บทที่ 443: เข้าเฝ้าไทเฮา
ก่อนรุ่งสางในวันรุ่งขึ้น มู่ไป๋ไป่ลุกจากที่นอนอันแสนอบอุ่นและเตรียมตัวที่จะไปเข้าเฝ้าไทเฮา
ทางด้านหลัวเซียวเซียวที่กำลังจะเข้ามาปลุกองค์หญิงหกได้ผลักประตูเปิดออกและเห็นว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว นางจึงยืนตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง
“เหตุใดองค์หญิงจึงตื่นเช้าเช่นนี้ล่ะเพคะ?”
ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่ไม่ทันสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย เธอจึงทำเพียงแค่ยิ้มแล้วพูดกับนางว่า “เจ้ากลับไปนอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้ ข้าจะไปที่ตำหนักฉือซิ่ง หลังจากไปถึงเราน่าจะต้องรั้งอยู่ที่นั่นสักพักหนึ่ง…”
บางทีพระนางอาจจะชวนเธออยู่รับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันเลยด้วยซ้ำ
“เซียวเซียวกำลังจะออกจากวังแล้ว…” หลัวเซียวเซียวเม้มปากเบา ๆ “หม่อมฉันอยากช่วยองค์หญิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นครั้งสุดท้ายเพคะ”
ด้วยเหตุผลบางประการ นางรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
นางรู้สึกว่าหลังจากที่นางออกจากวังหลวงในครั้งนี้ นางเกรงว่าจะไม่ได้กลับมาอีกเลย
นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้ปรนนิบัติองค์หญิงหก
“นี่เจ้า…” มู่ไป๋ไป่รู้สึกขบขันกับท่าทางของอีกฝ่ายและคิดจะพูดอะไรติดตลก แต่เมื่อเธอหันกลับมาสบเข้ากับดวงตาสีแดงก่ำของหลัวเซียวเซียว เธอก็ทำได้เพียงกลืนคำพูดของตัวเองกลับคืนไป “ก็ได้ ทำตามที่เจ้าว่าเถอะ”
“อย่างไรเสีย ในวังหลวงแห่งนี้ไม่มีใครสนิทกันได้เท่าเจ้ากับข้าแล้ว”
หลัวเซียวเซียวเดินเข้ามาพร้อมกับพยายามบังคับไม่ให้น้ำตาไหลลงมาโดยที่ไม่ได้สนใจคำพูดขององค์หญิงหก ในยามที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนตรงหน้า นางก็ทำอย่างระมัดระวังเต็มที่
เมื่อมู่ไป๋ไป่มองดูท่าทางจริงจังของอีกฝ่าย เธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
หลัวเซียวเซียวอยู่เคียงข้างเธอมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ทั้งคู่ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา
หากผู้หญิงคนนี้ต้องออกจากวังหลวงจริง ๆ เธอเองก็คงไม่คุ้นชินเช่นกัน
“พอเจ้ากับพี่รองไปถึงจวนแม่ทัพแล้ว หากเจ้าขาดเหลือสิ่งใดก็ให้คนมาแจ้งข้าได้ทันที อย่าได้เกรงใจข้า” มู่ไป๋ไป่ระงับความลังเลในใจและกระซิบเบา ๆ ว่า “และเจ้าเองก็อย่าได้เกรงใจพี่รอง เจ้าเป็นคนขององค์หญิงหก เจ้าไม่ต้องฝืนกล้ำกลืนกับเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น”
“นอกจากนี้ หากมีใครในจวนแม่ทัพกล้ารังแกเจ้า ให้ส่งจดหมายมาหาข้า ข้าจะช่วยเจ้าจัดการกับคนพวกนั้นเอง”
หลัวเซียวเซียวค่อย ๆ รีดรอยยับย่นสุดท้ายบนกระโปรงของผู้เป็นนายก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“องค์หญิง ขอบพระทัยที่พระองค์ทรงดูแลหม่อมฉันมาตลอดหลายปี” หญิงสาวก้าวถอยหลังไป 2-3 ก้าวก่อนจะโค้งคำนับสตรีตรงหน้าด้วยท่าทางจริงจัง
“องค์หญิง โปรดดูแลตัวเองให้ดีในช่วงที่เซียวเซียวไม่ได้อยู่ข้างกายพระองค์"
“เซียวเซียว เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ รีบลุกขึ้นเถอะ” พอมู่ไป๋ไป่เห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้ เธอก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เธอสูดจมูกเบา ๆ และพูดเสียงเจือสะอื้นว่า “ข้าแค่ให้เจ้าไปอยู่ในจวนแม่ทัพชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าจะต้องอยู่ที่จวนแม่ทัพตลอดไปโดยไม่กลับมาอีกเลย…”
“ฮึก ๆ… รักษาตัวด้วยเพคะ” หลัวเซียวเซียวเองก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก
“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี หลังจากที่สถานการณ์ในวังหลวงสงบลง ข้าจะพาเจ้ากลับทันที ถึงพี่รองจะคัดค้าน ข้าก็จะพาเจ้ากลับ!”
หลัวเซียวเซียวที่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา ทำให้มู่ไป๋ไป่หัวเราะตามเช่นกัน
แล้วทั้งคู่ก็พูดคุยกันอยู่ในตำหนักสักพัก พอเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว มู่ไป๋ไป่ก็เดินนำหลัวเซียวเซียวไปหาไทเฮา
“ข้าจะทูลขออนุญาตไทเฮาโดยใช้ข้ออ้างว่าพี่รองยังบาดเจ็บอยู่ จึงขอให้เขากลับไปพักผ่อนก่อน แล้วเจ้าก็ติดตามเขาออกจากวังหลวงไปได้เลย”
หลัวเซียวเซียวพยักหน้าน้อย ๆ “องค์หญิง พระองค์ไม่ต้องกังวล หม่อมฉันจะตามองค์ชายรองไปเพคะ”
พอมู่ไป๋ไป่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ เธอก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น จากนั้นเธอก็รอจนกระทั่งมู่จวินเซิ่งมาถึงและบอกว่าหลังเข้าเฝ้าไทเฮาเสร็จ ให้เขาพาหลัวเซียวเซียวไปอยู่ที่จวนแม่ทัพสักพัก แล้วค่อยให้ใครสักคนเข้ามาแจ้งข่าวทีหลัง
เมื่อคืนก่อนที่หญิงสาวจะเดินทางมาถึงวังหลวงก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว ดังนั้นไทเฮาจึงไม่ทราบว่าเธอกลับมายังวังหลวงแห่งนี้เป็นที่เรียบร้อย
พอรุ่งเช้าพระนางได้ยินว่าหลานสาวจะมาเยี่ยมเยียน พระนางก็รู้สึกประหลาดใจมากจึงรีบสั่งให้คนมาเรียกเธอไปเข้าเฝ้า ขณะเดียวกัน พระนางยังไม่ลืมที่จะสั่งให้คนเตรียมขนมที่เธอชอบไว้ให้ด้วย
“ไป๋ไป่ หลานรักของย่า ย่าคิดถึงเจ้ามาก” ไทเฮากวักมือเรียกทันทีที่เห็นหลานคนโปรด “รีบมานี่เร็ว มาให้ย่าดูหน่อยว่าไป๋ไป่ของเราโตขึ้นมากเพียงใดแล้ว”
“ไป๋ไป่ถวายบังคมไทเฮาเพคะ” มู่ไป๋ไป่โค้งคำนับให้ผู้เป็นย่าอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินเข้าไปหาตามที่พระนางตรัส “ท่านย่า เหตุใดพระองค์ถึงดูวัยเยาว์ยิ่งนัก ไป๋ไป่ไม่ได้พบพระองค์ตั้งหลายปี แต่พระพักตร์ของท่านย่ากลับดูอ่อนเยาว์ลงกว่าเดิมเสียอีก อีกทั้งพระองค์ยังดูแข็งแรงมากกว่าเดิมเยอะเลยเพคะ”
หญิงสาวพูดจาไพเราะน่าฟังจนทำให้ไทเฮาทรงพระสรวลเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไป๋ไป่ของเราก็ยังพูดเก่งเหมือนเคย” สตรีสูงวัยปิดปากทรงพระสรวลเบา ๆ “เราอายุน้อยลงต้องขอบคุณโอสถเสริมความงามที่ไป๋ไป่ให้คนส่งมาให้เราคราวที่แล้ว”
“ย่ากินโอสถนั้นทุกวัน แล้วมันก็เห็นผลจริง ๆ ระยะหลังมานี้ผมขาวของย่าดูจะจางลงมากทีเดียว”
โอสถเสริมความงามเป็นโอสถเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มู่ไป๋ไป่คิดค้นขึ้นมาตอนที่รู้สึกเบื่อหน่าย โอสถนี้สามารถเติมพลังปราณและบำรุงผิวพรรณได้ดี แต่สมุนไพรที่จำเป็นต้องใช้นั้นหายากมาก
เธอจึงปรุงมันได้ไม่มากนัก ตอนนี้มีโอสถเพียง 4 ขวดเท่านั้น ซึ่งครึ่งหนึ่งเธอได้ส่งให้ซูหว่าน และอีกครึ่งสำหรับไทเฮา
“นั่นเป็นโอสถที่หม่อมฉันคิดค้นขึ้นมาเองเพคะ” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ในเมื่อท่านย่าเสวยแล้วทรงได้ผลดีเยี่ยม เอาไว้หม่อมฉันกลับไปที่หุบเขาหมอเทวดา หม่อมฉันจะปรุงให้พระองค์ใหม่เพคะ”
“เช่นนี้ท่านย่าจะมีพระสิริโฉมงดงามเหมือนตอนที่พระชนมายุ 18 พรรษาเลยทีเดียว”
“ย่าแก่ปูนนี้แล้วจะกลับไปเป็นเด็กอายุ 18 ปีได้อย่างไรกัน?” ไทเฮาทรงมีความสุขมาก แต่พระนางก็ยังแสร้งทำเป็นพูดกระเง้ากระงอดใส่หลานสาว “เราเองก็แก่มากแล้ว การมีใบหน้างดงามเช่นนี้จะไปมีประโยชน์อะไร ความปรารถนาสูงสุดของเราตอนนี้ก็คือ ขอให้เจ้าอยู่ในวังหลวงกับเราทุกวัน”
“แค่ได้เห็นหน้าเจ้า เราก็ดีใจแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้หัวใจของมู่ไป๋ไป่เต้นแรงขึ้น เธอรู้ว่าไทเฮาจะต้องพูดถึงเรื่องนี้
เมื่อใดก็ตามยามที่เธอกลับมาวังหลวงในปีก่อน ๆ ไทเฮาก็จะทรงขอให้เธอรั้งอยู่ในวังหลวงไม่กลับไปที่หุบเขาหมอเทวดาทุกครั้ง แต่เธอมักจะทำเป็นหูทวนลมและหลบเลี่ยงไปแบบเนียน ๆ
แต่ปีนี้มันแตกต่างออกไป
ปีนี้เธอกลับมาตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาพอดี
“ท่านย่า เอาไว้เราค่อยพูดเรื่องนี้กันทีหลังเถิดเพคะ” มู่ไป๋ไป่เม้มปากเบา ๆ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านย่า พระองค์ไม่ได้พบพี่รองมานานแล้วใช่หรือไม่ ดูพี่รองสิเพคะ เขาดูแข็งแรงมากขึ้นกว่าปีก่อน ๆ เสียอีก”
“อีกทั้งในปีนี้พี่รองยังถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นแม่ทัพรักษาชายแดนด้วย!”
มู่จวินเซิ่งอาศัยจังหวะนี้ลงไปคุกเข่าคำนับไทเฮาแบบเต็มพิธี
“หลานชายถวายบังคมไทเฮา”
“จวินเซิ่ง ลุกขึ้นเถิด” เมื่อหญิงชราเห็นหลานชาย สีหน้าของพระนางก็ดูสง่างามสมกับตำแหน่งไทเฮา “เราได้ยินความดีความชอบของเจ้าที่ชายแดนมาแล้ว เจ้ามีความสามารถไม่ต่างจากอดีตฮ่องเต้เลยสักนิด”
จากนั้นมู่จวินเซิ่งก็ตอบอย่างถ่อมตนว่า “เป็นเกียรติที่ไทเฮาทรงตรัสชม การปกป้องประชาชนให้อยู่อย่างสงบร่มเย็นนั้นเป็นสิ่งที่กระหม่อมสมควรกระทำพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาทรงพอพระทัยในคำตอบของแม่ทัพหนุ่มมาก พระนางจึงสั่งให้นางกำนัลไปนำของขวัญมาให้เขา
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่กับมู่จวินเซิ่งสบตากัน เธอก็กระแอมไอเบา ๆ ในลำคอเพื่อขัดจังหวะการสนทนา “ท่านย่า พระองค์จะต้องตกรางวัลให้พี่รองเยอะ ๆ เลยนะเพคะ”
“พระองค์รู้หรือไม่ว่าถ้าไม่มีพี่รอง ไป๋ไป่คงได้ตายไประหว่างเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว”
หญิงสาวพูดเจื้อยแจ้ว เมื่อรวมกับท่าทางมีชีวิตชีวาของเธอ ยิ่งทำให้ผู้เป็นย่ารู้สึกหลงเคลิ้มไปกับคำพูดของเธออย่างรวดเร็ว
“ใครบังอาจมาทำร้ายเจ้า?” สายตาของไทเฮาเปลี่ยนไปทันที “ช่างบังอาจยิ่งนัก เจ้าจับคนพวกนั้นได้หรือไม่ พวกมันถูกส่งตัวให้ทางการจัดการแล้วหรือยัง?”
“ยังเพคะ” มู่ไป๋ไป่ส่ายหัว “คนพวกนั้นหลบหนีไปเร็วมาก แม้แต่คนของทางการก็ยังจับตัวพวกมันไม่ทัน แต่พระองค์อย่าได้กังวลไปเลยเพคะ พวกมันได้รับผลกรรมที่ก่อไว้แล้ว พวกมันจะไม่มีทางกลับมาก่อเรื่องอีกแน่นอน”
“แต่นั่นก็ทำให้พี่รองต้องได้รับบาดเจ็บเพคะ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 166
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น