสงครามบ้าๆ บอๆ ของพวกมัน!’
เสียงของเอเรนเริ่มสั่นเครือด้วยความเจ็บปวดและความโกรธ ‘ฉันไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ หรือเป็นปีศาจแบบนี้! ฉันแค่ต้องการชีวิตเดิมของฉันคืนมา!’
ลีร่ารู้สึกถึงความเจ็บปวดในน้ำเสียงของเอเรน เธอเข้าใจความรู้สึกของการถูกพรากทุกสิ่งไปได้ดี
‘แล้วเธอล่ะ ทำไมถึงมีศาสตราโลหิตอยู่กับตัวได้”
สายตาของชายหนุ่มที่มองมาทำให้หญิงสาวถอนหายใจ
“ความทรงจำก่อนหน้านี้ก่อนที่ฉันจะได้อยู่กับอีเร็นมันเลือนลางมากแล้ว… ฉัแทบจะจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้เลย สิ่งที่ฉันจำได้ก็คือความแค้นหรือความอาฆาตพยาบาทที่ได้รับมาจากอีเร็นเท่านั้น ในตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันเป็นส่วนหนึ่งของอีเร็น หรืออีเร็นเป็นส่วนหนึ่งของฉัน”
‘ใช่... อีเร็นไม่ใช่แค่ดาบ แต่มันคือศาสตราคู่กายของฉันที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับฉันตั้งแต่แรกเกิด มันเป็นส่วนหนึ่งของฉัน’ ลีร่าอธิบาย
‘มันถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์เดียว... เพื่อการต่อสู้ การทำลายล้าง... และมันก็เป็นแหล่งพลังงานที่แท้จริงของฉันด้วย’
‘นั่นเอง... ฉันถึงรู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งและดุดันขนาดนั้น’ ลีร่าพึมพำ ‘แล้วนาย... อดีตผู้กล้า... นายทำอะไรลงไปบ้างในอดีต?’
เอเรนเงียบไปชั่วครู่ ลมหายใจของเขาหนักอึ้ง
‘ฉัน... ฉันทำทุกอย่างที่พวกมันสั่ง ฉันสังหารศัตรูมากมาย ฉันทำลายหมู่บ้าน ทำลายกองทัพ... ฉันกลายเป็นเครื่องจักรสังหารตามที่พวกมันต้องการ’ น้ำเสียงของเอเรนเต็มไปด้วยความรังเกียจตัวเอง
‘ฉันไม่อาจหลับตาลงได้โดยไม่เห็นภาพเลือดและเสียงกรีดร้อง... มันกัดกินฉันอยู่ทุกคืน’
ลีร่ารับฟังด้วยความเห็นใจ เธอเองก็เคยถูกความแค้นครอบงำมาหลายร้อยปี เข้าใจความรู้สึกนั้นดี
‘แล้วเธอ... ลีร่า... เธอล่ะ โลกของเธอเป็นอย่างไง’
เอเรนถามกลับ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความเจ็บปวดของตนเอง
ลีร่าถอนหายใจแผ่วเบา ‘โลกของฉันน่ะเหรอ... มันก็ไม่ได้สวยงามอะไรหรอก’
เธอเริ่มเล่า ‘หมู่บ้านของฉัน... มันเป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ ที่ถูกมองข้าม พวกเราเป็นผู้ครอบครองพลังโบราณบางอย่างที่พวกอัศวินหวาดกลัว’
‘พวกนั้นบุกเข้ามา... เผาทำลายทุกสิ่ง... สังหารทุกคน...’ เสียงของลีร่าเริ่มสั่นคลอ
‘ฉันหนีรอดมาได้ แต่ก็ถูกนำวิญญาณของอีเร็นผนึกวิญญาณไว้ในร่างของฉันเอง... อยู่ในความมืดมิดนับร้อยปี... ตื่นขึ้นมาก็พบว่าโลกเปลี่ยนไปหมดแล้ว’
‘เธอมีความหวังที่จะกลับไปที่นั่นไหม’
ลีร่าเงียบไปนาน ก่อนจะตอบว่า ‘ไม่... ฉันไม่มีความหวังกับที่นั่นแล้วของฉันเลย... มันถูกทำลายไปแล้ว... ความทรงจำที่เหลือก็มีแต่ความเจ็บปวด’ เสียงของเธอเจือความเศร้าสร้อย
‘แต่ฉันมีความหวัง... ที่จะได้เข้าใจว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนั้น... และอาจจะหาทางปลดปล่อยตัวเองจากคำสาป’
‘ฮืม...’ เอเรนรับคำ เขาเข้าใจความรู้สึกของลีร่าได้ดีกว่าที่คิด ทั้งสองต่างเป็นผู้รอดชีวิตจากโลกที่แตกสลาย และถูกความแค้นขับเคลื่อน
‘ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น... เราสองคนคงต้องพึ่งพากันไปก่อนนะเอเรน’
‘แน่นอน... ลีร่า’
ละในชั่วขณะนั้น เขาก็รู้สึกถึงความผูกพันที่แปลกประหลาด แต่ลึกซึ้งกับจิตวิญญาณภายในร่างของตน มันเป็นจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่ง เป็นสิกินยาที่เต็มไปด้วยความแค้นเช่นเดียวกับเขา
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง มีเพียงเสียงใบไม้ไหวตามแรงลม และเสียงหายใจแผ่วๆ ของเด็กหญิงไร้ชื่อที่นอนอยู่ข้างๆ
และแล้ว... ดวงตาของเด็กหญิงก็เริ่มกระตุกเบาๆ ลมหายใจของเธอเริ่มหนักขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เอเรนและลีร่าต่างรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น
เด็กหญิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ...
ดวงตาคู่โตที่เคยเป็นสีดำสนิทและฉายแววหิวโหย บัดนี้กลับกลายเป็น สีแดงเลือดเข้ม! แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาสะท้อนประกายวาววับของดวงตาสีเลือดนั้นอย่างน่าสะพรึงกลัว ยิ่งไปกว่านั้น เส้นผมสีดำยุ่งเหยิงของเธอก็เริ่มเปลี่ยนเป็น สีขาวบริสุทธิ์ อย่างรวดเร็ว ราวกับถูกปกคลุมด้วยหิมะแรกยามค่ำคืน
มันพลิ้วไหวราวกับเส้นไหมในสายลมยามค่ำคืน สร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เด็กหญิงขยับตัวช้าๆ ลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าเล็กๆ ของเธอยังคงซูบผอม แต่แววตาที่เคยหวาดกลัวกลับหายไปสิ้น แทนที่ด้วยความสงบนิ่งและแฝงไว้ด้วยพลังที่มองไม่เห็น เธอจ้องมองมือเล็กๆ ของตัวเองราวกับกำลังสำรวจสิ่งแปลกปลอม
เอเรนจ้องมองการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด
‘ลีร่า... นี่มันอะไรกัน?’ เอเรนถามในใจ น้ำเสียงของเขาเจือความตกตะลึง
‘ฉัน... ฉันไม่รู้...’ ลีร่าตอบกลับมาอย่างสับสน ‘ไม่เคยมีใครฟื้นคืนชีพจากการถูกดึงวิญญาณไปได้... นี่ไม่ใช่แค่การฟื้นคืนชีพ... นี่มัน... เหมือนเธอเกิดใหม่...’
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีแดงเลือดจ้องมองตรงมาที่เอเรน ราวกับกำลังประเมินสิ่งมีชีวิตตรงหน้า รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ
“หิว...” เสียงเล็กๆ ของเธอดังขึ้นแผ่วเบา น้ำเสียงแหบพร่าแต่กลับมีพลังบางอย่างแฝงอยู่
เอเรนผงะไปเล็กน้อยกับคำพูดนั้น แต่แล้วก็กลับสู่สภาพปกติ เขานึกขึ้นได้ว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมา เด็กหญิงไม่ได้กินอะไรเลย นอกจากปลาที่เขาป้อนให้เมื่อคืนก่อน
“อืม... หิวสินะ” เอเรนตอบ พลางลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปหาอะไรมาให้กิน”
เขาเดินไปยังลำธารที่อยู่ไม่ไกล ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับปลาตัวอ้วนหลายตัวที่จับมาได้อย่างง่ายดายด้วยความว่องไวที่ได้มาจากพลังศาสตราวิญญาณ เขาจุดไฟเล็กๆ ขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มย่างปลา กลิ่นหอมของเนื้อปลาที่สุกแล้วลอยอบอวลไปทั่ว
เด็กหญิงนั่งมองเปลวไฟด้วยดวงตาสีแดงเลือดเป็นประกาย เธอไม่ได้แสดงความตื่นเต้นใดๆ เพียงแต่มองด้วยความสนใจ ลีร่าก็มองเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน พวกเขารู้สึกถึงความแปลกประหลาดของเด็กหญิงคนนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความผูกพันบางอย่างที่ก่อตัวขึ้น
เมื่อปลาสุก เอเรนก็ยื่นปลาที่ย่างแล้วส่งให้ เด็กหญิงรับไปกินอย่างเงียบๆ ท่าทางสงบนิ่งผิดปกติจากเด็กที่หิวโหย รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อเธอเคี้ยวปลา และครั้งนี้... เอเรนก็สังเกตเห็นว่า เขี้ยวเล็กๆ เริ่มงอกออกมาจากริมฝีปากบนของเธออย่างจางๆ
‘เอเรน... เธอ... ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไปแล้วนะ’ เสียงของลีร่าดังขึ้น น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจและกังวล
‘ฉันรู้...’ เอเรนตอบสั้นๆ ดวงตาของเขายังคงจ้องมองเด็กหญิงอย่างพิจารณา ‘แต่ไม่ว่าเธอจะเป็นอะไร... ฉันจะดูแลเธอเอง’
ภายใต้แสงจันทร์และเปลวไฟที่ริบหรี่ เด็กหญิงไร้ชื่อที่มีดวงตาสีแดงเลือดและผมสีขาวราวหิมะ กำลังกินปลาที่เอเรนย่างให้ พลังลึกลับได้ปลุกบางสิ่งในตัวเธอให้ตื่นขึ้นมา และสิ่งนั้น... อาจเป็นอะไรที่น่ากลัวพอๆ กับสิ่งที่เอเรนและลีร่ากำลังเผชิญอยู่


แสดงความคิดเห็น